xs
xsm
sm
md
lg

แม่สอดไม่แผ่ว จีนเทาถูกปราบ มาเฟียโรฮิงญาผงาด!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“แม่สอด” ยังคงเป็นพื้นที่ทองคำฝังเพชรที่ข้าราชการอยากย้ายมาประจำเพราะเต็มไปด้วยแหล่งผลประโยชน์ตามแนวชายแดนมากมาย ล่าสุด แม้รัฐบาลมีมาตรการปราบปรามจีนเทา แต่ยังมีอีกกลุ่มสีเทาที่ยึดครองพื้นที่ นั่นคือ “มาเฟียโรฮิงญา” ที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้เพราะจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ไทย ซื้อบัตรประชาชน ค้ายาเสพติด-ทำธุรกิจผิดกฎหมาย จนสามารถซื้อที่ดินสร้างบ้านจัดสรรขายให้ชาวโรงฮิงญาด้วยกันเอง โดยจ้างคนไทยเป็นนอมินีถือครองแทน ก่อนซื้อบัตรประชาชนแปลงตัวเป็นคนไทยถือครองเอง



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงพื้นที่อำเภอแม่สอด และอำเภอใกล้เคียงในจังหวัดตาก ซึ่งเต็มไปด้วยผลประโยชน์จากสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นของเถื่อน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าต่างๆ รถยนต์ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ แรงงานทั้งเถื่อนและถูกกฎหมาย ยาเสพติด ค้าประเวณี ค้ามนุษย์ ประตูไปสู่บ่อนการพนันในเมียวดี และจุดเชื่อมต่อนำคนเข้า-คนออกไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการหลอกลวงที่มีเครือข่ายทั่วโลก ฯลฯ

ล่าสุดทีมข่าวพิเศษของของรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ได้ลงพื้นที่เจาะลึกถึงความฟอนเฟะ เละเทะ จากพฤติกรรมของกลุ่มจีนเทา ไทยเทา และข้าราชการเทาๆ ในพื้นที่ ที่รวมหัวกันกับกองกำลังกะเหรี่ยงสร้างวีรกรรมระดับตำนานกับบรรดา “ก๊วนสแกมเมอร์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์” อยู่ทางฝั่งชายแดนประเทศพม่า

ตลอด 1 เดือนกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่ทางการจีนส่ง นายหลิว จงอี้ ลงพื้นที่จริงทั้งฝั่งไทย-ฝั่งพม่า บินข้ามไปมา ย่ำทั้งแผ่นดินไทยและพม่าหลายครั้งหลายครา เรียกว่านายหลิวนั้นรู้พื้นที่อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว รวมถึงมีแผนที่ตัวบุคคล เส้นสายต่างๅ น่าจะครบถ้วนเกือบหมดแล้ว


วันนี้ทางการจีนเองก็ยังต้องส่งเครื่องบินมารับคนของเขาถึงสนามบินแม่สอด โดยคนจีนที่ถูกส่งตัวกลับแผ่นดินใหญ่เหล่านี้ ทางผู้นำกองกำลัง BGF และกองกำลัง DKBA อ้างว่าได้ทำการกวาดล้างนำมาส่งมอบให้ เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่ากะเหรี่ยงก็ไม่ได้เห็นดีเห็นงามจากการกระทำของพวกสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน มีการประชุมใหญ่ประจำปีของรัฐบาลปักกิ่ง คือ “การประชุมสองสภา” ที่ภาษาจีนเขาเรียกว่าเหลี่ยงฮุ่ย (两会) ก็มีการรายงานเรื่องนี้ครับ โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2568 สำนักงานอัยการประชาชนสูงสุดของจีน เขารายงานว่าจากเดินหน้าปราบปรามอาชญากรรม “การฉ้อโกงทางโทรคมนาคม” อย่างเข้มข้นในปี 2567 ที่ผ่านมามีผู้ถูกดำเนินคดีแล้ว 78,000 ราย เพิ่มขึ้น 53.9% เมื่อเทียบกับปี 2566 !


ในปี 2568 นี้ก็จะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นอีกจากการปราบปรามแก๊งคนจีนเทาที่ใช้พื้นที่เมืองเมียวดีเป็นฐานในการฉ้อโกงผู้คนทั่วโลก แต่เมื่อตัดภาพมาที่ความเคลื่อนไหวจากฝั่งรัฐบาลไทย “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร นอกจากลงนามคำสั่งโน่นคำสั่งนี่ เรียกประชุมออกมาตรการโน่นนี่ พร้อมกับคำพูดเท่ๆ คือ “ไม่จบไม่เลิก” แต่เอาเข้าจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ในพื้นที่การปราบปรามเรื่องเทาๆ นั้นเงียบลงไปมากแล้ว ไม่คึกคักเหมือนช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา


ไม่ว่าใครจะมองเป็นเรื่องการเล่นปาหี่ เล่นละคร หรือ ภาพสะท้อนการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ จากฝั่งกองกำลังกะเหรี่ยง ซึ่งผลออกมาดูแล้วเหมือนไม่ค่อยจริงใจ

แต่การให้สัมภาษณ์ของ “ซอชิตตู” ผู้นำกองกำลัง BGF ที่ช่วงหลังออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสำนักข่าวหลายแห่ง ยังคงยืนยันว่าตัวเขาเองไม่มีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นเพียงผู้ให้บริการเช่าอาคารสถานที่เท่านั้น

ที่สำคัญ “ซอชิตตู” ยังย้ำว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร เวลาทางการไทยมีเรื่องให้ช่วยก็ลงมือให้อย่างเต็มที่ ถึงขนาดยกตัวอย่างคดีฆาตกรพม่า ฆาตกรกะเหรี่ยง ที่ก่อเหตุฆ่านายจ้างคนไทย แล้วหลบหนีกลับบ้านเกิด


ซึ่ง “ซอชิตตู” ก็เคยได้รับการประสานงานขอความช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่ไทย จนทำให้ได้ตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในราชอาณาจักรไทยได้แบบนับไม่ถ้วน

ด้วยความที่ “ซอชิตตู” เป็นนายทหารระดับสูงของกองทัพกะเหรี่ยงเบอร์ต้นๆ ขนาดนี้ แต่ยังคงกล้าตอกย้ำในความบริสุทธิ์ของตัวเองผ่านสื่อมวลชนด้วยจุดยืนเดิมๆ ถ้อยคำเดิมๆ อย่างมั่นใจ

ทีมงาน “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ได้เข้าไปใช้ชีวิตในพื้นที่แม่สอดเพื่อเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในทุกๆ มิติ โดยเฉพาะในมิติที่ไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครเคยนำเสนอ


จากการพูดคุยกับคนในพื้นที่ ทั้งวัยชรา วัยกลางคน และวัยรุ่น ที่เคยสัมผัสกับ “ซอชิตตู” ถึงขนาดเคยมีโอกาสได้ร่วมกินข้าวโต๊ะเดียวกัน จำนวน 3-4 คน แหล่งข่าวเหล่านี้มีทั้งคนไทยพุทธ คนไทยมุสลิม กะเหรี่ยงพุทธ กะเหรี่ยงคริสต์ รวมไปถึงชาวไทยที่มีถิ่นกำเนิด เปิดกิจการค้าขายอยู่ในพื้นที่มานาน

การขอความเห็นจากแหล่งข่าวทั้ง 3-4 คนนี้ ทีมงาน “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ขอให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นในฐานะบุคคลที่สาม ที่กำลังมองเห็นปัญหาซึ่งยังคงร้อนระอุอยู่ในปัจจุบัน โดยให้ตัดเรื่องความมีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเรื่องในอดีตที่คนไทยในจังหวัดตากเคยเฟื่องฟูจากธุรกิจที่ต้องเอื้อเฟื้อระหว่างกันกับฝั่งกองกำลังกะเหรี่ยง


แหล่งข่าวทุกคนไม่ปฏิเสธว่าเมืองที่ถูกเนรมิตขึ้นใหม่ ทั้ง “เมืองชเวก๊กโก่”, “เคเคปาร์ก” ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามอำเภอแม่สอด รวมไปถึง “เมืองไท่ชาง” ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามอำเภอพบพระ ทั้ง 3 อำเภอในปัจจุบันนี้ล้วนเป็นแหล่งบ่มเพาะอาชญากรรมระดับชาติที่มาจากปัญหาคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์จริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย




สิ่งหนึ่งที่แหล่งข่าวหลากหลายวัย หลากหลายสถานะ ยืนยันตรงกันคือ ปัจจุบัน “พันเอก ซอชิตตู” ได้รับการแต่งตั้งให้ได้ยศสูงขึ้น จากพันเอก เป็น “พลตรี ซอชิตตู” แล้วเป็นที่เรียบร้อย

และแม้ว่า “พลตรี ซอชิตตู” จะออกมาปฏิเสธความรับผิดชอบว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกแก๊งจีนเทา ทำสแกมเมอร์ หรือคอลเซ็นเตอร์ แต่เจ้าตัวจะไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า บรรดานายทหาร ลูกสมุนคนสนิททั้งหลายล้วนมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจที่ผิดทั้งกฎหมาย และจริยธรรมเหล่านี้

“พลตรี ซอชิตตู” ไม่เคยได้รับการศึกษา จับปืนต่อสู้บรรดากองกำลังที่เห็นต่างร่วมกับกลุ่มนักรบเก่า KNU (ซึ่งผู้นำส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงคริสต์) มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แต่ภายหลังขอแยกตัวออกมาจาก KNU เพราะตัวเองเป็นกะเหรี่ยงพุทธ วัฒนธรรมบางอย่างตัวเองกับพวกไม่สามารถเข้ากันกับ KNU ส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาคริสต์ได้ แต่ด้วยความที่มีจิตใจกล้าได้กล้าเสีย รักเพื่อนพ้อง ดูแลผู้บังคับบัญชา และปกครองลูกน้อง ด้วยสัจจะวาจา รับผิดชอบคำพูดของตัวเองมาตลอดชีวิต


แม้กระทั่งทุกวันนี้ “พลตรี ซอชิตตู” ก็ยังต้องกระจายรายรับที่ได้จากการดำเนินการทางธุรกิจในเขตความรับผิดชอบของตัวเอง กลับไปหล่อเลี้ยงให้ทั้งผู้บังคับบัญชาฝ่ายรัฐบาล และอดีตผู้บังคับบัญชาฝ่าย KNU ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเฉือนเนื้อ กรอรายได้กลับไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านั้นอีกก็ย่อมทำได้

เพราะยังต้องดูแลปากท้อง และพัฒนาศักยภาพสมาชิกครอบครัวกองกำลัง BGF ของตัวเองด้วยงบประมาณมหาศาล จนทุกวันนี้สมาชิกทุกระดับมีกินมีใช้ ไม่ต้องขุดมัน ถางไร่ หาของป่าประทังชีวิตกันอย่างยากลำบาก เฉกเช่นเรื่องราวของทหารกะเหรี่ยงในอดีต

แต่การบริหารกองทัพกองกำลัง BGF ที่มีนายทหารในสังกัด 13 กองพัน จำนวนกว่า 7,000 นาย ที่ดูแลเขตทหารอยู่ 4 เขตทหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องใช้เงินทอง และทรัพยากรจำนวนมากมายมหาศาล ซึ่ง “ซอชิตตู” ดูแลเป็นผู้บังคับการสูงสุดของเขตทหารที่ 3 ของ BGF ดูคนเดียวไม่ไหวก็จึงต้องแบ่งสรรลงมาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายรายทำหน้าที่ควบคุมดูแลรับผิดชอบ


และนั่นคือปฐมบทของความฉิบหายวายวอดที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดที่ “พลตรี ซอชิตตู” จะปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าเป็นแค่ผู้จัดสรรให้เช่าพื้นที่ ส่วนผู้เช่าจะทำระยำตำบอนอะไรเขาไม่สามารถล่วงรู้

ลำพังธุรกิจกาสิโน เมื่ออยู่ในพื้นที่ประเทศพม่า ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ต่อมาเมื่อเกิดภาวะโควิด-19 ระบาด กาสิโนธรรมดา ก็พัฒนาเป็นการพนันแบบออนไลน์

แต่เรื่องสแกมเมอร์ กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เล็ดลอดเข้าไปบ่อนทำลายเมืองชเวก๊กโก่แล้วงอกเป็นเมืองเคเคปาร์ก และเมืองไท่ชาง ลามปามไปถึงฝั่งลาวและฝั่งปอยเปตนั้น จุดเริ่มต้นมาจากพวก “ไต้หวันเทา” จับมือกับ “กลุ่มจีนเทา” เข้ามาวางระบบหลอกลวงคนทั่วโลก ผ่านการเช่าใช้สถานที่ที่ตั้งอยู่ในความควบคุมดูแลของ กองกำลัง BGF และกองกำลัง DKBA ทั้งสิ้น


ภาพดังกล่าวยิ่งตอกย้ำเมื่อในปี 2560 หรือ 8 ปีก่อน ซอชิตตู จับมือกับ “เสอ เจ้อเจียง” นักธุรกิจชาวจีน ลงนามข้อตกลงก่อสร้าง "ชเวโก๊กโก่" เพื่อพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดนไทย-พม่า ภายหลังจากฐานสแกมเมอร์ที่สีหนุวิลล์ ภายใต้บริษัทย่าไท่ อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ปเผชิญกับการกวาดล้างอย่างหนักจากรัฐบาลกัมพูชาของฮุนเซน ซึ่งถูกกดดันมาจากรัฐบาลจีนอีกที หลังจากนั้น ชเวโก๊กโก่ ได้กลายเป็น ศูนย์กลางของอาชญากรรมข้ามชาติ และการพนันออนไลน์ ที่สร้างรายได้ให้กองกำลังหลายพันล้าน จนถึงหลักหมื่นล้านบาท


จนกระทั่ง นายเสอ เจ้อเจียง มาเกมโอเวอร์เมื่อถูกตำรวจสากลออกหมายจับตามคำร้องขอของรัฐบาลจีน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ข้อหาหลอกลวงประชาชนหลายประเทศผ่านการพนันออนไลน์ มูลค่าความเสียหายกว่า 5,000 ล้านบาท โดยเขาถูกจับที่ประเทศไทย วันที่ 12 สิงหาคม 2565 ขณะกำลังรับประทานอาหารอยู่กับผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยที่ร้านอาหารย่านบางนา จากนั้นถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ


โดยถึงปัจจุบัน เวลาผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว นายเสอ เจ้อเจียงก็ยังพยายามวิ่งเต้น ร้องเรียนทุกช่องทางไม่ให้ตัวเองถูกส่งตัวกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศจีน เพราะกลัวว่าจะถูกดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพราะระบบยุติธรรมในจีนนั้นวิ่งเต้นไม่ได้ แต่ในประเทศอื่น อย่างประเทศไทยนั้นกินหรูอยู่สบาย แม้แต่ในคุก รวมถึงสามารถวิดีโอคอลไปให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮ์ (อัลจาซีรา) เสียด้วยซ้ำ !?!


แหล่งข่าวบอกด้วยว่า ถ้าหากก่อนหน้านี้ “ซอชิตตู” ใจแข็ง เลือกตัดอวัยวะร้ายๆ ข้างกายออกไปบ้างตั้งแต่ต้น ความทุกข์ทนทรมานก็คงไม่ลุกลามบานปลาย คล้ายอาการของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เหมือนอย่างในทุกวันนี้

ว่ากันว่าอีกสาเหตุหนึ่ง “พลตรี ซอชิตตู” พี่ใหญ่แห่ง BGF ต้องตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาโดยตลอด เพราะพื้นที่โซนนั้นเป็นเขตรับผิดชอบของ “นายต่อโซ” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “พลเอก โซ จอนนี่” ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กองกำลัง KNU ที่ตัวเองให้ความเคารพ


แล้วสิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้น “นายต่อโซ” คนนี้เป็นพลเมืองได้สัญชาติอเมริกัน กลับมาพม่า ข้ามมาได้ภรรยาไทย ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ในบ้านภรรยาคนไทยที่แม่สอด สามารถไปกลับฝั่งพม่าข้ามไปข้ามมาได้แทบ 24 ชั่วโมง

ถึงกระนั้น ผมก็ยังรับประกันได้เลยว่า ถ้าทาง DSI มีพยานหลักฐานเอาผิด ออกหมายจับ “พลตรี ซอชิตตู” ได้จริง เจ้าตัวก็คงไม่มีทางรอด เพราะแผนประทุษกรรม มันเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกน้อง นายพันกะเหรี่ยงชื่อก้องหลายๆ คนที่มองเห็นแต่ผลประโยชน์ระโยงระยางกันไปหมด อยู่ที่ว่าหากหมายจับออกแล้ว รัฐบาลไทยจะเอาศักยภาพตรงไหนไปลากตัวซอชิตตู กับพวกมาดำเนินคดี!

ไทยเทารับส่วย “มาเฟียโรฮิงญา” ผงาดแม่สอด

ขอแนะนำเรื่องง่ายๆ แบบนี้ดีกว่า ในเมื่อ นายกฯ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร อุตส่าห์ลงนามใน คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 83/2568 เรื่องการจัดตั้งกลไกอำนวยการขับเคลื่อน การป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ปชต.) โดยให้ ผบ.สส. คือ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี นั่งเป็นประธานกรรมการไปแล้ว พร้อมกับลั่นวาจาไว้ด้วยว่า “ไม่จบไม่เลิก”


อยากฝากข้อมูลบางส่วน ส่วนเล็กๆ ของ “กลุ่มไทยเทียม” ที่จับมือกับ “ไทยเทา” โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ทะลักเข้ามา สร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อน และกำลังกลืนเอาทรัพยากรทุกสิ่งไปจากคนท้องถิ่น

ฝากถึง “คณะกรรมการ ปชต.” นำโดย พลเอก ทรงวิทย์ ผบ.สส. ในฐานะประธานคณะกรรมการ ให้ช่วยดำเนินการสั่งการตรวจสอบให้ชาวบ้านอุ่นใจหน่อย

ทราบหรือไม่ว่า เวลานี้ที่อำเภอแม่สอด และพื้นที่ใกล้เคียง “กลุ่มโรฮิงญา” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “พม่าหน้าแขก” กำลังทะลักเข้ามาสร้างอาณาจักรโดยร่วมมือกับคนไทยเทา กับเจ้าหน้าที่รัฐเทาๆ ยึดครองแผ่นดินเราไปหลายพันไร่แล้ว?


“โรฮิงญา” หรือ “โรฮีนจา” (Rohingya) หรือชาวพม่าในรัฐยะไข่ที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเดิมทีในช่วงหลายสิบปีที่แล้วเคยลักลอบหลบหนีเข้ามาในเมืองไทยโดยใช้เป็นทางผ่านไปสู่ชาติมุสลิมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย หรือชาติอื่นๆ

ส่วนที่ยังอยู่ในเมืองไทย ก็ทำงานเป็นชนชั้นแรงงาน แต่ปัจจุบัน “ชาวโรฮิงญา” เหล่านี้จำนวนมากเมื่ออยู่นานเข้า ก็ถีบตัวจนทะยานเข้าครอบครองบัตรประชาชนคนไทย สามารถประกอบธุรกิจในไทย ซื้อรถ ซื้อที่ดิน มีสินทรัพย์ในเมืองไทยได้อย่างถูกต้องเป็นที่เรียบร้อย !?!


สำหรับวิธีการก็คือ อดีตชาวโรฮิงญาหลบหนีเข้าเมืองเหล่านี้ เริ่มจากการเข้ามาเป็นแรงงาน พอสบช่องสบโอกาส ก็รวมหัวกับคนไทย ผู้ประกอบการ ข้าราชการไทย โดยเฉพาะพวกนายด่านเอกชนคนดังเบอร์ต้นๆ ของฝั่งไทย ใช้ผัก ผลไม้ หัวหอมบังหน้า ร่วมกันนำยาเสพติดอย่าง “ยาบ้า” ขึ้นรถขนส่งสินค้า เข้าสู่พื้นที่เมืองหลวง อย่างในกรุงเทพมหานคร

สร้างรายได้กันมหาศาลอย่างเป็นกอบเป็นกำ ว่ากันว่า “เฮียเจ้าของท่าข้ามคนดัง” ที่ระหว่างนั้นกำลังล้มละลาย ได้ร่วมมือกับโรฮิงญาค้ายานรก จนกลับกลายเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมาได้อีกครั้ง

พอตั้งหลักได้ก็เริ่มวางมือจากการค้ายาเสพติด เพราะถูกปราบปรามสกัดกั้นจากเจ้าหน้าที่พื้นที่อื่นๆ อย่างหนัก ก่อนจะใช้เงินที่เก็บหอมรอมริบมาทำการซื้อข้าราชการไทย ซื้อตำรวจ ซื้อทหาร ซื้อเจ้าหน้าที่ศุลกากร...ซื้อบัตรประชาชนคนไทย หาเมียคนไทย แยกตัวจากนักธุรกิจไทย มากว้านซื้อที่ดินเพื่อประกอบธุรกิจของครอบครัวด้วยตัวเอง !!!

จากข้อมูลที่ผมได้รับมาจากคนในพื้นที่ เบอร์ใหญ่สุดของโรฮิงญาตอนนี้ที่กลายสถานะเป็นคนไทยเทียม ไปแล้ว มีชื่อเรียกในกลุ่มพม่าหน้าแขกด้วยกันว่า “พี่โน”

ซึ่ง “พี่โน” ในปัจจุบันมีอายุประมาณ 40 ปีเศษๆ แต่ฐานะและความร่ำรวยนั้นเข้าขั้นมหาเศรษฐีของอำเภอแม่สอด มีท่าขนส่ง ด่านปลอดอากร ในความครอบครอง และเพิ่งสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ ขึ้นบ้านใหม่กลางเมืองแม่สอดไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วนี่เอง


“พี่โน” คนนี้ทำธุรกิจค้ารถหรูที่นำเข้าจากญี่ปุ่น และบรูไน ส่งขายจีนเทา ทางฝั่งพม่า ได้ปีละหลายร้อยคัน

วิธีการขยับขยาย กางปีกแผ่อิทธิพลของ “พี่โน” ขาใหญ่ชาวโรฮิงญาคนนี้คือเลือกที่จะคบเฉพาะข้าราชการระดับสูง จะไม่คบพ่อค้า แม่ค้า ชาวไทย ไม่ใส่ใจคบหานักธุรกิจคนไทยเชื้อสายจีน หรือคนไทยศาสนาอื่นๆ ในพื้นที่

แต่จะให้ความช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มโรฮิงญาที่นับถือศาสนาอิสลามด้วยกัน ให้เข้ามาหาเมียไทย หาช่องทางทำบัตรประชาชนคนไทย โดยติดต่อขอซื้อบัตรจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน มีการดีลงานทำบัตรคนพลัดถิ่น บัตรบุคคลไม่มีสถานะ และบัตรประชาชนไทยเทียม กันแล้วหลายต่อหลายรุ่น โดยตั้งราคาไว้ที่ใบละ 50,000 บาท ถึง 4,000,000 บาท ตามความยากง่าย


มีตัวละครชื่อ “นายอีเลี้ยต” โรฮิงญารุ่นใหญ่วัยใกล้ 60 ปี เป็นตัวกลางรับหน้าที่ประสานงาน ติดต่อว่าจ้างกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หลายพื้นที่มารับรองสถานะต่อนายทะเบียน

ส่วนข้าราชการไทย ที่รับเก็บหัวเบี้ยอยู่ตอนนี้ เป็นข้าราชการปฏิบัติการ ระดับอาวุโส งานทะเบียนราษฎร นามว่า “พี่กิจ”

ช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา คนทั้งแม่สอดรู้กันว่า “พี่กิจ” แสบสันต์ขนาดไหน เพราะมีเรื่องร้องเรียนมากมายเกี่ยวกับการฉ้อฉล รับเป็นตัวกลางสวมบัตรประชาชนให้คนต่างด้าวเดือนละหลายร้อยราย “พี่กิจ” คนนี้ในพื้นที่รู้กันดีว่า โคตรจะยิ่งใหญ่! สั่งการทำบัตรผีให้ได้ในหลายที่ว่าการอำเภอ จนเป็นข่าว เป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ทั่วพื้นที่เทศบาลนครแม่สอดมาแล้ว

ล่าสุดพลเมืองดีที่รักและหวงแหนแผ่นดินแม่สอดทนไม่ไหว ให้ข้อมูลกลับมาเพิ่มเติมว่าพอนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีของจีนเดินทางมาประเทศไทยได้ไม่นาน “พี่กิจ” คนนี้ก็ต้องอันตรธานตัวเองออกจากสารบบ

เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ ฝาก พล.อ.ทรงวิทย์ ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปสืบหาตัว “พี่กิจ” กลับมาเช็กบิลให้คนแม่สอดที เพราะตอนนี้ได้ข่าวมาว่า เจ้าตัวจมูกไว ด้วยการทำเรื่องขอลาออกจากราชการไปแล้ว โดยยื่นเรื่องอัปเปหิตัวเองกับทางต้นสังกัดไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

แม้จะยื่นลาออกจากราชการไปแล้ว ท่าน ผบ.สส. พล.อ.ทรงวิทย์ ลองให้คนไปตรวจสอบทรัพย์สินย้อนหลังดูหน่อยว่าร่ำรวยแค่ไหน และที่มาของเงินนั้นมาจากอะไร?

ถนนสายใหม่ของโรฮิงญา!

กลับมาถึงเรื่องเครือข่าย “มาเฟียโรฮิงญา” ภายใต้อุ้งอิทธิพลของ “พี่โน” ซึ่งหลายๆ คนเป็นพ่อค้ายาเสพติด บางคนยึดอาชีพขายรถมือสองแบ่งเปอร์เซ็นต์จาก “พี่โน”

ส่งรถเถื่อนต่อให้กองกำลังทางฝั่งพม่า นำไปสวมทะเบียนประเทศพม่า ให้พวกจีนเทา ทุนหนาใช้

เมื่อได้เงินจากการค้าขายของเทา ของดำ เป็นล่ำเป็นสัน ทุกวันนี้พวกมันเริ่มฟอกขาวตัวเอง ด้วยการหิ้วเงินสดไปกว้านซื้อที่ดินทั้งในถิ่นอำเภอแม่สอด อำเภอพบพระ อำเภอแม่ระมาด เก็บเอาไว้นับพันไร่


นั่นคือที่ดินบริเวณใกล้ศูนย์กลางการปกครองมากที่สุด ลองไปดูสองข้างทางถนนตัดใหม่ ช่วงห้วยแม่ตาว ไม่ไกลที่ทำการเทศบาลนครแม่สอด และแถวๆ หลังสนามบินแม่สอด

ซึ่งไทยแท้ๆ ลือว่าถนนสายนี้ไม่สมควรใช้ชื่อว่า “ถนนตัดใหม่นครแม่สอด” แต่น่าจะตั้งชื่อว่า “ถนนสายใหม่ของโรฮิงญา” เสียมากกว่า !!!


ขณะนี้ “พี่โน” วางใจใช้ลูกสมุนรายสำคัญ ชื่อ “นายสตาร์” มากว้านซื้อเก็บเอาไว้ มีการใช้เงินสดจ่ายให้เจ้าของที่ ผืนละ 2 ถึง 60 ไร่ วางเงินจ่ายหน้าแปลงกันทีคราวละหลายล้านบาท

ทั้งนี้ ที่ดินแต่ละแปลงจะมีการจัดสรรแบ่งออกเป็นล็อกๆ ขายกันงานละ 1-2 ล้านบาท ให้ผู้ซื้อวางมัดจำ รายละ 2 แสนบาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับสภาพพื้นที่เพื่อทำการจัดสรร


ที่ดินบางผืนถูกแบ่งพื้นที่ สร้างเป็นหมู่บ้านจัดสรรหลังย่อมๆ รอพวกโรฮิงญา พม่าหน้าแขก ที่พอมีกำลังทรัพย์จากฝั่งพม่ามาซื้อ มาจ้างคนไทยสวมชื่อครอบครอง

ว่ากันว่า ทีแรกก็จ้างคนไทยซื้อให้ในราคาหลังละ 5,000-10,000 บาท ต่อการใช้ชื่อครอบครองแต่ละปี แต่พอชาวโรฮิงญามาตั้งรกราก ออกลูกออกหลานมากเข้า จนได้บัตรประชาชนคนไทย ก็จะถ่ายโอนกรรมสิทธิ์จากไทยแท้ มาสู่ลูกหลาน ซึ่งก็คือ “ไทยเทียม” นั่นเอง

ที่ชาวบ้าน “ไทยแท้” ในพื้นที่แม่สอดบอกว่าถนนสายนี้เป็น “ถนนสายใหม่ของโรฮิงญา” คงไม่เกินจริง เพราะบ้านจัดสรรที่สร้างแล้วเสร็จ ขึ้นสลับกับบ้านจัดสรรที่กำลังก่อสร้าง สนนราคาหลังละ 2-3.3 ล้านบาท ยังมีพร้อมมัสยิดที่กำลังสร้างขึ้นมาให้พวกโรฮิงญาใช้รวมตัวกันอีก


แล้วอย่างนี้อีกหน่อยแม่สอดจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานไทยบ้าง?

แหล่งข่าวในพื้นที่ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา คนไทยแท้ๆ ที่แม่สอดต่างต้องหงอกันไปหมดเพราะ “โรฮิงญา” ลักลอบเข้ามาอยู่ในพื้นที่จังหวัดตาก มากเสียจนชาวบ้านดั้งเดิมแทบจะกลายเป็นคนส่วนน้อยไปแล้ว


ไปไหนก็เจอแต่พม่าหน้าแขก ขับรถราไร้ระเบียบวินัย ส่วนใหญ่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน พวกวัยรุ่นโรฮิงญาสร้างปัญหา เกกมะเหรกเกเร รังแกคนไทย ตั้งแก๊งก่ออิทธิพล เพราะย่ามใจที่มีบ้านใหญ่ อย่าง “พี่โน” คอยช่วยเคลียร์ปัญหา

“ท่านนายกฯ อุ๊งอิ๊งครับ ท่าน ผบ.สส. พล.อ.ทรงวิทย์ ครับ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ครับ เรื่องที่ผม สนธิ ฝากไว้คงไม่ยากเกินไป เพราะข้อมูลและตัวละครที่ผมนำมาเสนอในตอนนี้ล้วนแต่มีตัวตน อยู่อาศัยและกำลังสร้างความฉิบหายให้กับราชอาณาจักรไทยอย่างเต็มที่ครับ” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น