xs
xsm
sm
md
lg

มึงไม่อาย กูอาย! “สมยศ” ทิ้งขี้ท่วมสมาคมฟุตบอลฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“สมยศ” พูดเท่ๆ ตอนลงจากตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอล ว่า อิจฉาคนเข้ามาใหม่ เพราะสมาคมมีพร้อมแล้วทุกอย่าง เทียบกับสมัยตนเข้ามามีแค่กุญแจกดอกเดียว วาสนาคนเราไม่เท่ากัน แต่เอาเข้าจริงพอ “มาดามแป้ง” เข้ามากลับเจอแต่ปัญหาที่ถูกทิ้งไว้สะสาง ทั้งเรื่องแพ้คดีสยามสปอร์ต ต้องจ่าย 360 ล้าน แถมมีเรื่องหมกเม็ด จ่ายค่าทนาย 30 ล้านทั้งที่ตกลงแค่ 3 แสน กู้เงินฟีฟ่าต้องผ่อนใช้คืนถึงปี 73 แอบขายข้อมูลให้บริษัทมาเลย์ อ้างบริจาคเงินเดือนคืนสมาคม 32 ล้าน แต่ไม่รู้เงินอยู่ไหน



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แถลงข่าวการทำงานวาระครบ 1 ปี เมื่อวังอังคารที่ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา พร้อมแฉถึงการทำงานของสมาคมฯ ในยุคที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นนายกฯ ช่วงปี 2559-2567 ในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะ “ปัญหาผลประโยชน์-การเงิน”


ทั้งนี้ “มาดามแป้ง” เข้ามารับงานตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 สิ่งแรกที่ต้องเจอคือ "หนี้สิน" ที่ พล.ต.อ.สมยศ ทิ้งไว้ให้ โดยเงินในบัญชีของสมาคม ณ วันนั้น มีทั้งหมด 27.7 ล้านบาท ส่วนหนี้สินมี 132.6 ล้านบาท จากตัวเลขทรัพย์สินและหนี้สิน แสดงว่าในยุคของ “มาดามแป้ง” ต้องเริ่มแบบติดลบ 105 ล้านบาท !?!

ที่เป็นตลกร้าย คือวันสุดท้าย ของ พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะนายกสมาคมฯ บอกว่า "อิจฉาคนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่ ที่เข้ามาแล้วมีพร้อมทุกอย่าง ตอนที่ผมเข้ามามีแค่กุญแจดอกเดียวใช้เปิดเข้าสมาคม คนเรามันวาสนาไม่เท่ากันจริงๆ"


แต่พอ “มาดามแป้ง” เข้ามาเอากุญแจดอกนั้นไขเข้าไปกลับเจอ “กองหนี้สินมหาศาล” ที่ไม่ได้ก่อ แต่ต้องเป็นคนชดใช้

ทั้งนี้ หนี้ก้อนโตของสมาคมฟุตบลฯ อันเกิดจากความผิดพลาดของนายกสมาคมคนฯ คนก่อน ก์คือ หนี้สินอันเกิดจากการแพ้คดีบริษัทในเครือสยามสปอร์ต 360 ล้านบาท

โดยสมาคมฟุตบอลฯ ในยุคของ พล.ต.อ.สมยศนั้น มีคดีกับสยามสปอร์ต 2 คดี โดยสรุปคือ

คดีที่ 1 สยามสปอร์ต ฟ้อง สมาคมฟุตบอล 1,401 ล้านบาท โทษฐานฉีกสัญญาผู้ถือสิทธิประโยชน์ไทยลีก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบ
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 50 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาให้สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 450 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย
ศาลฎีกา พิพากษาให้สมาคมต้องจ่ายค่าเสียหาย 360 ล้านบาท บวกดอกเบี้ย
คกดีนี้สมาคมฟุตบอลฯ แพ้ทุกศาล ซึ่ง “มาดามแป้ง” บอกว่า หนี้สินจากคดีนี้ไม่ได้มีแค่เงินต้น 360 ล้านบาท แต่ดอกเบี้ยก็มหาศาลเกิน 200 ล้านบาทแน่นอน


คดีที่ 2 สมาคมฟุตบอลฯ ฟ้องสยามสปอร์ต ขอเอาทรัพย์สินคืน 1,139 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าสยามสปอร์ตทำเงินจากการเป็นผู้ถือสิทธิประโยชน์ แต่ไม่ยอมส่งมอบเงินให้สมาคม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้สยามสปอร์ต ต้องจ่ายค่าเสียหาย 99 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกา ไม่รับฎีกา
คดีนี้จึงถือว่าจบแล้วเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าสยามสปอร์ตเก็บเงินเอาไว้เอง ทำให้บทสรุปของคดีนี้ สยามสปอร์ตชนะอีกคดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายแม้แต่บาทเดียว

แปลว่า “มาดามแป้ง” มารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ 1 ปี มีหนี้สิ้นเริ่มต้น 105 ล้านบาท ตามด้วยหนี้ก้อนที่สองของสยามสปอร์ต (เงินต้น + ดอกเบี้ย) อีก 560 ล้านบาท รวมแล้วกลมๆ สมาคมมีหนี้สิ้นทั้งหมด 665 ล้านบาท ที่ต้องชดใช้

ในทางกฎหมาย คนที่ฉีกสัญญาของสยามสปอร์ตคือ "นิติบุคคล" คือ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่ใช่ตัว "สมยศ" แปลว่า ภาระหนี้สิ้นเหล่านี้ มาดามแป้งในฐานะนายกสมาคมคนปัจจุบัน ต้องเป็นคนหาเงินมาชำระให้เจ้าหนี้


สำหรับเรื่องการใช้หนี้ เมื่อศาลมีฎีกาพิพากษามาแล้ว ยังไงก็ต้องหาเงินมาชดใช้ โชคดีที่ทาง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ กับ “พี่วิ” ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามสปอร์ต สนิทสนมกันดี ก็อาจจะพอประนีประนอม ยืดเวลาจ่ายกันได้อยู่

แต่มาดามแป้งรู้สึกว่าการกระทำที่สร้างความเสียหายขนาดนี้ ไม่แฟร์เลยที่ พล.ต.อ.สมยศ จะรอดไปดื้อๆ ก็เลยไปศึกษาข้อมูล และพบว่ามีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 ที่ระบุว่า “นิติบุคคลที่ต้องชดใช้ความเสียหาย สามารถไล่เบี้ย ฟ้องร้องคืนจากคนที่ก่อความเสียหายได้”

มาดามแป้ง จึงเตรียมฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ และ สภากรรมการชุดก่อน ในมาตรา 76 นี้ โทษฐานฉีกสัญญากับสยามสปอร์ตโดยพลการ จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับสมาคม

"มาดามแป้ง" เปิดหน้าแฉ "สมยศ"

นอกจากนี้ มาดามแป้งยังแถลงอัด พล.ต.อ.สมยศเละเทะ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ แต่ผมรู้มานานแล้ว


มาดามแป้งตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจชื่อ "คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน" นำโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากจังหวัดเลย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคดีฟอกเงิน มาไล่เช็กรายรับ-รายจ่าย ของสมาคมยุคก่อนว่า เงินมันไปอยู่ไหนบ้าง
สิ่งที่ค้นเจอจากการตรวจสอบมีหลายอย่าง

[อย่างที่ 1 ]

คดีที่สมาคม ฟ้อง สยามสปอร์ต 1,139 ล้านบาท สมาคมฯ ในยุคของ พล.ต.อ.สมยศ ได้ติดต่อทนายความเอาไว้ และมีการตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายการว่าความแล้วเรียบร้อย

ศาลชั้นต้น 750,000 บาท, ศาลอุทธรณ์ 300,000 บาท และ ศาลฎีกา 300,000 บาท เป็นค่าวิชาชีพของทีมทนายความ

ในศาลชั้นต้น กับ ศาลอุทธรณ์ก็จ่ายกันไป ตามราคา แต่พอถึงศาลฎีกา (ที่ศาลไม่รับฟ้องด้วย)จากตัวเลขที่ตกลงกัน 3 แสนบาท อยู่ๆ ทางสมาคมไปจ่ายให้ทนายความ เป็นจำนวน 30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาดื้อๆ 100 เท่า

โดยการจ่ายเงิน 30 ล้านบาท เกิดขึ้นก่อน พล.ต.อ.สมยศ จะหมดวาระไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นไปได้หรือ ที่จะว่าความด้วยราคา 30 ล้านบาท? แล้วทำไมถึงจ่ายแพงกว่าร้อยเท่าจากเดิมที่ตกลงกัน

นี่คือการ "ทิ้งทวน" เอาเงินก้อนสุดท้าย ก่อนจะอำลาตำแหน่งหรือเปล่า ก็ไม่สามารถตอบได้


“จริงๆ เรื่องนี้เช็กได้ไม่ยาก ตรวจสอบได้เลยว่าสำนักงานทนายความอะไรที่รับงานสมาคมฯ ไป แล้วก็ถามว่า ทำไมค่าทนายชั้นศาลฎีกาถึงแพงถึง 30 ล้านบาท เผลอๆ อาจจะได้คำตอบที่ทุกคนช็อกและตื่นตะลึงว่า สำนักงานทนายความจะบอกว่า เราไม่เคยได้รับเลย 30 ล้านบาท เงินมันเข้ากระเป๋าสุนัขตัวไหนก็ไม่รู้” นายสนธิ กล่าว

[อย่างที่ 2 ]

ทุกๆ ปี ฟีฟ่าจะจ่ายเงินสนับสนุนให้สมาคมฟุตบอลทั่วโลกปีละ 1,250,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่พอมาดามแป้งเข้ามาทำงานในปีแรก ฟีฟ่ากลับจ่ายให้แค่ 750,000 ดอลลาร์เท่านั้น หายไป 5 แสนเหรียญ

ทีมงานของมาดามแป้งจึงไปค้นข้อมูล ปรากฏว่า สมาคมยุค พล.ต.อ.สมยศ ไปขอกู้เงินจากฟีฟ่า ในวันที่ 9 ตุลาคม 2563 เป็นจำนวน 5 ล้านดอลลาร์ (155 ล้านบาท)

ฟีฟ่าจ่ายให้ 5 ล้านดอลลาร์ตามคำขอ โดยแจ้งสมาคมให้ชดใช้คืน ด้วยการผ่อนจ่าย 10 ปี (2564-2573) ปีละ 5 แสนดอลลาร์ ซึ่งทางฟีฟ่าจะหักออกจากเงินสนับสนุนที่จะให้สมาคมเป็นรายปี ทุกปี เป็นจำนวน 10 ปี

นั่นคือเหตุผลที่สมาคมยุคมาดามแป้ง เงินจะหายไป 5 แสนเหรียญ (16.8 ล้านบาท) ทุกปี จนถึงปี 2573

นี่เป็นเรื่องที่มาดามแป้งเฮิร์ทมาก เพราะเธอหมดวาระนายกสมาคม ในปี 2571 เท่ากับว่าเธอต้องจ่าย 5 แสนเหรียญที่ พล.ต.อ.สมยศก่อขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนจบวาระของเธอ ขณะที่ 5 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากฟีฟ่าตอนแรกสุด ก็ไม่รู้อยู่ไหนแล้ว จับมือใครดมไม่ได้ มีข่าวว่าเอามาใช้จ่ายในช่วงโควิด ที่ไม่มีรายได้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง

“เป็นไปได้ไหมครับว่ามีการฉ้อโกงสมาคมฯ ในยุคที่ พล.ต.อ.สมยศ เป็นนายกสมาคมฯ จะฉ้อโกงโดยใครไม่รู้ ฉ้อโกงโดยคณะกรรมการสมาคมฯ หรือเปล่า ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าอันนี้เป็นคดีความได้” นายสนธิ กล่าว

[อย่างที่ 3 ]

พล.ต.อ.สมยศ ตัดสินใจขาย Data Analytics และ Gaming Right ของ ฟุตบอลไทยลีก และ ทีมชาติไทย ให้กับ บริษัท Perform จากมาเลเซีย


ทั้งสองอย่างคือ สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของฟุตบอลไทย เช่น เปอร์เซ็นต์การครองบอล, จำนวนใบเหลือง-ใบเหลือง, จำนวนนาทีที่ลงสนาม, ระยะทางการวิ่งของผู้เล่นแต่ละคน

ข้อมูลเหล่านี้ สามารถเอาไปใช้ในอะไรก็ได้ เช่น เอาไปสร้างเกมแฟนตาซี, เอาไปใช้เป็นข้อมูลสำหรับโต๊ะพนัน หรือถ้าคิด worst case คือเอาสถิติเหล่านี้มาศึกษาทั้งไทยลีก หรือทีมชาติก็ได้ เพื่อที่ชาติเพื่อนบ้านจะได้แซงหน้าเราไปได้ในอนาคต

พล.ต.อ.สมยศ ขายสิทธิ์ Data Analytics และ Gaming Right ยาวไปจนถึงปี 2571 ซึ่งมาดามแป้ง พยายามขอซื้อคืน เพราะไม่อยากให้ข้อมูลบอลไทยรั่วไหล แต่บริษัท Perform ไม่ขาย

เงินที่ได้จากการขายลิขสิทธิ์ก้อนนี้ "ไม่รู้อยู่ไหน" แต่ปัญหาไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น มันเป็นข้อมูลภายในของฟุตบอลไทย ที่ไม่รู้ว่าประเทศอื่นจะเอาไปใช้ทำอะไรก็ไม่รู้

[อย่างที่ 4 ]

ในวงการฟุตบอลไทยนั้น เป็นธรรมเนียม ที่นายกสมาคมจะไม่รับเงินเดือนกัน คนที่ลงสมัครนายกสมาคมจะรู้แต่แรกโดยธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนแรกที่รับเงินเดือนในฐานะนายกสมาคม โดยตั้งเงินเดือนให้ตัวเอง เป็นจำนวน 5 แสนบาท ไม่เพียงแค่นั้น ยังรับเงินอีกทาง ในฐานะผู้บริหารของบริษัท ไทยลีก อีกจำนวน 5 แสนบาทรวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้นเดือนละ 1 ล้านบาท


“เรื่องนี้ผมเคยพูดไปแล้วในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว”

เรื่องนี้ พล.ต.อ.สมยศ เคยอ้างว่า รับเงินเดือนมาก็จริง แต่ก็มีการบริจาคกลับคืนให้สมาคม เป็นจำนวน 32 ล้านบาท ไม่ได้เอาไปทั้งหมดขนาดนั้น

ปัญหาคือ ทีมตรวจสอบของมาดามแป้งไปหาเงิน 32 ล้านที่ว่านี้แต่ "ยังไม่พบ" จนถึงตอนนี้ ก็ไม่รู้ว่าเงินก้อนนี้อยู่ไหน ไม่รู้ว่ามีการบริจาคจริงตามที่พูดหรือเปล่า

งานนี้ อดีตนายกฯ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เข้ามารับตำแหน่งกับสโลแกนว่า "มาจับโจร" แต่กลับโดนข้อครหาจนเหมือนว่าเป็นโจรเสียเอง ก็ต้องหาข้อพิสูจน์ให้ได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด และถ้าบริหารงานด้วยความบริสุทธิ์ใจมาตลอด ก็ไม่เห็นต้องกลัวการตรวจสอบ เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

“คุณฟ้องผม ข้อหาผมหมิ่นประมาทคุณหลายๆ ข้อ หนึ่งในข้อนั้นคือเงินเดือนคุณ อีกหนึ่งข้อท่านผู้ชมฟังแล้วจะหัวเราะฟันหัก หาว่าผมหมิ่นประมาท คำพูดที่ผมบอกว่า ในยุคสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นนายกสมาคมฟุตบอลไทย ไม่เคยมีครั้งไหนที่สมาคมฟุตบอลไทยจะตกต่ำเท่าขนาดนั้น ผมคิดว่าคุณแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ คงจะเป็นพยานให้ผมได้ดีว่า เข้ามาแล้ว ดูปัญหาต่างๆ แล้ว สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในยุคสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั้น ตกต่ำจริงหรือเปล่า และนี่คือคำให้การของนายกสมาคมฯ คนปัจจุบันครับ” นายสนธิ กล่าว


ทั้งนี้ ตามที่นางนวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย บอกว่าจะใช้มาตรา 76 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฟ้องกรรมการสมาคมฯ ชุดเก่า นั้น ปัจจุบันก็ชัดเจนแล้วว่า มีกรรมการที่จะต้องถูกฟ้องฐานทำให้สมาคมฯ เสียหาย ได้แก่ (1) สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (2) ทรงธรรม เพียรพัฒนาวิทย์ (3) ศุภสิน ลีลาฤทธิ์ (4) ธนศักดิ์ สุระประเสริฐ (5) วิทยา เลาหกุล (6) อนุสรณ์ วงศ์วรรณ (7) ชาติชาย เจียมศรีพงษ์ (8) ทรงเกียรติ ลิ้มอรุณรักษ์ (9) สุวิทย์ พิพัฒน์วิไลกุล (10) สมเกียรติ กิตติธรกุล (11) ทรงยศ เทียนทอง (12) พล.ร.อ.นาวิน ธนเนตร (13) ธวัช อุยสุย (14) นันทนี วงศ์อำนิษฐกุล (15) วิชิต คนึงสุขเกษม (16) กรวีร์ ปริศนานันทกุล (17) ธนวัชร์ นิติกาญจนา (18) ณัฐ ชยุติมันต์

“โชคดีที่ในคณะกรรมการชุดนี้ไม่มีอดีตกรรมการเช่น พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก ซึ่งลาออกไปแล้ว เพราะขัดแย้งกับสมยศมาก เพราะว่าเป็นคนเอาเรื่องเงินเดือนสมยศไปร้อง ป.ป.ช. ด้วย ก็เลยลาออกมา ก็ให้รับทราบกันเอาไว้ก่อนนะครับว่านั่นคือสิ่งที่คนพวกนี้จะต้องโดนฟ้อง ส่วนคดีใครแพ้ ใครชนะ ก็ว่ากันไปตามในชั้นศาล แต่ว่าเท่าที่ดูหลักฐาน ดูเหตุผลแล้ว และดูเส้นทางการเงินแล้ว ผมคิดว่าทางฝ่ายผู้ฟ้อง คือนายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน คุณนวลพรรณ ล่ำซำ นั้น หลักฐานค่อนข้างหนาแน่น”
นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น