1 ปีต่อมา หลังเกิดเรื่องที่คลองกิ่ว จ.ชลบุรี รมว.อุตสาหกรรม สั่งดำเนินคดีกับโรงงานรีไซเคิล จ.สมุทรสาคร จากการตรวจของทีมสุดซอย พบเอกสารทางการค้า ระบุต้นทางโรงงานจีนที่คลองกิ่วด้วย และโรงงานนี้อยู่ในพื้นที่ติดกันกับ 3 บริษัทแรกในรัฐอิสระคลองกิ่วที่กำลังมีข้อสงสัย
รายงานพิเศษ
PART 1 ตำนาน รัฐอิสระคลองกิ่ว
เดือนมีนาคม ปี 2567 คำว่า “รัฐอิสระคลองกิ่ว” ถูกเผยแพร่ผ่าน MGR Online เป็นครั้งแรก
มันคือคำนิยามของ “อาณาจักรโรงงานรีไซเคิลทุนจีนเถื่อน” บนพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 88 ไร่ ที่อำนาจรัฐไทยไม่สามารถเข้าไปจัดการอะไรได้เลยก่อนหน้านั้น แม้จะถูกชาวบ้านร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบต่อแหล่งน้ำสาธารณะ เกิดฝุ่นควัน พืชผลทางการเกษตรเสียหาย และสัตว์เลี้ยงที่ไม่สามารถกินน้ำได้ มาตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2565 หรือ 2 ปีก่อนหน้านั้น
บนพื้นที่ 88 ไร่ ที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี มีโรงเรือนขนาดใหญ่ประมาณ 30 หลังเกิดขึ้น โดยเริ่มจากมีเพียง 2-3 หลังในปี 2561 และค่อยๆขยายตัวกลายเป็นอาณาจักรที่กว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ โรงเรือนเกือบทั้งทั้งหมดถูกดัดแปลงเป็นโรงงานที่มีอุปกรณ์สำหรับการหล่อหลอมและรีไซเคิล มีโกดังเก็บวัตถุดิบ มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านนับพันคนเข้ามาทำงาน แบ่งออกเป็นโซน A B C D ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท 3 แห่ง คือ บริษัท อิฟง จำกัด บริษัท ไทยฟุง 2020 จำกัด และ บริษัท ชุนฟุงฮง จำกัด จดทะเบียนเป็นโรงงานที่มีใบอนุญาตรวมกัน 11 ใบ ประกอบกิจการหล่อหลอมพลาสติก (โรงงานลำดับที่ 53) และทำหลุมฝังกลบของเสียที่ไม่เป็นอันตราย (โรงงานลำดับที่ 105) โดยทั้ง 3 บริษัท มีกรรมการผู้จัดการคนเดียวกัน ชื่อ หม่า ย่า เผิง เป็นชาวจีน
ชื่อ “รัฐอิสระคลองกิ่ว” กลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างมากจนถูกนำไปตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎร หลังมูลนิธิบูรณธนิเวศ และคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่ตรวจสอบและพบว่าการประกอบกิจการนี้เข้าข่ายผิดกฎหมายในทุกตารางเมตร ... เช่น
- ในพื้นที่ 4 โซน รวม 88 ไร่ มีเพียง โซน B เท่านั้น ที่อยู่ในอาณาเขตมีใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน และต้องประกอบกิจการหลอมพลาสติกเท่านั้นจึงจะถูกต้อง
- พื้นที่โซนอื่นๆ มีการก่อสร้างอาคาร ติดตั้งเครื่องจักรสำหรับการหลอมอย่างโจ่งแจ้ง หลายจุดมีคนงานกำลังต่อเติมอาคาร ขุดบ่อน้ำขนาดใหญ่ มีรถบรรทุกขนส่งวัตถุดิบวิ่งเข้าออกอย่างต่อเนื่อง มีกองของเสียอันตรายจำนวนมากถูกวางไว้กลางแจ้ง และมีรถแบ็คโฮกำลังทำอะไรบางอย่างกับของเสียเหล่านั้น
- เมื่อเปิดโกดังในพื้นที่โซน A พบขยะอิเล็กทรอนิกส์จำนวนหลายสิบตันกองอยู่นอกอาคาร มีทั้งแผงวงจร สายไฟ เศษเหล็ก และมีจำนวนหนึ่งถูกบดละเอียด ส่วนพื้นที่ในอาคาร พบโต๊ะที่กำลังคัดแลกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องบดอัดที่ยังมีร่องรอยของการทำงาน และกลุ่มคนงานหลายสิบคนรวมตัวกันวิ่งไปหลบด้านหลังอาคารที่เป็นบ่อน้ำทิ้ง
- จากบ่อน้ำทิ้ง ยังพบร่องรอยการขุดดินเป็นร่องน้ำ ปล่อยให้น้ำเสียจากกิจการรีไซเคิลอิเล็กทรอนิกส์ ไหลออกไปสู่แหล่งน้ำสาธารณะ (ผลตรวจจากห้องแล็บพบว่ามีค่าสารพิษหลายชนิดเกินค่ามาตรฐานไปมาก)
นี่เป็นเพียงตัวอย่างของการประกอบกิจการโรงงานรีไซเคิลที่ผิดกฎหมาย ทั้งไม่ประกอบการตามใบอนุญาต ทำในพื้นที่ที่ไม่มีใบอนุญาต ขนส่งและครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อสร้าง-ขุดบ่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ปล่อยมลพิษออกสู่ชุมชนและสิ่งแวดล้อม ... แต่ในวันที่ลงพื้นที่ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานอุตสาหกรรม จ.ชลบุรี บอกแค่เพียงได้ว่า ได้สั่งให้หยุดดำเนินการไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เป็นผล ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ไม่ดำเนินการใดๆ .... ที่นี่จึงเป็นราวกับ “รัฐอิสระ”
แต่ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ผ่านสื่อติดต่อกันหลายวัน “เจ้าพนักงานอุตสาหกรรม จ.ชลบุรี” ก็สามารถลงมาตรวจสอบ สั่งปิด ใส่เครื่องมือล็อกเครื่องจักรทั้งหมดไม่ให้ทำงานต่อได้ ท่ามกลางความสงสัยของคนในพื้นที่ว่า .... ทำไมไม่ทำเช่นนี้มาตั้งนานแล้ว ??
และในอีก 1 เดือนต่อมา “เมษายน 2567” รัฐอิสระคลองกิ่ว ก็กลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิบูรณะนิเวศ กำลังติดตามปัญหาการขนย้ายกากแคดเมียมจาก ต.ตาก มาที่ จ.สมุทรสาคร และพบว่า ลักษณะของบิ๊กแบ็กบรรจุแคดเมียมที่ จ.สมุทรสาคร มีลักษณะการเขียนข้อความคล้ายกับบิ๊กแบ็กที่เคยบันทึกภาพไว้ที่คลองกิ่ว จึงแจ้งเจ้ากรมโรงงานอุตสาหกรรมไปตรวจสอบ และพบว่า “แคดเมียม ปริมาณ 5 พันตัน” ถูกขนย้ายจาก จ.สมุทรสาคร มายังโรงงานเถื่อนที่คลองกิ่วตั้งนานแล้ว โดยไม่มีหน่วยงานใดรับรู้เลย
เมื่อเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ดูเหมือนว่า รัฐอิสระคลองกิ่ว จะถูกปิดตัวลงไปอย่างถาวร .... เหลือเพียงขั้นตอนการดำเนินคดีฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย และการจัดการขนย้ายซากของเสียอันตรายทั้งหลายไปกำจัดให้ถูกต้องเท่านั้น
PART 2 สัญญาณคืนชีพ “รัฐอิสระคลองกิ่ว”
1 ปีต่อมา หลังเกิดเรื่องที่คลองกิ่ว
8 มีนาคม ปี 2568 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งดำเนินคดีกับโรงงานรีไซเคิล (โรงงานลำดับที่ 106) 4 แห่ง ในพื้นที่ ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังทีมตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบตามข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่ และพบว่า โรงงานทั้ง 4 แห่ง อยู่ระหว่างถูกระงับการประกอบกิจการชั่วคราวไปแล้ว แต่ยังลักลอบประกอบการอยู่
พื้นที่นี้กลายเป็นจุดที่ได้รับความสนใจมากเช่นกัน เพราะสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงกับพื้นที่ “นาเกลือ” เพราะมลพิษจากโรงงานที่ถูกปล่อยออกมา ทำให้เกลือที่มีเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์ กลายเป็น “เกลือสีดำ”
“มีข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงได้ครับว่า ของเสียที่อยู่ในโรงงานกลุ่มนี้เป็น อาจจะเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งถูกเคลื่อนย้ายมาจากที่ คลองกิ่ว”
ชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความคดีสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทนายความให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากกากอุตสาหกรรมจากทั้งโรงงานวิน โพรเสส จ.ระยอง และโรงงานแว็กซ์ กาเบจ จ.ราชบุรี ได้มีการพบข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบกิจการของโรงงานในพื้นที่ ต.คลองกิ่ว ซึ่งมีความเชื่อมโยงของแหล่งที่มาของ “ซากอิเล็กทรอนิกส์” ที่ทำให้นาเกลือกลายเป็นสีดำ ใน จ.สมุทรสาคร
“จากการที่ทีมตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม พบเอกสารทางการค้าที่มีรายละเอียดของการส่งสินค้าประเภทขยะอิเล็กทรอนิกส์ ระบุต้นทางของสินค้าขยะอิเล็กทรอนิกส์นี้มาจากโรงงานจีนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีที่ตั้งโรงงานอยู่ที่ ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ด้วย ... และโรงงานนี้อยู่ในพื้นที่ติดกันกับ 3 บริษัทแรกในรัฐอิสระคลองกิ่วที่เรากำลังมีข้อสงสัยอยู่พอดีครับ”
“และเราสงสัยว่า ซากอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้ น่าจะถูกส่งมาจากพื้นที่คลองกิ่ว” ทนายชำนัญ เผยข้อมูลชุดใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ชำนัญ ศิริรักษ์ ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่คลองกิ่ว หลังได้รับการติดต่อจากผู้ได้รับผลกระทบบางส่วนให้ช่วยให้คำปรึกษาคดีด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากการเข้าพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และแสวงหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งมีการบันทึกภาพต่างๆ และปรากฏว่าไปได้ภาพที่น่าสนใจมากๆติดมาด้วย
นั่นคือ “กองซากอิเล็กทรอนิกส์” ในโรงงานจีนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านหลังโกดังในโซน A เดิม ที่ถูกเข้าตรวจสอบและถูกปิดไปเมื่อราว 1 ปีก่อน
“โรงงานนี้ ไม่ได้อยู่ใน 3 บริษัทเดิมที่ถูกสั่งปิดไป ภายนอกโรงงานดูดีกว่า 3 บริษัทที่มีปัญหา แต่พอเราบันทึกภาพจากมุมสูงในรอบหลังนี้ เรากลับพบว่า มีวัตถุลักษณะคล้ายกองซากอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากอยู่ในอาณาเขตของโรงงานดังกล่าวด้วย”
“ทั้งสองโรงงานที่พบนี้ เป็นคนละแห่งกันนะครับ แต่อยู่รอบๆหรือใกล้เคียงกับ 88 ไร่ ที่เราเรียกกันว่ารัฐอิสระคลองกิ่วเดิม และช่วงที่ผมลงพื้นที่ก็ยังเห็นคนงานกำลังถมดินปรับพื้นที่เพิ่มในบริเวณนี้เพิ่มเติม มีข้อมูลว่าจะมีการสร้างโรงงานแห่งใหม่อีกด้วย จึงขอตั้งข้อสงสัยว่า ได้ขออนุญาตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างไรหรือไม่ ว่าปรับพื้นที่ไปดำเนินกิจกรรมใด”
“ผมคิดว่า มีความจำเป็นต้องรีบไปตรวจสอบ เพราะตอนนี้เราเห็นความเชื่อมโยงกับซากขยะอิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง ... ทั้งยังเห็นลักษณะโกดังของโรงงานที่น่าสงสัยดังกล่าว ซึ่งต้องเร่งหาความจริงเกี่ยวกับการพิสูจน์ทราบที่มาที่ไปของขยะอิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้น ... อีกทั้งยังเห็นถึงการปรับที่ดินในพื้นที่บริเวณนี้ ... โดยกลุ่มคนงานบางส่วนก็ยังทำงานกันอยู่ในพื้นที่โรงงานที่ถูกคำสั่งปิดไป .... หรือ รัฐอิสระคลองกิ่ว รุ่นที่ 2 กำลังจะเกิดขึ้น” ทนายชำนัญ กล่าวทิ้งท้าย