นอร์เวย์เดินหน้าควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า – ยกเลิกคำสั่งห้ามนิโคติน แต่จำกัดรสชาติ

สื่อออนไลน์ชื่อดังของนอร์เวย์รายงานว่า รัฐสภานอร์เวย์มีมติเห็นชอบให้ ยกเลิกคำสั่งห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคติน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2016 โดยเป็นผลจากข้อตกลงเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA Agreement) และคาดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้

ปัจจุบัน นอร์เวย์ยังคง ห้ามจำหน่ายและนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าที่มีนิโคติน เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ อย่างไรก็ตาม บุคคลทั่วไปสามารถนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อใช้ส่วนตัวในทางการแพทย์ เช่น การเลิกบุหรี่ นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2024 เป็นต้นมา รัฐบาลนอร์เวย์ได้เพิ่มมาตรการควบคุม ห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าที่มี “กลิ่นและรสชาติพิเศษ” โดยอนุญาตเฉพาะรสยาสูบเท่านั้น

ดร. คาร์ล อีริค ลุนด์ นักวิจัยอาวุโสจากสถาบันสาธารณสุขนอร์เวย์ (NIPH) แสดงความคิดเห็นว่า การห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าในนอร์เวย์ อาจผลักดันให้เยาวชนหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าประเภทใช้แล้วทิ้งจากจีน ซึ่งไม่ได้รับการควบคุมมาตรฐานด้านความปลอดภัย

ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาตินอร์เวย์เผยว่า ประชากรนอร์เวย์ 6% ในช่วงอายุ 16-79 ปี ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำ โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัยหนุ่มสาว ขณะที่การสูบบุหรี่และการใช้ยาสูบแบบสนูส (Snus) ยังคงแพร่หลายในกลุ่มชายหนุ่ม

ดร. ลุนด์ เชื่อว่าการควบคุมการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการห้ามโดยสิ้นเชิง และควรมีระบบอนุญาตจำหน่ายที่สามารถกำกับดูแลส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ได้ “หากเรามีตลาดที่ได้รับใบอนุญาตและมีการกำกับดูแลโดยรัฐ ก็จะช่วยป้องกันการลักลอบนำเข้า และลดความเสี่ยงจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน” เขากล่าว พร้อมเตือนว่าการแบนผลิตภัณฑ์อย่างเด็ดขาดอาจนำไปสู่ ตลาดมืดที่ไร้การควบคุม รัฐสูญเสียรายได้จากภาษี และบุหรี่แบบมวนยังคงครองตลาดโดยไม่มีคู่แข่ง

นอกจากนี้ เขายังเน้นว่า การใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินเป็นพฤติกรรมที่มีมายาวนาน และการพยายามกำจัดอย่างสิ้นเชิงนั้นแทบไม่เคยประสบความสำเร็จ “เราควรมีแนวทางที่เป็นจริงมากขึ้น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อันตรายน้อยกว่าเป็นทางเลือกแทนบุหรี่ เหมือนที่อังกฤษและนิวซีแลนด์ทำอยู่ในขณะนี้” เขากล่าว

การเปลี่ยนแปลงนโยบายของนอร์เวย์กำลังถูกจับตามองว่าจะสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ และควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้านยังคงถกเถียงกันถึงแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการจัดการผลิตภัณฑ์นิโคตินในอนาคต