xs
xsm
sm
md
lg

ความจริงที่ซินเจียง ไหนว่า “อุยกูร์” โดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มณฑลซินเจียง ที่ชาติตะวันตกสร้างภาพว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวอุยกูร์ ยุยงให้แยกตัวเป็นเอกราชจากจีน และปลุกปั่นต่อว่าถูกทางการจีนปราบปราม บังคับใช้แรงงานอย่างทารุณในไร่ฝ้าย หรือถึงขั้นกล่าวหาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ตั้งค่ายกักกันลบล้างความคิดอิสลาม แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม เพราะซินเจียงเป็นเขตปกครองตนเอง มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา แม้เคยมีความพยายามแบ่งแยกดินแดน ก่อวินาศกรรมหลายครั้ง แต่ปัจจุบันได้รับการพัฒนาเป็น “เส้นทางสายไหมใหม่” รถไฟฟ้าความเร็วสูงเข้าถึง เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อ คุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น ประชากรอุยกูร์เพิ่มจาก 2 ล้านคนเป็น 12 ล้านคนในปัจจุบัน



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมณฑลซินเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถูกชาติตะวันตกปลุกปั่นว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวอุยกูร์ ยุยงให้แยกตัวเป็นเอกราช และซ่องสุมกลุ่มก่อการร้ายในนาม “เตอร์กิชสถานตะวันออก” ที่เคยก่อวินาศกรรมร้ายหลายครั้ง แต่ทุกวันนี้รัฐบาลจีนได้พัฒนาให้ซินเจียงเป็น “เส้นทางสายไหมใหม่” พาซินเจียงหลุดพ้นแดนก่อการร้าย

ซินเจียง เป็นดินแดนที่อยู่ทางภาคตะวันตกที่สุดของประเทศจีน เป็นมณฑลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีพื้นที่มากกว่า 1,660,000 ตารางกิโลเมตร หรือใหญ่กว่าประเทศไทยทั้งประเทศถึงกว่า 3 เท่าตัว

ในอดีตซินเจียงเป็นพื้นที่ที่ชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ลำบาก ทั้งด้วยการคมนาคมที่ไม่สะดวก และปัญหาจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดน มีเหตุก่อการร้าย วินาศกรรมอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ซินเจียงเป็นพื้นที่ที่ทางการจีนใช้มาตรการควบคุมความมั่นคงที่เข้มงวด

แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา นโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หรือ BRI มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนโฉมซินเจียง รัฐบาลจีนใช้ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ และมาตรการทางกฎหมาย ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีเหตุก่อการร้ายต่อเนื่องนาน 8 ปีแล้ว ประชาชนชาวซินเจียงก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน


ทุกวันนี้ เมืองต่างๆ ในซินเจียงมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงและมีเที่ยวบินจำนวนมาก นักท่องเที่ยวเดินทางไปซินเจียงอย่างคึกคัก ซินเจียงกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีการค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวซินเจียงเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าตัว เฉพาะปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 300 ล้านคนเดินทางมาเยือนซินเจียง

เขตปกครองตนเองแห่งแรกของจีน

ซินเจียงเป็นเขตการปกครองที่มีสถานะเทียบเท่ามณฑลของประเทศจีน แต่เนื่องจากประชาชนในซินเจียงมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวอุยกูร์ นับถือศาสนาอิสลาม รัฐบาลจีนจึงจัดตั้ง “เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์” ขึ้นตั้งแต่ปี 2498 (ค.ศ. 1955) หรือเมื่อ 70 ปีที่แล้ว เพื่อให้ชาวอุยกูร์มีสิทธิในการปกครองตนเองเป็นพิเศษ โดยเป็นเขตปกครองตนเองแห่งแรกของสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน


นอกจากชาวอุยกูร์แล้ว ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ อยู่ในซินเจียงด้วย 40-50 ชนชาติ ทั้งชาวฮั่น, ชาวคีร์กีซ, ชาวมองโกล, ชาวหุย, ชาวคาซัค พื้นที่ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้อาศัยอยู่จำนวนมากได้รับการจัดตั้งเป็นจังหวัดปกครองตนเอง / อำเภอปกครองตนเอง อยู่ภายใต้เขตปกครองตนเองซินเจียง การให้สิทธิปกครองตนเองกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สะท้อนจุดยืนของทางการจีน คือซินเจียงเป็นดินแดนที่มีหลากหลายวัฒนธรรม หลายชาติพันธุ์ และศาสนาอยู่ร่วมกัน

ซินเจียงเป็นพื้นที่สำคัญในเส้นทางสายไหมทางบก ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าสำคัญในสมัยโบราณ เชื่อมโยงจีนไปอินเดีย และตะวันออกกลาง หรือที่ในอดีตเรียกว่า เปอร์เซีย และไปสิ้นสุดที่ทวีปยุโรป

ซึ่งหากดูจากแผนที่ในปัจจุบัน ซินเจียงมีพรมแดนติดต่อกับประเทศต่างๆ มากถึง 8 ประเทศ ประกอบไปด้วย รัสเซีย, มองโกเลีย, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, ทาจิกิสถาน, อัฟกานิสถาน, ปากีสถาน และอินเดีย นอกจากนี้ ใต้ผืนแผ่นดินของซินเจียงยังมีน้ำมันสำรองอุดมสมบูรณ์ และเป็นพื้นที่ผลิตก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดของจีนอีกด้วย


ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หวังเปลี่ยนซินเจียงเป็นรัฐอิสลาม

ด้วยลักษณะพิเศษทั้งด้านชาติพันธุ์และภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ซินเจียงกลายเป็นเป้าหมายของขบวนการแบ่งแยกดินแดน กลุ่มก่อการร้าย และกลุ่มสุดโต่งทางศาสนา โดยตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 มีขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ใช้ชื่อว่า “เตอร์กิสถานตะวันออก” ได้จุดกระแสโดยอ้างว่า

- ชาวอุยกูร์เป็นเจ้าของดินแดนของซินเจียงแต่เพียงผู้เดียว (ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะจากการสำรวจประชากรล่าสุดเมื่อปี 2563 พบว่าในซินเจียงมีประชากร 25.85 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นชาวอุยกูร์อยู่ประมาณ 11.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนราว 45% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีชาวฮั่นอยู่ราว 11 ล้านคน และชนชาติอื่นๆ อยู่ร่วมกันอีกนับเป็นล้านคน)

- ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหนึ่งเดียวในซินเจียง และ

- ชาวอุยกูร์ในซินเจียงไม่ใช่คนจีน


“ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก” หรือ ETIM (East Turkestan Islamic Movement) ประกาศเป้าหมาย จัดตั้งรัฐอิสลามในซินเจียงและเอเชียกลาง โดยใช้ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์และความศรัทธาในศาสนา เพื่อแบ่งแยกผู้คน และปลุกระดมว่า นี่คือ “ญิฮาด” หรือสงครามศักดิ์สิทธิ์

ในปี 2511 มีการจัดตั้ง “พรรคปฏิวัติประชาชนแห่งเตอร์กิสถานตะวันออก” มีสาขาในเมืองอุรุมชี และคาชการ์ มีกองกำลังติดอาวุธเพื่อก่อวินาศกรรม ทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน ถือเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่มีการจัดตั้ง มีแนวปฏิบัติ และมีการวางแผน ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซินเจียงนับตั้งแต่สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมามีเหตุก่อการร้ายจากน้ำมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนซินเจียงหลายร้อยครั้ง มีผู้เสียชีวิตหลายพันคน ทำให้ “ขบวนการอิสลามเตอร์กิสถานตะวันออก” หรือ ETIM ถูกสหประชาชาติขึ้นบัญชีเป็นองค์กรก่อการร้าย และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็เคยขึ้นบัญชีกลุ่ม ETIM เป็นองค์กรก่อการร้ายเช่นเดียวกัน แต่ว่าในปี 2563 นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กลับได้ปลดกลุ่ม ETIM ออกจากบัญชีรายชื่อองค์กรก่อการร้ายของสหรัฐฯ


ในการก่อการร้ายในซินเจียงมีทั้งการวางระเบิดรถเมล์, สังหารอิหม่ามและครูสอนศาสนา, ก่อจลาจล, วางยาพิษประชาชน, ลักลอบนำเข้าระเบิดและอาวุธ, จี้เครื่องบิน เป็นต้น เหตุวินาศกรรมเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นในซินเจียงเท่านั้น แต่ยังขยายปฏิบัติไปยังเมืองอื่นด้วย

12 ปีที่แล้ว ในปี 2556 กลุ่มแบ่งแยกดินแดนซินเจียงเคยก่อเหตุอุกอาจ ถึงขนาดที่เคยขับรถพุ่งชนประชาชนบริเวณจัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่ง พร้อมปาระเบิดเพลิงเข้าใส่รูปประธานเหมาเจ๋อตง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บ 38 คน


ปีต่อมา 2557 กลุ่มแบ่งแยกดินแดนซินเจียงกว่า 10 คน ก่อเหตุใช้มีดไล่แทงประชาชนที่สถานีรถไฟเมืองคุนหมิง เป็นเหตุโหดเหี้ยมที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 31 ราย บาดเจ็บ 141 คน


นอกจากนี้ ยังมีปฏิบัติการข้ามประเทศ ทั้งการสังหารนักการทูตจีนและนักธุรกิจชาวอุยกูร์ในคีร์กีซสถาน และเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจติดอาวุธที่พรมแดนระหว่างจีน-เวียดนามด้วย

ความสงบสุขในซินเจียง จากนโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ใช้ทั้ง “ไม้แข็ง” และ “ไม้อ่อน” ในการจัดการปัญหาในซินเจียง โดย “ไม้แข็ง” คือใช้กฎหมายในการปราบปรามขบวนการก่อการร้าย ขณะเดียวกันก็ชี้นำประชาชนให้แยกแยะว่าแนวคิดสุดโต่งไม่ใช่แนวทางของอิสลาม ชักจูงให้ประชาชนที่หลงผิดให้หวนคืนสู่สังคม


ส่วน “ไม้อ่อน” ก็คือสร้างพัฒนาการเศรษฐกิจ เพราะเมื่อชาวซินเจียงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ก็จะไม่หลงไปเข้าร่วมกับกลุ่มก่อการร้าย โดยนโยบาย “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเปลี่ยนโฉมซินเจียง ทำให้ทุกวันนี้ไม่มีเหตุก่อการร้ายต่อเนื่องนาน 8 ปีแล้ว ประชาชนชาวซินเจียงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ในปีที่แล้ว GDP ของซินเจียงมีมูลค่าสูงถึง 2 ล้านล้านหยวน (หรือราว 10 ล้านล้านบาท) อยู่ในอันดับที่ 23 จาก 31 มณฑลของจีน และถ้าคิดเฉลี่ยเป็น GDP ต่อประชากร ซินเจียงจะอยู่ในลำดับที่ 16

คุณภาพชีวิตผู้คนในซินเจียงดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอายุขัย การศึกษา และรายได้เฉลี่ยของประชากร


พัฒนาการด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในซินเจียงที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน เช่น รถไฟความเร็วสูง ที่เชื่อมเมืองต่างๆ ในซินเจียง ไม่เพียงแค่ทำให้การเดินทางของผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น แต่ยังช่วยสร้างงานให้ชาวซินเจียง ทำให้ชาวซินเจียงได้ออกไปเห็นพื้นที่อื่นๆ ในประเทศจีน และเห็นโลกมากขึ้น ขณะที่ชาวจีนได้มาท่องเที่ยวและรู้จักซินเจียงมากขึ้นเช่นเดียวกัน

การพัฒนาระบบคมนาคมได้ช่วยให้ซินเจียง ที่เคยเป็นพื้นที่ห่างไกลเชื่อมโยงกับภูมิภาคอื่นๆ ของจีน เชื่อมโยงประชาชนเข้าด้วยกันด้วย และแน่นอนว่า ระบบคมนาคมนี้ก็ยังใช้ในการขนส่งสินค้าจากจีนไปได้ไกลถึงยุโรป เป็นเหมือนการฟื้นคืนชีวิตเส้นทางสายไหมในยุคใหม่


ทางการจีนรู้ดีว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาการแบ่งแยกดินแดน คือการครองใจประชาชนด้วยการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างงาน สร้างโอกาสแห่งชีวิต นี่คือ สิทธิมนุษยชนที่แท้จริง

ชาติตะวันตกสร้างเรื่องป้ายสีซินเจียง

หลังจากจีนประสบความสำเร็จในการสร้างเศรษฐกิจ, หยุดยั้งการก่อการร้าย และสร้างความสงบสุขในซินเจียงได้สำเร็จ บรรดาชาติตะวันตกก็เปิดประเด็นใหม่ โดยกล่าวหาว่า ทางการจีนใช้การปราบปรามการก่อการร้ายเป็นข้ออ้างเพื่อ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวอุยกูร์, จัดตั้งค่ายกักกันเพื่อลบล้างแนวคิดอิสลาม, ใช้แรงงานชาวอุยกูร์ไปเก็บฝ้าย เป็นต้น


1. ประเด็น ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
  • ขณะนี้ในซินเจียงมีประชากรมากกว่า 25 ล้านคน เป็นพื้นที่ที่มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีอัตราการเกิดมากถึง 7.1 (ต่อประชากร 1,000 คน) สูงเป็นอันดับที่ 10 ของมณฑลต่าง ๆ ทั่วประเทศจีน
  • ประชากรชาวอุยกูร์ ในช่วงสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ปี 2492 (ค.ศ.1949) มีชาวอุยกูร์ราว 2 ล้านคน ตอนนี้มีชาวอุยกูร์มากกว่า 12 ล้านคน (หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 ล้านคน)
  • ประชากรชาวอุยกูร์มีอัตราเพิ่มขึ้นมากกว่าชาวฮั่นถึง 6 เท่าตัว
  • เมื่อ 70 ปีก่อน อายุขัยเฉลี่ยของประชาชนซินเจียงอยู่ที่ 30 ปี เพราะระบบสาธารณสุขไม่ดี เด็กแรกเกิดเสียชีวิตสูงมาก ตอนนี้อายุเฉลี่ยของชาวซินเจียงอยู่ที่ 76 ปี



คำถามที่ต้องถามกลับ นี่หรือ คือสิ่งที่ชาติตะวันตกเรียกว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ?

2. ประเด็น จัดตั้งค่ายกักกัน ลบล้างแนวคิดอิสลาม


สื่อมวลชนจำนวนมากรายงานว่า รัฐบาลจีนตั้งค่ายกักกันในซินเจียง ควบคุมตัวผู้คนเป็นล้านๆ คนไปทรมาน

เครือ “ผู้จัดการ” เป็นสื่อเดียวในประเทศไทย ที่มี “มุมจีน” เพื่อรายงานข่าวเกี่ยวกับประเทศจีนโดยตรง, แปลข่าวจากภาษาจีน, ส่งผู้สื่อข่าวเดินทางไปเมืองจีน ลงพื้นที่ไปหาข้อมูลโดยตรงมากว่า 20 ปีแล้ว ไม่ได้รายงานข่าวจากปากของสื่อฝรั่งที่มีอคติ และแฝงนัยทางการเมือง


ผู้สื่อข่าวของเราได้เดินทางไปซินเจียง ไปเยือนมัสยิดหลายแห่ง และได้สนทนากับอิหม่ามหลายคน ที่พูดตรงกันว่ามุสลิมทั่วโลกต่างยอมรับว่าแนวคิดสุดโต่งไม่ใช่แนวทางของอิสลาม กลุ่มแบ่งแยกโดยศาสนาเป็นข้ออ้าง แต่แท้จริงแล้ว การใช้ความรุนแรงคือการทำลายศาสนา และความสงบสุขของสังคม

รัฐธรรมนูญของจีนได้รับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา และสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เสรีภาพที่ว่านี้ คือสามารถเลือกนับถือศาสนาใดๆ หรือไม่นับถือศาสนาเลยก็ได้

ผู้นำจีนตั้งแต่ประธานเหมาเจ๋อตง มาจนถึงสีจิ้นผิง ก็ให้ความเคารพต่อตัวแทนของศาสนาต่างๆ ในการประชุมสองสภาที่กำลังมีขึ้นที่กรุงปักกิ่งขณะนี้ ก็มีผู้แทนที่เป็นชาวอุยกูร์ และทุกชนเผ่าของจีน


ส่วนเรื่องค่ายปรับทัศนคติ ฝ่ายจีนไม่เคยใช้คำว่า ค่าย หรือ Camp ซึ่งสะท้อนทัศนะในเชิงลบของสื่อตะวันตก แต่ฝ่ายจีนเรียกว่าเป็น ศูนย์ให้การศึกษาใหม่ หรือ Reeducation Center ศูนย์นี้จะแยกประชาชนที่หลงผิดออกจากผู้บริสุทธิ์ ช่วยให้ประชาชนแยกแยะได้ว่าอะไรคือศาสนา อะไรคือลัทธิสุดโต่ง รวมทั้งมีการฝึกอาชีพ เพื่อให้ผู้ที่หลงผิดกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ


3. ประเด็น บังคับใช้แรงงาน

ชาติตะวันตกกล่าวว่า ในซินเจียงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน บังคับใช้แรงงานเพื่อเก็บเกี่ยวฝ้าย โดยสหรัฐฯ และชาติยุโรปได้ออกมาตรการคว่ำบาตรสินค้าที่ใช้ฝ้ายจากซินเจียง แฟชั่นแบรนด์เนมหลายยี่ห้อ ประกาศว่าสินค้าของตนไม่ได้ใช้ฝ้ายจากซินเจียง

กระแสคว่ำบาตรยังลามไปถึงภาพยนตร์เรื่อง “มู่หลาน” ที่อ้างว่ามีการถ่ายทำที่ซินเจียงด้วย


แต่ความเป็นจริงก็คือ ซินเจียงเป็นแหล่งผลิตฝ้ายคุณภาพดีที่สำคัญของโลก แต่ละปีผลผลิตฝ้ายในซินเจียงมีมากถึง 5.2 ล้านตัน คิดดูง่ายๆ ก็คงรู้ได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้แรงงานคนมาเก็บฝ้าย โดย 85% ของฝ้ายซินเจียงใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยว ด้วยเหตุผลคือ
1. ต้นทุนใช้เครื่องจักรมีราคาถูกกว่าใช้แรงงานคน
2. แบ่งเบาภาระเกษตรกร ไม่ต้องทำงานหนัก
3. เครื่องจักรมีประสิทธิภาพมากกว่า เก็บฝ้ายได้เร็วกว่า เสียหายน้อยกว่าใช้แรงงานคนเก็บ

เครื่องจักรเก็บฝ้ายที่พัฒนาขึ้นโดยโรงงานในจีน ยังใช้เทคโนโลยีระบุพิกัดด้วยดาวเทียม, ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม และกำลังพัฒนาให้ใช้พลังงานใหม่ เช่น ใช้ไฟฟ้า, พลังงานแสงอาทิตย์ ในเดือนตุลาคมที่เป็นฤดูเก็บฝ้าย เกษตรกรจะจ้างรถเก็บฝ้ายมา โดยค่าตอบแทนของคนขับรถเก็บฝ้ายถือว่าสูงมาก ประมาณ 10,000 หยวน หรือ 50,000 บาทต่อเดือน


4. ประเด็นเลือกปฏิบัติ กดขี่ชาวอุยกูร์

ชาติตะวันตกใส่ร้ายว่า ทางการจีนบังคับชาวอุยกูร์ให้ทำหมัน แต่งงานกับชาวฮั่น บังคับเรียนภาษาจีน ห้ามทำละหมาด ห้ามถือศีลอด รื้อมัสยิด

แต่ภาพที่เห็นได้จากความเป็นจริงก็คือ “ชาวมุสลิมอุยกูร์” สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ตามสมัครใจ ทั่วซินเจียงมีมัสยิดหลายร้อยแห่ง มีสถาบันการศึกษาชั้นสูงด้านศาสนา 10 แห่ง

ภาพการทำละหมาดช่วงบ่ายที่มัสยิดแห่งหนึ่งกลางเมืองอุรุมชี ที่ผู้สื่อข่าว วริษฐ์ และดวงพร ลิ้มทองกุล เคยบันทึกภาพเอาไว้เมื่อเดือนสิงหาคม 2548 เมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นวิถีชีวิตตามปกติ คนที่นับถือศาสนาอื่น นักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติก็ใช้ชีวิตกันตามปกติ
ชาวอุยกูร์จะเลือกเรียนสายสามัญ หรือสายศาสนาก็ได้ ถ้าเลือกเรียนศาสนาก็มีทุนการศึกษา ไปเรียนที่ อียิปต์ ลิเบีย ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย

รัฐบาลจีนไม่เคยรื้อถอนมัสยิด มีแต่ออกเงินซ่อมแซม บูรณะ โดยเน้นรักษาสถาปัตยกรรมเดิมไว้

นอกจากนี้ ชาวซินเจียงได้รับสิทธิหลายเรื่องมากกว่าชาวจีนในพื้นที่อื่นๆ ด้วยซ้ำ เช่น เรื่องการศึกษา กล่าวคือ
  • ชาวจีนทั่วไปจะเรียนหนังสือฟรี ตามการศึกษาภาคบังคับของรัฐบาล 9 ปี คือ ชั้นประถม 1 ถึง มัธยม 3
  • แต่ว่าในซินเจียง เรียนฟรี 15 ปี คือ อนุบาลถึงมัธยมปลาย เด็กในซินเจียงทุกคนจะได้เรียน 2 ภาษา คือ ภาษาจีนกลาง กับภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ตัวเอง



ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นอกจากไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว โรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ยังจัดอาหาร 4 มื้อให้ฟรีด้วย คือ มื้อเช้า กลางวัน อาหารว่างตอนบ่าย และอาหารเย็น โดยเด็กนำกลับไปกินที่บ้านได้


อีกตัวอย่างหนึ่งเรื่องสถานะของชาวอุยกูร์ ก็คือ ดารา-นางแบบสาวที่ชื่อว่า “ตี๋ลี่เล่อปา” ตอนนี้อายุ 33 ปี เธอเป็นชาวอุยกูร์ เกิดที่ซินเจียง เธอเป็นซุป'ตาร์เบอร์ต้นๆ ของจีน มีผลงานการแสดง ถ่ายแบบมากมาย, ได้รับโอกาสให้แสดงในงานฉลองตรุษจีนของ CCTV, เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์ต่างๆ ทั้งในประเทศจีนและแบรนด์ระดับโลกมากกว่า 30 แบรนด์ รวมรับค่าตัวปีละกว่า 3,700 ล้านหยวน (คิดเป็นเงินไทยก็ 17,000 กว่าล้านบาท) เธอทำให้วัฒนธรรมของชาวอุยกูร์เป็นที่รู้จักของคนจีน และทำให้นักท่องเที่ยวแห่ไปเที่ยวซินเจียงกันอย่างมากมาย




"ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า ข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลจีนต้องการลบล้างวัฒนธรรมของซินเจียง กดขี่ข่มเหงชาวอุยกูร์นั้น ไม่เป็นความจริง เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้ายสีจีน ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ก็ถือว่าเป็นการกระชากหน้ากากจอมปลอมของรัฐบาล องค์กรต่างๆ รวมไปถึงสื่อมวลชนตะวันตก และสื่อมวลชนไทยที่หูหนวกตาบอด หลับหูหลับตาปล่อยฝรั่งอ้างคำว่า "สิทธิมนุษยชน" มาจูงจมูก โดยที่ไม่เคยลืมตาดูโลกแห่งความเป็นจริงเสียบ้างเลย" นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น