xs
xsm
sm
md
lg

ส่ง 40 อุยกูร์กลับจีน ฉีกหน้ากากจอมปลอมของชาติตะวันตก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปฏิบัติการส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน ฉีกหน้ากากชาติตะวันตกที่ดีแต่ปาก ฉวยโอกาสประณามไทยเพื่อกระทบจีน แต่ไม่กล้ากดดันจีนโดยตรง อ้างหลายประเทศพร้อมรับ แต่ไม่มีประเทศไหนสนใจมารับตัวไปจริงจัง ส่วนตุรกีได้เปลี่ยนนโยบายเรื่องอุยกูร์มาหลายปีแล้วและไม่แยแสที่ไทยส่งกลับจีน องค์กรมสุลิมอย่าง OIC ก็ไม่แสดงท่าทีอะไร มีแต่ชาติตะวันตกที่ทำทีห่วงใยชาวอุยกูร์ 40 คนแต่ประเทศตัวเองกดขี่ข่มเหง-สังหารชาวมุสลิมไปหลายล้านคนแล้ว



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 7 มีนาคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คน กลับไปประเทศจีน เมื่อเช้าตรู่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งบรรดาชาติตะวันตก คือ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย รวมถึง สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ต่างเรียงหน้ากันออกมาประณามว่า ไทยกำลังส่งชาวอุยกูร์ไปพบกับอันตราย ถูกทรมาน ละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ


ขณะที่ สถานทูตจีน ประจำประเทศไทย ชี้แจงว่า ชาวจีนที่ถูกส่งตัวกลับในครั้งนี้เป็น ผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองไทยโดยผิดกฎหมาย ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย คนพวกนี้ถูกกักขังอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี(มีคนที่เสียชีวิตระหว่างถูกกักขัง 5 คน เป็นเด็ก 2 คน) ประเทศใหญ่บางประเทศ ได้ส่งผู้ลักลอบอพยพโดยผิดกฎหมายกลับประเทศมากกว่า 270,000 คนในปีที่แล้ว แต่ใช้สองมาตรฐาน และแทรกแซงกิจการภายในของรัฐที่มีอำนาจอธิปไตยอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ เมื่อราวสิบปีที่แล้ว ชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก่อการร้ายได้ก่อเหตุรุนแรงในประเทศจีนหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการขว้างระเบิดเพลิงไปที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน หรือการเอามีดไล่แทงคนจีนที่สถานีรถไฟคุนหมิง


รัฐบาลจีนจึงตัดสินใจที่ปราบปรามผู้ก่อการร้ายพวกนี้อย่างรุนแรง เป็นเหตุทำให้หลายคนหลบหนีออกไปยังประเทศต่างๆ และประเทศไทยก็เป็นจุดหมายหนึ่งที่จะเข้ามาเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย ทั้งๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย จึงกลายเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย

หลังจากที่ทางการไทยส่งชาวอุยกูร์กลับไปยังมณฑลซินเจียงแล้ว ก็มีการเผยแพร่ภาพชาวอุยกูร์ได้กลับบ้าน พบครอบครัว ซึ่งถือเป็นการปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ดีที่สุด และรัฐบาลจีนก็บอกว่า จะช่วยหางานทำและพัฒนาทักษะวิชาชีพ เพื่อช่วยให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตปกติได้โดยเร็วที่สุด


แต่บางคนก็ยัง “แซะ” ว่า ภาพที่เผยแพร่ออกมาเป็นการ “จัดฉาก-สร้างภาพ” ซึ่งที่จริงแล้ว ชีวิตของชาวอุยกูร์หลังจากนี้ ก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของประเทศจีน เพราะว่าพวกเขาเป็นพลเมืองจีน ถ้าหากบรรดาชาติตะวันตกคิดว่า พวกเขาจะถูกประหัตประหาร ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็ควรจะไปกดดันกับทางรัฐบาลจีน ไม่ใช่รัฐบาลไทย เพราะเราได้ส่งตัวคนเหล่านี้กลับประเทศต้นทางตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศแล้ว


จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นใน ปี 2557 มีชาวอุยกูร์กว่า 350 คน ถูกจับกุมตัวได้ที่จังหวัดสงขลา ขณะที่กำลังจะพยายามลักลอบหนีไปยังมาเลเซีย หลังจากนั้นก็ได้มีการดำเนินคดีในข้อหา“ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” ซึ่งโทษก็คือ รอผลักดันออกนอกประเทศไทย

แต่ว่าชาวอุยกูร์เหล่านี้ยืนยันว่า ไม่อยากกลับไปเมืองจีน และรัฐบาลไทยก็ถูกนานาชาติกดดันว่า ห้ามผลักดันกลับไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) ตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ทั้ง ๆ ที่ ประเทศไทย ก็ไม่ได้เป็นภาคีอนุสัญญานี้

ชาวอุยกูร์เหล่านี้ก็เลยถูกกักขังในสถานกักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ซอยสวนพลู มานานกว่า 10 ปี ทั้ง ๆ ที่ตามโทษลักลอบเข้าเมืองแล้ว พวกเขาไม่ควรจะถูกควบคุมตัวนานถึงขนาดนี้

ในกรณีเช่นนี้จริง ๆ แล้ว รัฐบาลไทยมี 3 ทางเลือกในกรณีนี้ คือ 1.ส่งกลับประเทศจีน 2.ส่งไปประเทศที่สาม 3.ให้สถานะอยู่ในประเทศไทย


ขอถามว่า ถ้าจะให้คนเหล่านี้อยู่ในเมืองไทย คนไทยจะรับได้ไหม ? เพราะลำพังทุกวันนี้ คนพม่า เขมร ลาว ที่ลักลอบเข้ามาทำงานในเมืองไทยก็มีมากมายหลายล้านคนอยู่แล้ว แย่งงานคนไทย สร้างภาระด้านการศึกษา การสาธารณสุข ความมั่นคงและความปลอดภัย มากมาย นี่ยังไม่รวมคนต่างชาติ “สีเทา”, แก๊งอาชญากรต่างชาติอีกเยอะแยะ

ด้วยเหตุนี้ ทางเลือกที่เป็นไปได้ก็คือ ส่งกลับประเทศจีน หรือ ส่งไปประเทศที่ 3 ซึ่งในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปี 2558 ก็เคยส่งชาวอุยกูร์ผู้ชาย 109 คนกลับไปประเทศจีน และส่งผู้หญิงและเด็ก 170 คนไปตุรกี ซึ่งรองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย บอกว่า หลังจากครั้งนั้นก็ไม่มีประเทศไหนยอมรับตัวชาวอุยกูร์ไปอีกเลย มี จีน ประเทศเดียวที่ขอมา จึงตัดสินใจส่งตัวกลับประเทศจีน

ตุรกีเปลี่ยนนโยบาย ส่งอุยกูร์กลับเมืองจีน


หลายคนออกมาพูดอ้างว่า “ตุรกี” อยากจะรับคนพวกนี้ เพราะเมื่อพิจารณาปัจจัยรอบด้านแล้ว “ตุรกี” ดูจะเป็นประเทศที่เหมาะสมที่สุดในการรับชาวอุยกูร์ เพราะว่าเป็นชนชาติเติร์กเหมือนกัน ภาษาวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน และก็เคยรับชาวอุยกูร์ไปแล้วหลายครั้ง แต่ความเป็นจริงก็คือ ไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ อยากจะเป็น “ม้าอารี” รับคนต่างด้าวเข้าไป ที่รับๆ ไปก็ “มีแผนการ” ทั้งนั้น

ตุรกีเองก็รับแต่ “อุยกูร์” ไม่เอา ชาวโรฮิงญา หรือ ชาวปาเลสไตน์ เพราะต้องการใช้คนเหล่านี้เป็นหมาก ต่อรองกับจีน รวมถึงหนุนหลังกลุ่มนักรบชาวอุยกูร์ ให้ไปสู้รบในอัฟกานิสถาน, ซีเรีย และที่อื่น ๆ คาดว่ากลุ่มนักรบอุยกูร์ มีมากกว่า 4,000 คน


ทว่า ในช่วงไม่กี่ปีหลังมานี้ ตุรกีได้เปลี่ยนนโยบายโดยเฉพาะหลังสงครามยูเครน กระแสต่อต้านผู้อพยพในยุโรปสูงมาก ส่งผลต่อการเมืองในประเทศยุโรป นักการเมืองทุกคนกลัวจะเสียคะแนน ซึ่งก็จริง เพราะในการเลือกตั้งช่วง 3 ปีมานี้ ฝ่ายขวายึดยุโรปหมด

ประมาณสิบกว่าปีก่อน เมื่อปี 2555 ผู้นำตุรกี นายแอร์โดอันเคยเดินทางเยือนซินเจียง และหลังจากนั้นก็ปรับท่าทีใกล้ชิดกับจีนมาขึ้น เพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ+การลงทุนจากจีน รวมถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ และก็ค้ำยันอำนาจของตัวเองด้วย เพราะนายแอร์โดอันอยู่ในอำนาจมานานถึง 22 ปีแล้ว


เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ “ตุรกี” จึงไม่ใช่สวรรค์สำหรับผู้อพยพชาวอุยกูร์อีกแล้ว ชาวอุยกูร์อพยพหลายคนไม่ได้รับสัญชาติตุรกี ทำงานไม่ได้ ชีวิตยากลำบาก หลายคนที่ถูกดำเนินคดีเพราะเคลื่อนไหวทางการเมือง หลายคนเข้าไปร่วมกับกลุ่มนักรบฮิญาด เป็นนักรบรับจ้าง

นอกจากนี้แล้ว เมื่อ “ตุรกี” รับตัวชาวอุยกูร์มา ก็ยังมีการส่งตัวชาวอุยกูร์หลายสิบคนกลับไปให้ประเทศจีนด้วย โดยส่งผ่านประเทศที่ 3 คือ ทาจิกิสถาน และประเทศอื่น ๆ ก่อนที่จะส่งกลับไปยังประเทศจีน


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรายงานข่าวว่าในช่วงโรคระบาดโควิด-19 ระบาด ตุรกีเคยใช้การส่งตัวชาวอุยกูร์ เป็นหมากต่อรอง เพื่อแลกกับวัคซีนโควิดจากประเทศจีน เสียด้วยซ้ำ

"เพราะฉะนั้น ที่ออกมาเคลื่อนไหวอ้างว่าตุรกีต้องการรับชาวอุยกูร์ แต่ไทยไม่ส่งให้ ไม่ว่าจะเป็นนายหิวแสง อย่างนายกัณวีร์ สืบแสง สส. พรรคเป็นธรรม รอมฎอน ปันจอร์ สส. พรรคประชาชน นายสุนัย ผาสุข Human Rights Watch หรือ Amnesty International กับสื่อสามกีบ ลิ่วล้อฝรั่งตะวันตก รวมทั้งเว็บไซต์/เพจ The Reporters ของ แยม ฐปณีย์ กรุณาอัปเดตข้อมูลนี้ด้วยนะครับ นี่คือความจริงที่มีหนึ่งเดียว ไม่ได้มโน ไม่เหมือนพวกคุณที่มโนกันทุกวันนี้" นายสนธิกล่าว


หลักฐานล่าสุด ที่ชี้ชัดว่า ตุรกี ไม่ได้แยแส หรือ อยากจะรับชาวอุยกูร์ไปจากประเทศไทยก็คือ ใน วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ไทยจะมีการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีนแค่ 3 วัน คณะทูตตุรกีได้ไปพบกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ซึ่งก็น่าจะมีการแจ้งให้ทราบเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องชาวอุยกูร์


แต่ฝ่ายตุรกีก็ไม่มีท่าทีอะไร และหลังจากที่มีการส่งตัวชาวอุยกูร์แล้ว สถานทูตตุรกี, รัฐบาลตุรกีไม่มีแถลงการณ์อะไรออกมาเลย มีแต่ชาติตะวันตก กับญี่ปุ่นที่ออกมาโวยวาย แต่ตัวเองกลับไม่ยอมรับผิดชอบอะไรเลย!

สรุปแล้วขณะนี้ชาวอุยกูร์ 40 คนได้กลับบ้านที่เมืองจีนแล้ว หลังจากพวกเขาถูกกักขังต้องทนทุกข์ทรมานในเมืองไทยนานกว่า 10 ปี เรื่องนี้มีแต่ชาติตะวันตกที่ออกมาประณามประเทศไทย แม้แต่ประเทศมุสลิมอย่าง ตุรกี มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร


อเมริกาและชาติตะวันตกที่ข่มเหง+เข่นฆ่ามุสลิมทั่วทั้งโลกมาแล้วหลายล้านคน แต่วันนี้ทำไมมาห่วงมุสลิมอุยกูร์ 48 คน แล้วทำไมประเทศเหล่านี้ไม่รับตัวไปตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว?

ในปี 2564 สหรัฐฯ ถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน ก็ไปเจรจาให้กาตาร์ และ UAE รับตัวผู้อพยพไว้ชั่วคราวเพื่อรอหาประเทศที่สาม แต่สุดท้ายไม่มีประเทศไหนรับตัว สหรัฐฯ ก็ไม่สรุปและไม่รับผิดชอบ กาตาร์และ UAE ต้องรับภาระไปเรื่อย ๆ


แต่กาตาร์ UAE ไม่อดทนเหมือนไทย แค่ผ่านไป 3-4 ปี เขาส่งกลับแล้ว หลายคนถูกส่งกลับอัฟกานิสถาน และบางคนถูกสังหารโดยตอลีบัน

ทุกวันนี้ สหรัฐฯ ไม่มีสถานภาพอะไรที่จะมีความชอบธรรมมาเทศนาสอนคนอื่นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ สนใจแค่ "อเมริกาต้องมาก่อน" ถอนตัวจากคณะมนตรีสิทธิของสหประชาชาติ และมิหนำซ้ำ นายทรัมป์ ยังประกาศจะยึดกาซามาทำรีสอร์ตให้กับภาคเอกชนของตัวเองด้วย

ในเมื่อสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงโลกมุสลิมก็ไม่กระตือรือล้น ไม่กล้ากดดันจีนโดยตรง แต่ดันมากดดันไทย เรื่องราวจึงออกมาเป็นอย่างที่เราเห็นกันอยู่


กำลังโหลดความคิดเห็น