xs
xsm
sm
md
lg

เจาะขบวนการ “ฮั้วเลือก ส.ว.” ไม่ชั่วจริงทำไม่ได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะข้อมูลฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.ในมือดีเอสไอ พบ ส.ว.ที่ได้รับเลือกตั้ง 138 คน และสำรองอีก 2 คน มาจากขบวนการฮั้ว มีผู้สมัครที่เกี่ยวข้องในขบวนการ 1,200 คนจาก 3,000 คนที่ผ่านเข้าสู่ระดับประเทศ โดยมีการจ่ายเงินหัวละ 5,000 บาทในระดับอำเภอ 1 หมื่นบาทในระดับจังหวัด และ 4 หมื่น-1 แสนบาทในระดับประเทศ ขณะที่ กกต.ปล่อยเกียร์ว่าง แม้มีร้องเรียนเข้ามาถึง 570 คำร้อง!



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงคดีฮั้วเลือก ส.ว. ซึ่งเมื่อวันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้เลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนจะประชุมอีกครั้งในวันที่ 6 มีนาคม โดยจะเชิญสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาชี้แจงอีกครั้งก่อนพิจารณาเพื่อรับเป็นคดีพิเศษในอำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) หรือไม่

เหตุผลที่แท้จริงทำให้ต้องเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนนั้น เป็นเพราะ “เสียงไม่แน่นอน” ที่จะรับเป็นคดีพิเศษ และมีบอร์ดบางรายที่ไม่เข้าร่วมประชุม บางรายก็ต้องการคำชี้แจงเพิ่มเติมจากสำนักงาน กกต.


ประชาชนที่ส่วนใหญ่อยากให้ดีเอสไอทำคดีไขความจริงออกมาเสียที เนื่องจากเบาะแส “การฮั้วเลือก ส.ว.” มีออกมามากมายเหลือเกิน และเมื่อไม่กี่วันก่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก็ตอกย้ำว่ามี “ส.ว.สีน้ำเงิน” ที่เข้ามาโดยการทุจริตเลือกตั้ง 138 คน สำรองอีก 2 คน จากจำนวน ส.ว. 200 คน

จริงๆ พิรุธเกี่ยวกับเรื่องนี้คนเขารู้กันทั่วประเทศ มีเพียง กกต.ที่นำโดย นายแสวง บุญมี เลขาฯ กกต. ที่เป็นศิษย์ก้นกุฏิของ นายชัย ชิดชอบ บิดาของนายเนวิน ชิดชอบ เท่านั้นที่ทำไม่รู้ไม่เห็น

ย้อนที่มาที่ไปก่อนที่ “คดีฮั้วเลือก ส.ว.” จะมาอยู่ในมือดีเอสไอ มีคำร้องอย่างน้อย 3 คำร้องที่ส่งถึงประธาน กกต.ในส่วนที่เป็นคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง รวมถึงในส่วนของคดีอาญา ดีเอสไอ ที่อยู่ในอำนาจดีเอสไอ

ซึ่งหลังได้รับคำร้องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 คือหลังเลือก ส.ว.เสร็จหมาดๆ ดีเอสไอก็ใด้ทำการสืบสวนสอบสวน จนสรุปเบื้องต้นว่า “มีมูล” ก่อนเสนอให้ กคพ. หรือคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รับเป็นคดีพิเศษตามขั้นตอน


ขณะเดียวกัน ดีเอสไอก็ได้ทำหนังสือแจ้งความคืบหน้าผลการสืบสวนไปยังประธาน กกต. โดยมีข้อความสำคัญว่า “ปรากฏข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่ามีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล มีการจัดตั้งเครือข่ายขบวนการซึ่งปกปิดวิธีการ” อันเป็นที่มาของ “คดีอั้งยี่ซ่องโจร” รวมถึง “ฟอกเงิน” ด้วยนั่นเอง

เนื่องจากเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 977 (3), ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ความผิดฐานอั้งยี่ และ ความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

โดยมีการไล่เรียงพฤติกรรม “ขบวนการฮั้วเลือก ส.ว.” ไว้ว่า ได้จัดการให้มีผู้สมัคร ส.ว.ในระดับอำเภอ โดยสมัครกลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอ 928 อำเภอ (หลักเกณฑ์รอบนี้เลือกได้ 5 คน) ทำให้บางจังหวัดมีผู้สมัครจำนวนมาก

ซึ่งเมื่อเริ่มก้าวแรกก็มีการทุจริตกันแล้ว โดยมีการจ้าง ผู้สมัคร ส.ว.ไปเลือก ส.ว. คือ
- จ่ายหัวละ ในระดับอำเภอจำนวน 5,000 บาท
- ระดับจังหวัดจำนวน 10,000 บาท
และ
- ระดับประเทศจำนวน 40,000-100,000 บาท

และถ้าได้สมาชิกวุฒิสภามากกว่า 120 คน จะได้เพิ่มในลักษณะโบนัสอีก 100,000 บาท

จากข้อมูลเบื้องลึกคือหลังจากวันที่ 16 มิถุนายน 2567 ภายหลังผ่านการคัดเลือกระดับจังหวัด ขบวนการได้นัดหมายผู้สมัคร ส.ว.ระดับประเทศ ไปจัดทำโพยฮั้ว ส.ว. ใน จ.พระนครศรีอยุธยา, จ.ปทุมธานี และ จ.นครนายก

ซึ่งมี “หลักฐานสำคัญ ”ว่ามี “ขาใหญ่สีน้ำเงิน” ตลอดจน “บิ๊ก กกต.” ทั้งปัจจุบัน และในอดีตไปเป็นวิทยากรติวให้กับผู้สมัคร ส.ว.ในขบวนการ


ชื่อหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงคือ อดีตรองเลขาธิการ กกต.คนหนึ่ง ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพรรคการเมืองที่บงการฉ้อโกงเลือก ส.ว. ว่ากันว่าใช้ความชำนาญจากประสบการณ์จัดการเลือกตั้งมา “แกะสูตร” การเลือก ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และยังมาทำหน้าที่ “ติวเตอร์” อีกด้วย

ก่อนที่สัปดาห์ถัดมา วันที่ 24 มิถุนายน 2567 มีการจ่ายเงินสดเป็นมัดจำ จำนวน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงจะได้รับภายหลังจาก กกต.รับรองผลเลือกแล้ว

โดยพบว่าในการเลือก ส.ว.ระดับประเทศมีผู้สมัครที่อยู่ในขบวนการจัดตั้งถึง 1,200 คน จากจำนวนทั้งหมดเกือบ 3,000 คนที่ผ่านจากระดับจังหวัดเข้ามา !!!

1,200 คน จาก 3,000 คน ก็คือ 40%


ต่อมา วันที่ 26 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ กกต.กำหนดวันเลือกตั้ง ส.ว.ระดับประเทศ ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ขบวนการได้แจกเสื้อสีเหลืองให้ผู้สมัคร ส.ว.ระดับประเทศ และยังอำนวยความสะดวกจัดหารถตู้โดยสารส่งผู้สมัคร ส.ว.ไปถึงอาคารอิมแพ็คฟอรัม อาคาร 4 เมืองทองธานี มีคนสังเกตเห็นรถตู้รับส่งผู้สมัคร ส.ว.หลายคันมีทะเบียนรถจังหวัดบุรีรัมย์

ที่สุด ผลการเลือก ส.ว.ในรอบเช้าและรอบไขว้ เป็นไปตาม “โพยฮั้ว ส.ว.” ที่มีหมายเลขจำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน 20 สาย รวม 140 คน ซึ่งในจำนวนนี้ได้เข้าไปเป็น ส.ว. 138 คน อีก 2 คนติดในบัญชี ส.ว.สำรอง

หากตามการสืบสวนสอบสวนของ DSI ก็ต้องบอกว่าเป็นพฤติกรรมชั่วร้าย เพราะเป็นการทุจริต ส.ว. ทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่การเข้าสู่อำนาจต้องบริสุทธิ์ ยุติธรรม ซึ่งแผนการฮั้วแบบนี้ถ้าคนบงการไม่ชั่วจริง ทำไม่ได้

ข้อมูล “ฮั้ว ส.ว. กกต.เกียร์ว่าง ไม่ทำงาน


การเข้ามาตรวจสอบกระบวนการในการได้มาซึ่ง ส.ว. ของ DSI แม้อาจมองว่าเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย แต่ด้านหนึ่งก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.นิ่งเฉยต่อคำร้องถึงความไม่โปร่งใสของกระบวนการดังกล่าว ทำให้เสียงส่วนใหญ่ในสังคมสนับสนุนการทำงานของดีเอสไอ

โดยนับตั้งแต่ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือก ส.ว.เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ได้มีการยื่นเรื่องร้องเรียนให้ กกต.เข้ามาตรวจสอบถึงความไม่ชอบมาพากลของกระบวนการดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 570 คำร้อง ประกอบกับองค์กรภาคประชาสังคมหลายกลุ่มก็ได้ออกเปิดข้อมูลพร้อมกับมีข้อสังเกตหลายประการว่า

การเลือก ส.ว.มีขบวนการจัดตั้งขึ้นมา หรือแม้แต่คุณสมบัติของผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็น ส.ว.นั้นไม่ตรงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด หรือเรียกว่า 'ส.ว.ไม่ตรงปก' แต่ดูเหมือนว่า กกต.เองกลับไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อย่างเรื่องคุณสมบัติการเป็น ส.ว.บอง พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือ “หมอเกศ” ในเรื่องวุฒิการศึกษา จนถึงป่านนี้ก็ยังไม่เห็นถึงความคืบหน้า


ทั้งๆ ที่เป็นประเด็นที่สังคมมีข้อวิจารณ์อย่างรุนแรง จะมีเพียงกรณีของ นายสมชาย เล่งหลัก เท่านั้นที่ต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาว่าพ้นจากการเป็น ส.ว.หรือไม่ แต่สาเหตุที่ต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพราะ ส.ว.รายนี้ถูกศาลฎีกาพิพากษาเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง เมื่อครั้งเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือก ส.ว.แต่ประการใด

สำหรับคดีคุณสมบัติของหมอเกศถูกยื้อการตัดสินออกไป เพราะ กกต.คนหนึ่งลั่นในที่ประชุมว่าถ้าเอาเรื่องคุณสมบัติ ส.ว.ไม่ตรงปกมาพิจารณาแล้วสั่งให้ใบแดง ไม่ใช่มีหมอเกศคนเดียว แต่ ส.ว.ชุดนี้จะโดนใบแดงเกินครึ่ง ส.ว.เลย นี่แหละเป็นแนวคิดแนวทางในการแก้ปัญหาของเหล่า กกต. เรื่องมันเลยต้องฉาวโฉ่ข้ามปี !!!

นอกจากนี้ คำร้องจำนวน 570 เรื่อง กกต.กลับไม่สามารถชี้แจงเหตุผลได้ว่าทำไมถึงไม่มีความคืบหน้า จนทำให้ผู้ร้องต้องไปยื่นเรื่องที่ดีเอสไอ และก็มีความคืบหน้าขึ้นมาทันที

โดยในหนังสือที่ DSI ทำถึงประธาน กกต. ลงวันที่ 22 มกราคม กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ข้อมูลว่าดีเอสไอได้รับคำร้องขอความเป็นธรรม จำนวน 3 คำร้อง ดังนี้

1. กรณีผู้ร้อง มีหนังสือฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย. 2567 ขอความเป็นธรรมจากการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2567 ณ วิทยาลัยการอาชีวศึกษาจังหวัดปทุมธานี จากการที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ชอบธรรม และฉบับลงวันที่ 24 มิ.ย. 2567 กรณีพบเหตุอันควรสงสัยเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (คำร้องที่ 1099/2567)

2. กรณีผู้ร้อง มีหนังสือฉบับลงวันที่ 9 ก.ค. 2567 ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2567 และได้สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 200 คนพบข้อพิรุธในกระบวนการในการเลือก (คำร้องที่ 1193/2567)

3. กรณีผู้ร้อง มีหนังสือฉบับลงวันที่ 17 ก.ค. 2567 ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา สาย ข กลุ่มที่ 1 และกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่อาจมีกรณีความผิดต่อกฎหมาย (คำร้องที่ 1268/2567) และฉบับลงวันที่ 17 ก.ค. 2567 ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา กลุ่มที่ 18 และคัดค้านการประกาศรับรองผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (คำร้องที่ 1269/2567)


พิจารณาจากพยานหลักฐานในชั้นนี้ ปรากฏข้อเท็จจริง เชื่อได้ว่ามีขบวนการในรูปแบบคณะบุคคล มีการจัดตั้งเครือข่ายขบวนการซึ่งปกปิดวิธีการ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 เพื่อได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยมีการวางแผนสลับซับซ้อน ทราบเฉพาะในกลุ่มขบวนการ และรอบไขว้ เป็นไปตามโพยฮั้วสมาชิกวุฒิสภาทุกประการ สำหรับโพยฮั้วสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คนนั้น พบว่าเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน

DSI พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2563 มาตรา 977 (3) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

เรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้า กกต.ไม่วางเฉยและหาสารพัดข้ออ้างเพื่อซื้อเวลาไปเรื่อยๆ เพราะเป็นหน้าที่ของ กกต.โดยแท้ที่ต้องทำให้สังคมเกิดความกระจ่าง ไม่ใช่การอยู่ในอำนาจไปวันๆ โดยทำงานไม่คุ้มงบประมาณของแผ่นดิน


ช่วงเวลาวัดใจ ‘ดีเอสไอ-กกต.’ สอบคดีฮั้ว ส.ว.

แม้ว่าการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เลื่อนการพิจารณาว่าจะรับกรณีนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ออกไปก่อน และนัดชี้ขาดในวันที่ 6 มีนาคม เพื่อรอความชัดเจนจากประธาน กกต.ที่ขอให้มาร่วมประชุมกันในวันดังกล่าว

แต่เมื่อดูจากถ้อยแถลงของนายภูมิธรรมแล้วมีความเป็นไปได้ว่า ไม่ว่า กกต.จะมีคำตอบให้กับดีเอสไออย่างไร ดีเอสไอจะเดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้ในส่วนของคดีอาญาทันที โดยไม่สนไม่แคร์ กกต.

นายภูมิธรรมกล่าวว่า "ดีเอสไอรับทำคดีอาญาอื่นๆ ได้อยู่แล้ว ส่วนคดีเลือก ส.ว.เป็นอำนาจ กกต.ดำเนินการแต่เพื่อเกิดความชัดเจนจะเรียกผู้แทน กกต.มาสอบถามเพิ่มเติมว่าให้ดีเอสไอทำคดีเลือก ส.ว.ด้วยหรือไม่ เพราะมีส่วนเกี่ยวพันกันหมด ดีเอสไอก็พร้อมดำเนินการทั้งหมด ยืนยันไม่มีเรื่องการเมือง แม้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่หากมีการกระทำเชื่อได้ว่าเป็นความผิดต้องว่าตามกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องมาช่วยปกปิดความผิด ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบ ไม่มีการแทรกแซง"


สถานการณ์ต่อไปจะต้องจับตาว่า กกต.จะตอบคำเชิญนี้หรือไม่ เพราะจะว่าไปแล้วก็เหมือนเป็นทางสองแพร่งที่ กกต.ต้องเลือกเช่นกัน กล่าวคือ ถ้า กกต.ไปให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ ด้านหนึ่งก็อาจเป็นการแสดงให้เห็นว่า กกต.กำลังยอมรับว่า DSI มีอำนาจตรวจสอบเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ในข้อกฎหมายแล้วควรเป็นอำนาจโดยแท้ของ กกต.

แต่หาก กกต.ปฏิเสธคำเชิญ ก็อาจส่งผลให้ กกต.เผชิญวิกฤตศรัทธาขึ้นมาทันทีเช่นกัน


จากสถานการณ์ที่เป็นลักษณะการยืนตรงกลางระหว่างเขาควายแบบนี้ จึงทำให้มีรายงานข่าวออกมาจาก กกต.ว่าอาจไม่ไปตามคำเชิญของ DSI เพื่อเป็นการยืนยันว่า กกต.มีอำนาจโดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย และจะทำหนังสือชี้แจงถึงความคืบหน้าในกรณี “การฮั้วเลือก ส.ว.” ว่า กกต.ได้ดำเนินการไปถึงขั้นตอนใดแล้วบ้างแทน โดยเฉพาะการยืนยันไปว่าในชั้นการไต่สวนคำร้องได้ดำเนินการมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการเชิญ ส.ว.เข้ามาให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน

และยืนยันการพิจารณาคำร้องการเลือก ส.ว. สามารถพิจารณาดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ประกาศรับรองตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ส่วนคณะกรรมการพิเศษจะมีมติอย่างไร กกต.จะไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้อง

ดังนั้น ห้วงเวลาหนึ่งสัปดาห์จากนี้ก่อนถึงวันที่ 6 มีนาคม จึงอาจเป็นระยะเวลาที่ต่างฝ่ายต่างต้องตัดสินใจให้ดี เพราะเดิมพันครั้งนี้สูงเป็นอย่างมาก เป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง และเป็นการสั่นสะเทือนหนึ่งในสถาบันสำคัญของชาติในด้านนิติบัญญัติ และจะส่งผลต่อสมการการเมืองทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตอย่างใหญ่หลวง !


กำลังโหลดความคิดเห็น