xs
xsm
sm
md
lg

ทำงานช้าแต่เคลมไว! รัฐบาลมั่วนิ่มสมอ้างผลงานล้างบางแก๊งคอลฯ เมียวดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การปราบแก๊งคอลเซ^นเตอร์เริ่มเห็นผล หลังทางการจีนส่ง “หลิว จงอี้” เข้ามาจัดการด้วยตัวเอง และเป็นไปตามคาด รัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” รีบเคลมเป็นผลงานทันที อ้างผลสำรวจจากโพลโนเนมว่าประชาชนชื่นชมที่จัดการอย่างเด็ดขาดจริงจัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้โยนกันไปมา กว่าจะตัดกระแสไฟฟ้า-สัญญาณที่ส่งเข้าไปฝั่งพม่า



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ซึ่งมีฐานใหญ่อยู่ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนม่า ตรงข้ามกับ อ.แม่สอด จ.ตาก หลังจากเมื่อช่วงเทศกาลตรุษจีนเรื่อยมา ทางการจีนได้เอาจริงเอาจัง โดยผู้นำจีนคือ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาก ส่งมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้ามาประสานงาน และไล่จี้ทุกจุดที่เป็นคอขวด ทั้งในประเทศไทย และในพม่า จนในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จ คือ

ในช่วงวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ มีการจับกุมและลำเลียงชาวจีนที่เกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์จากเมียวดี ผ่านทางท่าอากาศยานแม่สอด ประเทศไทยโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำจำนวน 16 เที่ยว กลับไปดำเนินคดีที่จีนนับเป็นพันคน


ทั้งนี้ ทางการจีนเคยปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งมาเฟียคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเล่าก์ก่าย เขตปกครองพิเศษโกกั้ง รัฐฉาน ซึ่งอยู่ติดกับมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน โดยตอนนั้นเล่าก์ก่ายปกครองโดยสมาชิกของตระกูลหมิงกับอีก 3 ตระกูลใหญ่ คือ ตระกูลไป๋ ตระกูลหลิว และตระกูลเว่ย เมื่อช่วงปลายปี 2566 ต้นปี 2567 ได้

ครั้งนั้นนอกจากสมาชิกของ 4 ตระกูลใหญ่จะถูกจับไปดำเนินคดีในจีน ส่วนบางคนเมื่อรู้ชะตากรรมว่าเมื่อพี่ใหญ่จีนลงมาจัดการเอง ตัวเองคงไม่รอดแน่ จึงฆ่าตัวตายหนีความผิดไปก่อน ในปฏิบัติการครั้งนั้นมีชาวจีนและเหยื่อชาวต่างชาติถูกล่อลวงให้ไปทำงานมากกว่า 100,000 คนเลยทีเดียว


ดังนั้น การเข้าไปทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเมียวดีจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่ผ่านมาเขาจัดการคนที่มีส่วนร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างนี้เป็นแสนคนเขาก็ดำเนินการมาแล้ว

คดีความของ “ตระกูลหมิง” กับตระกูลที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่ได้หายเข้ากลีบเมฆไปนะครับ เพราะสัปดาห์ที่แล้วก็มีความคืบหน้ามาว่ามีการพิจารณาคดี และเร็วๆ นี้จะมีการกำหนดนัดฟังคำพิพากษากันแล้ว

แก๊งฉ้อโกง “ตระกูลหมิง” ขึ้นศาลในมณฑลเจ้อเจียง


วันพฤหัสบดีที่แล้ว วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศาลประชาชนเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง ได้เปิดการพิจารณาคดีครั้งแรกระหว่างวันที่ 14-19 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในคดีการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมีจำเลยคือ หมิง กั๋วผิง, หมิง เจินเจิน, ปี้ ฮุ้ยจวิน, หมิง จวี๋หลาน, อูหงหมิง และบุคคลอื่น ๆ รวม 23 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานก่ออาชญากรรมฐานฉ้อโกง, ฆ่าคนโดยเจตนา, ทำร้ายร่างกายโดยเจตนา, กักขังหน่วงเหนี่ยวโดยผิดกฎหมาย, ข่มขู่รีดไถ, เปิดบ่อนพนัน, ทำธุรกิจค้าประเวณี, ค้ายาเสพติด, ลักลอบพาคนข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย, ลักลอบข้ามแดน และละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมือง รวมถึงคดีที่ทำให้ชาวจีนเสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บอีก 6 ราย

สำนักงานอัยการเมืองเวินโจวระบุว่า เมื่อปี 2558 กลุ่มจำเลยร่วมกับกองกำลังติดอาวุธ เช่น โจว เว่ยชาง, หลัว เจียเหลียง และ หยาง เจิ้งสี่ ใช้อิทธิพลของตระกูลหมิงในเขตพิเศษโกก้างของรัฐฉาน ซึ่งตั้งอยู่ชายแดนตอนเหนือของประเทศเมียนมา จัดตั้ง "นิคมอุตสาหกรรม" หลายแห่งในเมืองเล้าก์ก่ายของโกกั้ง เพื่อดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย


อีกทั้งยังเปิดให้กลุ่มทุนหลายรายมาตั้งฐานลงทุนดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายทั้งการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดน, ฆาตกรรม, เปิดบ่อนพนัน, ค้ายาเสพติด และค้าประเวณี โดยมีกองกำลังให้การคุ้มครอง มีเงินหมุนเวียนมากกว่า 1 หมื่นล้านหยวน หรือ ราว 5 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานว่าในวันที่ 20 ตุลาคม 2566 แก๊งตระกูลหมิง ร่วมกับกลุ่มผู้สนับสนุน ใช้อาวุธปืนยิงเหยื่อบางคนที่พยายามหลบหนี ขณะขนย้ายคนที่ทำงานให้แก๊งของตัวเอง เพื่อหลีกหนีการปราบปรามของเจ้าหน้าที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย สำนักงานอัยการจึงเสนอให้ดำเนินคดีอาญาต่อแก๊งตระกูลหมิงและกลุ่มนายทุนที่เกี่ยวข้องรวม 11 ข้อหา โดยในการพิจารณาคดี ฝ่ายอัยการได้แสดงหลักฐานเอาผิดจำเลยแต่ละราย ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยได้ทำการซักค้านพยานหลักฐาน และจำเลยแต่ละคนได้แถลงด้วยวาจาเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นศาลได้ประกาศพักการพิจารณาคดี และจะกำหนดวันอ่านคำพิพากษาต่อไป

นักวิชาการหิวแสง-โลกสวย อ้างจีนละเมิดอธิปไตยไทย

 รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช
เมื่อเรื่องของการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดี มาถึงจุดนี้แล้วก็มีนักวิชาการไทยบางคน ซึ่งก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อ อย่างเช่น รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา รีบออกมาให้สัมภาษณ์ทันทีเลยด้วยการบอกว่า “เป็นความน่ากังวล เพราะการเดินทางมาของ นายหลิว จงอี้ ถือเป็นการเดินทางมาเยือนในลักษณะที่ถี่เกินไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนเริ่มจะเข้ามาชี้นำ ควบคุมสั่งการ และมีบทบาทอย่างแข็งแรงมากขึ้น ทั้งบริบทของประเทศไทยและประเทศพม่า เห็นได้จากสามารถเข้านอกออกทั้งสองประเทศได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้อาจมีการประสานในระดับกระทรวงหรือระดับหน่วยตำรวจมา แต่ก็ทำให้ผู้ติดตามข่าวเกิดคำถามว่า นายหลิว จงอี เข้ามามีบทบาทมากจนเกินไปหรือไม่”

นอกจากนี้ก็ยังมี นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ทีมประสานต่างประเทศ อดีตพรรคก้าวไกล และบุตรชาย ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ซึ่งเบื้องหลังก็คือ ตัวแทนผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา รีบออกมาคัดค้านปฏิบัติการร่วมดังกล่าว ด้วยการออกมาบอกว่า เรื่องการที่ประเทศจีนส่งเครื่องบินมาขนคนกลับผ่านไทยโดยไม่ให้เราได้คัดกรอง ไม่ได้สัมภาษณ์เก็บหลักฐาน รับรู้อะไรไม่ได้เลย นี่เรื่องใหญ่มากในเชิงการต่างประเทศ เสมือนเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย จริงๆรัฐบาลผู้รับผิดชอบมีความเสี่ยงโดน ม.119 ควรจะมี paperwork อะไรเป็นหลักฐานการกลับเข้าเมืองของคนจีนพวกนี้ไว้บ้าง

นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ
เห็นได้ชัดว่าการออกมาคัดค้าน ต่อต้าน หรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาเร่งรัด และจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดี โดย นายหลิว จงอี้ และรัฐบาลจีน โดยนักวิชาการลิ่วล้อฝรั่ง ทั้ง ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช และ นายฟูอาดี้ พิศสุวรรณ ลึกๆ แล้วก็คือ ไม่พอใจกับการที่จีนเข้ามามีบทบาทเรื่องนี้มากเกินไป ทั้งๆ ที่จริงประชาชนคนไทย 60 กว่าล้านคนเขารู้กันหมดว่า ถ้าจีนไม่ส่ง หลิว จงอี้ เข้ามากดดัน ออกแอ็กชัน และเล่นไม้แข็ง เรื่องต่างๆ ก็จะยังคงคาราคาซัง และคนไทยก็จะยังต้องตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์แบบไม่จบไม่สิ้น เพราะ “ไทยเทา” ที่กัดกินลึกเข้าไปในรัฐบาล ข้าราชการ พ่อค้า และประชาชนในหลากหลายระดับ จริงๆ แล้วร้ายไม่แพ้ “จีนเทา” เสียด้วยซ้ำ

แต่วาระ หรือ Agenda ของนักวิชาการสองคน ไม่ได้สนใจเรื่องของความเป็นอยู่ หรือปัญหาของชาวบ้านประชาชนคนไทยเท่ากับการไม่อยากเห็นบทบาทของจีนที่แผ่อิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนี้จนลดทอนอำนาจและอิทธิพลของตะวันตกลงไป


หลักฐานเรื่องนี้เห็นได้ชัดจากการที่ในเวลาต่อมาสำนักข่าว BBC ไทยรีบออกมารับลูก และตามงับประเด็นเรื่อง หลิว จงอี้ กับ อธิปไตยไทยในทันที ?!?

BBC Thai พาดหัวข่าว “ภารกิจปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของ "หลิว จงอี้" กับปมอธิปไตยไทย”

แต่เผอิญคนไทยส่วนใหญ่เขารู้ทัน เขาเลยเข้าไปถล่ม BBC Thai ถึงในเพจเฟซบุ๊ก ตัวอย่างความเห็นบางส่วน ที่อยากจะให้นักวิชาการโลกสวยอย่าง ดร.ดุลยภาค กับ นายฟูอาดี้ ได้ฟังว่าปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอธิปไตย แต่คืออะไรกันแน่ เช่น

- ความเห็นของนักวิชาการ​น้ำเต็มแก้วคนเดียวทำให้สาระบิดเบี้ยว ส่วนคอมเมนต์ของชาวบ้านเป็นเอกฉันท์ ... ศักดิ์ศรี​มาจาก​ผลการทำงาน ไม่ได้​มาจากผักชีโรยหน้า ลูบหน้าปะจมูก


- "ประเทศไทยไร้น้ำยา" คงไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ แต่ก็เห็นกันชัดเจนอยู่แล้ว จากกรณีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่จีนต้องเข้ามาจัดการเองนั้นเพราะว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐไทยบางกลุ่มได้เอื้อประโยชน์แก่ขบวนการเหล่านี้ โดยการกินส่วย ปล่อยปละละเลย จนแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติเติบโตอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา .. ครั้นพอจีนเอาจริง ไทยก็ได้แต่วิ่งตาม ไม่มีความสามารถบริหารจัดการเองใดๆ ทั้งสิ้น ปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่ "ระบบหลวมหรือหย่อนยาน" แต่เป็น "ระบบเน่า" ที่ถูกซื้อไปแล้วต่างหากนั่นเอง!


- อธิปไตยมันอยู่บนหลักที่ว่าคนในประเทศบริหารและทำเพื่อพื้นที่และประชาชนของตัวเอง แต่ผมรู้สึกว่าความปลอดภัย การป้องกันอาชญากรรม ตามมาตรฐานของรัฐมันไม่ได้ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย โดยเฉพาะกรณีนี้ ถ้าให้เลือกแค่ให้รัฐจัดการ กับพึ่งจีน ตอนนี้ผมว่าส่วนใหญ่คงมีคำตอบในใจ

เป็นต้น


มีเรื่องที่น่าทุเรศไปกว่านั้นคือ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ภายหลังจากที่นายหลิว จงอี้ พร้อมผู้ช่วยทูตทหารของจีน ทูตทหารจีน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งหมด 6 คน ได้เข้าพบกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โดยใช้เวลาหารือกันประมาณ 1 ชั่วโมง นายภูมิธรรมก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า“เขาได้กล่าวขอโทษคนไทย ที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ที่ดูเหมือนว่าเข้ามารุกล้ำอธิปไตยตามที่วิพากษ์วิจารณ์กัน นายหลิว จงอี้ กล่าวว่า อาจเป็นความเร่งร้อนและมุ่งมั่นมากเกินไป เพราะห่วงประชาชนของตัวเอง จึงทำให้เกิดความไม่เข้าใจไปบ้าง ...”


เมื่อทางเพจ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ขึ้นคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวของนายภูมิธรรม มีคนเข้ามาชมประมาณ 3 แสนคน มีคนคลิกไลก์ คอมเมนต์ และแชร์ ประมาณ 7,200 กว่าคน แทบจะร้อยทั้งร้อยกลับไม่มีใครตำหนิ นายหลิว จงอี้ เลย

ที่น่าสนใจก็คือในจำนวนคนแสดงความเห็นเกือบ 2,000 ความเห็น มีแต่คนบอกว่า “นายหลิว จงอี้” ไม่ต้องขอโทษหรอก ซ้ำยังขอขอบคุณนายหลิว กับรัฐบาลจีนเสียด้วยซ้ำ


แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดจริงๆ ก็คือ ภายหลังจากการปฏิบัติภารกิจกวาดล้าง “แก๊งสแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์” ที่เมียวดีลุล่วง และเริ่มมีความคืบหน้า ก็มีคนของรัฐบาลเพื่อไทย กับพรรคร่วมที่โหลยโท่ยที่สุด รีบออกมาเคลมผลงานทันที

เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พยายามอ้างอิงถึงผลสำรวจของ มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพโพล (ที่เพิ่งเคยได้ยินชื่อ) เกี่ยวกับการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาล โดยนายจิรายุบอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่ารัฐบาลมีความตั้งใจ สามารถแก้ปัญหาได้ถูกทาง ผ่านมาตรการต่างๆ และการสั่งการที่ชัดเจนรวดเร็วเด็ดขาดจริงจังของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ประชาชนยังขอให้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพิ่มเติม เพื่อกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป เช่น การร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การตัดสัญญาณโทรคมนาคม การตัดไฟฟ้า-อินเทอร์เน็ต และการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน


“คุณจิรายุครับ ประชาชนได้ยินคุณพูดอย่างนี้ เขาหัวเราะฟันแทบหัก เพราะจริงๆ เขารู้อยู่แล้วว่าตั้งแต่ช่วงเทศกาลตรุษจีน ถ้ารัฐบาลจีนไม่ส่งนายหลิว จงอี้ มาจี้จุดทลายกำแพงต่างๆ ที่เดิมทีปัดกันไปปัดกันมา โยนกันไปโยนกันมา แค่ตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดเครือข่ายโทรคมนาคม ก็เล่นลูกโยนกันไม่จบไม่สิ้น จนในที่สุด อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร กำลังจะบินไปหารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่กรุงปักกิ่ง ก็เลยไม่มีทางเลือก


“ทุกอย่างค่อยๆ เดินหน้าคืบคลานไปอย่างช้าๆ จนจีนต้องส่งนายหลิว จงอี้ มาคุยกับทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน ข้ามไปเมียวดี คุยกับตำรวจทุกระดับ ตั้งแต่ ผบ.ตร. ตำรวจไซเบอร์ ตำรวจภูธรภาค 6 ทหารทุกระดับ ตั้งแต่ส่วนกลางไปจนถึงกองทัพภาคที่ 3 กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงกลาโหม ทุกอย่างสามารถเป็นรูปร่างอย่างที่ได้เห็นในทุกวันนี้”


"ท่านผู้ชมเบื่อหน่ายบ้างไหม ท่านผู้ชมเชื่อผมหรือยังว่า ประเทศไทยถ้ามีนักการเมืองแบบนี้ ซึ่งนักการเมืองทุกยุคทุกสมัยมันก็เป็นแบบนี้จริงๆ นะ ไม่สนใจอะไรเลย ทุกวันนี้สนใจแต่จะเลี้ยงประสานรอยร้าว แล้วมาจับมือจับไหล่กัน แล้วบอกว่าไม่มีอะไรกัน เรายังรักกันอยู่ แล้วทะเลาะเบาะแว้ง กัดกันยิ่งกว่าหมากัดกัน ไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วพอทางจีนส่งคนมาจัดการ เพราะมันกระทบประเทศเขา เสือกวิ่งเข้ามาเคลมเครดิตกันทันทีเลย" นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น