“สนธิ” รู้ที่อยู่ 1 ใน 3 มือปืนลอบยิงเมื่อ 16 ปีก่อน กบดานในกัมพูชา มีบัตรประชาชนเขมร และได้เมียเป็นคนเขมร คุมงานต่อเติมกาสิโนของ “เจ้าพ่อปากน้ำ” “เสี่ยพัฒน์” นายทุนไทยเป็นแบ็ก เผยได้เบอร์โทรศัพท์แล้ว เตรียมโทร.ถามนายให้ค่าหัวเท่าไหร่จึงรับงาน พร้อมถามนายกฯ จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ตนเองถูกลอบยิงเมื่อตอนเช้ามืดวันที่ 17 เมษายน 2552 บริเวณใกล้ๆ สี่แยกบางขุนพรหม ขณะกำลังเดินทางไปจัดรายการ Good Morning Thailand ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV ที่ถนนพระอาทิตย์ ซึ่งใกล้จะครบ 16 ปีแล้ว เป็นเหตุการณที่ไม่เคยลืม และจะขอความเป็นธรรมต่อรัฐบาลทุกรัฐบาลในการจับมือมือยิงมาดำเนินคดีให้ได้
“ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมจะต้องร้องขอความเป็นธรรมกับรัฐบาลทุกๆ รัฐบาล คือเรื่องความเป็นธรรมของการดำเนินคดีกับคนที่ลอบฆ่าผม ซึ่งผมรู้ว่าใครเป็นคนลงมือ และใครเป็นคนสั่ง
"มีตำรวจบางนายที่ออกมาให้สัมภาษณ์กับ หนุ่ม คงกระพัน ทำเป็นรู้เรื่องดี คุยโวโอ้อวด บอกว่าเป็นคนทำคดีนี้เอง รู้เรื่องทุกอย่าง เล่าว่า ตอนเกิดเหตุผมกลัวมากจนหมอบคลานเข้าใต้เก้าอี้แถวหน้ารถ Vellfire คนที่ได้ดูได้ฟังก็เชื่อโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง เข้าไปคอมเมนต์กันสนุกสนานว่าผมกลัวจนขี้ราดเยี่ยวราดกระมัง"
"ผมมีภาพ มีหลักฐานหมด เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาลวชิระ ผมก็เดินเลือดโชกหน้า เดินเข้าไปห้องฉุกเฉิน แถมยังให้ลูกน้องที่นั่งในรถที่ตามมาถ่ายรูปไว้ด้วย จนเจ้าหน้าที่บุรุษพยาบาลยังงงว่าเลือดโชกขนาดนี้ผมยังเดินมาขึ้นเตียงได้อย่างไร"
"เอาภาพมาดูสิครับ (ผมไม่เคยเผยแพร่มาก่อนเลย) ภาพรถ ภาพเบาะกลาง TOYOTA VELLFIRE โฉมเดียวกับรถคันที่ผมนั่งเมื่อปี 2552 สังเกตว่าไม่มีช่องใต้เบาะคนนั่งหน้าแต่อย่างใด ไอ้ตำรวจบ้านั่นมันมโนเพื่ออวดตัวเอง แล้วไอ้ตำรวจคนนี้อย่าให้ผมพูดเลยว่าเบื้องหลังมีอะไร วันหลังผมจะเล่าให้ฟัง"
"ดูรูปที่ผมเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เห็นไหมครับ ผมเดินเข้าไปด้วยตัวผมเองเลยนะ แล้วที่อ้างว่าผมหลบอยู่ใต้เบาะหน้า ผมก็เอาตัวอย่างให้ดูแล้วว่ามันไม่มี คุณลองดูหน้าตาที่ตกใจของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลวชิระคนนี้สิ แล้วภาพถ่ายชัดว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวของผม กางเกงสแล็กสีน้ำเงินยังสะอาด แว่นตาผมเต็มไปด้วยเลือดเต็มไปหมดเลย"
"เผอิญตำรวจที่ให้สัมภาษณ์เรื่องผมโดนยิงแล้วบอกว่ารู้ทุกอย่างนั้น ก็เป็นคนที่ติดตามคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา น่าจะรู้จักดี ตำรวจนายนี้ชื่อเล่นว่า "ยาว" พล.ต.ต.วีระศักดิ์ มีนะวาณิชย์ อดีตเคยเป็นสืบนครบาล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนภูธรภาค 8 แต่ชอบมีคนอวยว่าเป็นเชอร์ล็อกโฮล์มของเมืองไทย ส่วนตัวเองก็อวดอ้างว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ เพราะว่าคนทำต้องทิ้งหลักฐาน
เผอิญว่าลูกเขยของ พล.ต.ต.วีระศักดิ์ ชื่ออะไรรู้ไหมท่านผู้ชม? ชื่อว่า นายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ นายปอ หนึ่งในจำเลยคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโมนั่นเอง"
"ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องที่คุณให้สัมภาษณ์คุณหนุ่ม คงกระพัน เมื่อปีกว่าๆ ที่แล้ว ผมได้ฟัง ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร ปล่อยให้คุณโม้ไป เผอิญเห็นคุยนักคุยหนาว่าคุณทำคดีที่ลอบยิงผม รู้ทุกเรื่อง แล้วก็เคยบอกว่าไม่มีคดีไหนที่จับไม่ได้ น่าเสียดายที่คุณเกษียณอายุไปนานแล้ว 13-14 ปี ไม่อย่างนั้นผมก็อยากให้ไปตามเรื่องให้ผมหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่ผมไม่มีวันจะลืม"
"ท่านผู้ชมที่เกิดทันและยังพอจะติดตามเรื่องนี้อยู่บ้าง คงจำได้ว่าผู้ต้องหาลอบยิงผมนั้นมีอยู่ 3 คน (ภาพบนจากซ้ายไปขวา) จ.ส.อ.ปัญญา ศรีเหรา อดีตทหารหน่วยรบพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ ตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2556 ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือ นายอรรถพล ปาทาน เจ้าหน้าที่ศูนย์ข่าว กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด และ ส.อ.สมชาย บุญนาค สังกัดกองร้อย กองบังคับการกรมรบพิเศษ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี
สามคนนี้โดนหมายจับ หนึ่งคนเสียชีวิตเพราะเป็นโรคมะเร็ง เวรกรรมตามทัน อีกสองคนหนีหายไป หาตัวไม่เจอ
ล่าสุดมีความคืบหน้าเรื่องหนึ่งในผู้ต้องหาที่ยิงผม คือ ส.ต.ท.วรวุฒิ มุ่งสันติ หรือชื่อ นายอรรถพล ปาทาน จากแหล่งข่าวที่ผมมีอยู่ในประเทศกัมพูชา เขาบอกว่าเขาเพิ่งเจอมือปืนที่ยิงผมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ทำงานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา
เขาระบุว่า ส.ต.ท.วรวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศกัมพูชาเป็นสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อตัวเอง ใช้ชื่อว่า "ฉัตร" มีบัตรประชาชนเป็นพลเมืองกัมพูชาไปแล้ว มีครอบครัว มีภรรยาเป็นชาวกัมพูชา มีลูกด้วยกันแต่เลิกรากันไปแล้ว และส่งเสียเงินมาเลี้ยงดูลูกเมียที่อยู่ฝั่งไทย
ฐานะการเงินของ ส.ต.ท.วรวุฒิ ในปัจจุบันถือว่าใช้ได้ เพราะทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างอยู่ประเทศกัมพูชา มีรถราใช้ เป็นรถยนต์อีซูซุ รุ่น MU-X ตอนนี้เห็นว่ารับงานก่อสร้างต่อเติมอยู่ที่กาสิโนฝั่งปอยเปต ของคุณวัฒนา อัศวเหม ที่โดนไฟไหม้ใหญ่ไปเมื่อปลายปี 2565"
“สายสืบผมเก็บข้อมูลเชิงลึกเห็นว่ามีนายทุนที่เป็นคนไทย มีแบ็กคอยดูแลอยู่ ชื่อ เสี่ยพัฒน์ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาลในไทย คอยให้ความช่วยเหลือ ผมรู้แม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ของคุณ ตอนนี้ผมรู้ความเคลื่อนไหวของคุณทุกฝีก้าว เดี๋ยวผมจะให้คนสนิทของผมเฝ้าดูครอบครัวของคุณที่อยู่ประเทศไทย ส่วนคุณนั้น ผมมีคนคอยเฝ้าดูอยู่แล้ว
มกราคม 2568 ปีใหม่ที่ผ่านมา ส.ต.ท.วรวุฒิ บ่นอิจฉาเพื่อนๆ คนไทยที่ทำงานกับคุณไม่ใช่หรือ ว่าได้กลับบ้าน ได้กลับบ้านเกิด ส่วนตัวคุณไม่มีปัญญาที่จะกลับบ้านเหมือนคนอื่นเขา เบอร์โทรศัพท์ที่ลงด้วยเลขหมาย 197 เป็นของคุณใช่ไหม ตอบผมหน่อย รอรับสายผมนะ ผมรอคุณมา 15 ปีเต็มๆ
ผมอยากจะทราบว่านายคุณให้ค่าหัวผมเท่าไรวะ คุณถึงรับงานมายิงผม และผมก็อาจจะทำเรื่องร้องเรียนไปยังท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ว่าบุคคลที่อยู่ภายใต้หมายจับนี้เป็นคนที่ยิงผม และผมมีหลักฐานชัดเจนว่าหลบอยู่ที่กัมพูชา ไม่ทราบว่าท่านนายกรัฐมนตรีท่านจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไรต่อไป
นายวรวุฒิ มุ่งสันติ อดีต ผบ.หมู่ งานการข่าว กลุ่มงานการข่าว ศูนย์ข่าว บช.ปส. อัตราเงินเดือน 9,590 บาท อายุ 57 ปี สังกัด บช.ปส. ตามคำสั่งของ บช.ปส. วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ตำแหน่ง ผบ.หมู่ งานการข่าว กลุ่มงานการข่าว ศูนย์ข่าว บช.ปส.
ส.ต.ท.วรวุฒิ เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการดักฟังโทรศัพท์อย่างมาก อดีตเคยเป็นคนขับรถของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ครั้งเป็นผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด"
“ท่านผู้ชมครับ ผมเอารูปรถของเขามาขึ้นให้ดู คนคนนี้มีหมายจับอยู่แล้ว เวรกรรมตามทันจริงๆ จากนี้ไปเขาคงไม่มีความสุขถ้ายังมีชีวิตอยู่ เพราะว่าผมรู้ตัวตน รู้แหล่งที่อยู่เขาเรียบร้อยแล้ว หนีไม่พ้นหรอก ท่านผู้ชม เชื่อผมสิ คนทำชั่ว ในที่สุดจะต้องโดนเวรกรรมลงโทษ ช้าหรือเร็วเท่านั้น” นายสนธิกล่าว