xs
xsm
sm
md
lg

“หลิว จงอี้” ลุยสุดซอย ตำรวจขยับแล้ว แต่ทหาร-ฝ่ายปกครองไทยมัวทำอะไรอยู่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จีนส่ง “หลิว จงอี้” ลุยแบบสุดซอยล้างบางแก๊งจีนเทาตามแนวชายแดนไทย-พม่า ขณะหน่วยราชการไทยเริ่มขยับ เอาจริงเพียง สตช.ที่ ผบ.ตร.สั่งโยกย้ายนายตำรวจผู้รับผิดชอบออกจากพื้นที่เพื่อตั้งกรรมการสอบสวน ส่วนฝ่ายอื่นยังก้นเหนียวนั่งติดเก้าอี้ตัวเดิม ทำมาหากินอย่างอิ่มหมีพีมัน ปล่อยให้ไทยเทา-จีนเทา-พม่าเทา ลอยนวลชูคอ ถาม “อนุทิน-ภูมิธรรม-ผบ.ทบ.” ทำอะไรอยู่ รวมถึง “รังสิมันต์ โรม” รู้จัก “เฮียกวง แม่สอด” ดีหรือไม่



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงปัญหาการก่ออาชญากรรมข้ามแดนชองกลุ่มจีนสีเทา ไทยเทา พม่าเทา และกะเหรี่ยงเทา ซึ่งมีฐานที่ตั้งในเมืองชเวก๊กโก, เมืองเคเคปาร์ก และเมืองไท่ชาง จังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา และทางการจีน นำโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ คือ นายหลิว จงอี้ ต้องเข้ามาจัดการปัญหาด้วยตัวเอง

ล่าสุดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายหลิว จงอี้ ได้เดินทางลงพื้นที่แม่สอด-เมียวดีอีกรอบ โดยคราวนี้ข้ามแดนไปที่ศูนย์บัญชาการกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (BGF) โดยนายหลิวเข้าเยี่ยมชาวต่างชาติที่ BGF ช่วยเหลือออกจากเมืองสแกมเมอร์ชเวก๊กโก และนำมารวมกันที่ศูนย์พักคอยที่ศูนย์บัญชาการ BGF ซึ่งมีประมาณกว่า 300 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน (ประมาณครึ่งหนึ่ง) และชาวต่างชาติ เช่น มาเลเซีย ปากีสถาน อินเดีย เคนยา รวันดา เป็นต้น


การกลับมารอบนี้มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายหลิวเดินทางเข้าๆ ออกๆ ประเทศไทยเหมือนบ้านตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แต่ลึกๆ แล้วประชาชนคนไทยจำนวนมากต่างขอบคุณรัฐบาลจีน และนายหลิว จงอี้ ที่เข้ามากดดันรัฐบาลไทย เจ้าหน้าที่ทางการไทย ในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งสแกมเมอร์ และกลุ่มจีนเทา โดยทำเรื่องนี้ให้สุดซอย ซึ่งทุกคนก็ยอมรับว่าถ้านายหลิว จงอี้ กับรัฐบาลจีนไม่เอาจริงเอาจัง ทางฝั่งรัฐบาลไทย เจ้าหน้าที่ไทย รวมไปถึงฝั่งกะเหรี่ยงภายใต้อาณัติของ พ.อ.ซอ ชิตตู่ ผู้นำกะเหรี่ยง BGF ก็คงไม่ลุกลี้ลุกลนอย่างนี้

ที่สำคัญคือ รัฐบาลจีนส่งนายหลิว จงอี้ มา ไม่ได้ทำแบบลูบหน้าปะจมูก หรือทำแค่ผักชีโรยหน้า เหมือนรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้เฉพาะแค่ในช่วงก่อนที่จะบินไปประชุมกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ที่กรุงปักกิ่ง พอกลับมาก็เงียบ


แต่รัฐบาลปักกิ่ง และหลิว จงอี้ มาพร้อมข้อเสนอ และแผนปฏิบัติการ เพื่อกวาดล้างแก๊งสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก โดยล่าสุดมีข้อเสนอมา 4 ข้อ คือ

หนึ่ง เสริมสร้างกลไกไตรภาคี ภายใต้อำนาจอธิปไตยและกฎหมาย และกฎหมายท้องถิ่น ในอนาคตอาจเพิ่มสมาชิก ขอให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเตรียมความพร้อม และประชุมเป็นทางการตามที่ไทยกำหนด สาธารณรัฐประชาชนจีนพร้อมสนับสนุน

สอง ฝั่งจีนบอกว่ามาตรการตัดไฟ สัญญาณอินเทอร์เน็ต และน้ำมันเชื้อเพลิง เกิดผลเป็นรูปธรรม ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ขอให้ไทยดำเนินการต่อ แม้จะมีการเรียกร้องจากประเทศพม่าให้ยกเลิก

ซึ่งเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมถึงสิ่งที่โฆษกกระทรวงกลาโหมออกมายอมรับเองว่า ทางพม่าขอให้ไทยยกเลิกมาตรการตัดไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต โดยอ้างว่าจะทำให้ผู้ถูกควบคุมตัวไม่ได้รับการดูแล แออัด อาจเกิดโรคระบาด


สาม ให้ดำเนินการสกัดกั้น ควบคุมพื้นที่ ไม่ให้อาชญากรหลบหนี หรือเคลื่อนย้ายไปพื้นที่อื่นได้เหมือนที่ตอนนี้มีข่าวว่ากลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มมีการย้ายลงใต้ไปตั้งศูนย์ปฏิบัติการใหม่อยู่ชายแดนด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี

สี่ ให้ไทยช่วยเหลือในการส่งกลับคนจีน กำหนด Point of Contact (PoC) ทั้งไทย จีน และพม่า โดยจีนจะส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบข้อมูล และขนย้ายจากพม่า ส่งไทยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่ชายแดนจนถึงสนามบิน โดยการร้องขอกองกำลังทหารในการรักษาความปลอดภัย

แค่ข้อเสนอ 4 ข้อนี้ก็มัดมือมัดเท้าทางรัฐบาล ผู้มีอำนาจ และข้าราชการฝั่งไทยที่มีแนวโน้มที่จะเกี้ยเซียะกับ กลุ่มกะเหรี่ยง และแก๊งจีนเทาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ได้แทบจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว แต่เชื่อว่าทางจีนจะไม่หยุดแค่นี้ และจะไปแบบสุดซอย เพราะเขารู้ไส้รู้พุง และรู้สันดานคนไทยดี

ตำรวจขยับแล้ว แต่ฝ่ายปกครอง-ทหารยังเงียบ!

หลังจากมีการกระชากโฉมหน้าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนพัวพันกับเรื่องเทาๆ ริมน้ำเมยเหล่านี้ จนถูกคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายกระเด็นกระดอนออกนอกพื้นที่แบบขาดจากตำแหน่งเดิม ไม่ว่าจะเป็น “ผู้การต๊ะ” พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ อดีตรักษาราชการผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 จเรตำรวจ, พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดตาก, พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเลขา อดีตผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก, พ.ต.อ.พิทยากร เพชรรัตน์ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่สอด, พ.ต.อ.ฉัตรชัย คำยิ่ง อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพบพระ, พ.ต.อ.ฐมณ์พงศ์ เพ็ชรพิรุณ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่ระมาด


หรือแม้กระทั่ง “ผู้หมวดมานพ” หรือ ร้อยตำรวจโท มานพ ศิวาดำรงค์ นายร้อย 53 อดีตรองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่สอด ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้าชุดปราบปรามอาชญากรรมพิเศษตำรวจภูธรภาค 6 และหัวหน้าชุดปฏิบัติการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดและแรงงานข้ามชาติ ตำรวจภูธรภาค 6

โดย ผบ.ตร.คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ได้เร่งดำเนินการให้มีการโยกย้ายพร้อมตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนนายตำรวจฉาวเหล่านี้ออกจากพื้นที่ เพื่อหาข้อเท็จจริงว่า ใคร? บุคคลใด? ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ มีการเรียกรับผลประโยชน์ หรือมีส่วนพัวพันกับ ของดำ ของเทา ที่พวกเรา และชาวโลก กำลังจับตาปัญหานี้กันอย่างใกล้ชิดอยู่หรือไม่


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่แม่สอด พบพระ พะวอ แม่ระมาด ของจังหวัดตาก ข้าราชการทุกหน่วยงานล้วนแล้วแต่มีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น
- ฝ่ายปกครองในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ไล่ตั้งแต่ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ที่เกี่ยวข้อง
-นายทหาร ฝ่ายความมั่นคงที่ควบคุมพื้นที่ชายแดน ตะเข็บรอยต่อ และช่องทางธรรมชาติต่างๆ
- ข้าราชการกระทรวงแรงงาน ที่ดูแลขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว
- นายด่านศุลกากร สังกัดกระทรวงการคลัง ที่ดูแลสินค้าเข้า-สินค้าออก

จึงมีข้อสงสัยว่า ตลอดเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เพราะเหตุใดจึงมีเพียง “ข้าราชการตำรวจ” ที่รับผิดชอบในพื้นที่จังหวัดตาก เจอคำสั่งเด้งไปช่วยราชการ ถูกตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน อยู่แค่หน่วยงานเดียว !?

แล้วหน่วยงานอื่นๆ ทำอะไรกันอยู่ ? ในขณะที่สื่อหลัก สื่อยักษ์ใหญ่ สื่อน้องใหม่ นักการเมือง และนักสิทธิมนุษยชนบางคน ก็คงแนวทางปักหลักตั้งธงถล่มแค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับผู้นำกะเหรี่ยงอย่าง “หม่อง ชิตตู่” เป็นหลัก


ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้ทั้งนักท่องเที่ยว ประชาชน และคนในพื้นที่ต่างจะคุ้นเคยดีกับภาพจุดตรวจความมั่นคง ตามโซนเฝ้าระวังอันล่อแหลม โดยเฉพาะจุดตรวจที่ใกล้เคียงกับท่าข้ามเอกชนต่างๆ ทั้ง 59 แห่งในอำเภอแม่สอด กับอำเภอพบพระ ทุกๆ ด่านตรวจจะมีการใช้กำลังทหารเป็นชุดปฏิบัติการหลัก

บางด่านมีการสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และ ตำรวจผสมผสานเข้าไปบ้าง แต่ทั้งฝ่ายปกครอง และตำรวจก็เป็นกำลังเจือสมที่พบเห็นได้เพียงส่วนน้อย


ทว่า พอตอนนี้เกิดปัญหาร้อนฉ่าอุบัติขึ้นมา ยังไม่เห็นว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ถูกโยกย้ายหรือถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนกันแต่อย่างใด

ทั้งๆ ที่ในห้วงที่ผ่านมามีทั้งผู้บริหารของฝ่ายการเมือง และผู้บริหารกองทัพตบเท้าเข้าไปสำรวจจุดต้นตอของปัญหากันมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก


โดยเฉพาะคนที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในห้วงเวลาเดียวกันทำหน้าที่สับคัตเอาต์กดปุ่มตัดไฟ 5 จุด ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ.ของไทยส่งให้พม่า ซึ่งคนที่เขาได้เห็นภาพนี้ต่างก็รู้สึกตลกขบขัน และสมเพชเวทนามากว่า ขนาดแค่เรื่องตัดไฟที่ส่งไปพม่าเพื่อกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยังต้องทำเป็นพิธีรีตองเหมือนตัดริบบิ้น เปิดผ้าคลุม


ส่วยแรงงาน-จีนเทาข้ามแดน ฝ่ายปกครอง-ทหาร อิ่มหมีพีมัน

ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมามีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้หลายคนได้ให้ข้อมูลยืนยันมาว่าเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ที่ “แม่สอด” นี้ ทหารกับฝ่ายปกครองที่รับผิดชอบในพื้นที่ ต่างก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ และล้วนแล้วแต่มีพฤติกรรมต้องสงสัยอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะนายทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่คุมกำลัง กับฝ่ายปกครองที่เป็นผู้บริหารระดับอำเภอ ซึ่งถ้าหากมีการฉายสปอตไลต์ก็คงเห็นไส้เห็นพุงกันหมด

โดยว่ากันว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทหารและฝ่ายปกครองเองก็อิ่มหมีพีมันจากการรับส่งแรงงานตั้งแต่ระดับรากหญ้า ไปจนถึงนักธุรกิจจีนเทาระดับวีไอพี ผ่านด่าน เดินทางข้ามไปมา เข้าออกทางท่าขนส่งสินค้า และช่องทางธรรมชาติอยู่ไม่น้อย

การเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ปล่อยลูกค้าผ่านด่านเข้าออกแต่ละครั้งจะมีการดีลกันกับขบวนการก่อนล่วงหน้า ต้องทำการแจ้งยอดคนที่จะเดินทางเข้าหรือออกรายหัว พร้อมต้องระบุลักษณะยานพาหนะที่ขบวนการเหล่านี้ใช้ให้ชัดเจน

โดยเรื่อง “ค่าโสหุ้ย” สำหรับการปล่อยปละละเลยในเรื่องการข้ามแดนนี้ เป็นที่รู้กันดีว่ามีการเคาะตัวเลขกันอย่างนี้ คือ
- เรตลักลอบขนแรงงานธรรมดา ที่หัวละ 1,000-3,000 บาท
- ส่วนนายทุนจีนเทาระดับวีไอพีที่ทางการต้องการตัว โขกกันสูงถึงหัวละ 50,000 บาท ต่อรอบการข้ามไปและข้ามกลับ


เมื่อลองทบทวนข้อมูลที่ได้มา ก็สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ “ผู้การต๊ะ” ที่เคยหลุดตอบคำถามนักข่าวเมื่อครั้งพยายามฟอกขาวตัวเองผ่านสำนักข่าวพีพีทีวี โดย “ผู้การต๊ะ” ตอบคำถามเรื่องความช่วยเหลือ “ซิงซิง” ดาราจีน เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกหลอกไปทำงานฝั่งเมียนมา ว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องของทหารดำเนินการ ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่”


นอกจากนี้ยังมีคำให้สัมภาษณ์ของ หม่อง ชิตตู่ ผู้นำฝั่งกะเหรี่ยง ที่แถลงข่าวโต้ทางการไทยด้วยถ้อยคำแบบมีนัย ว่า “จีนเทาผ่านเข้ามาจากฝั่งไทย ไม่ได้หล่นมาจากฟ้า”

หากตีความระหว่างบรรทัดก็คือ ผู้นำกองกำลังบีจีเอฟ ก็คันปาก อยากลากผู้มีอำนาจฝั่งบ้านเรามาตบประจานกลางสี่แยกกันแบบเรียงตัวบุคคลเช่นกัน

ส่วนผลงานการเร่ขายชาติของบรรดาผู้บริหารระดับอำเภอ ที่ค่อยๆ ขยับขยายกลายเป็นวีรเวรชิ้นโบแดง แสลงหัวใจคนไทย โดยเฉพาะกำลังเป็นประเด็นทิ่มแทงใจคนในพื้นที่ ที่เพิ่งได้รับข้อมูลมา และกำลังให้ทีมงาน “คุยทุกเรื่องกันสนธิ” ช่วยกันหาหลักฐาน

นั่นคือ การที่มีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำ เช่น ช่วยลักลอบทำบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย, ลักลอบทำบัตรประชาชน, การลักลอบสวมสิทธิประชากรไทย ให้คนต่างด้าวสัญชาติจีน, พม่า, อินเดีย, บังกลาเทศ, ปากีสถาน และพวกโรฮิงญา ให้ได้รับสิทธิเท่าเทียมกันกับคนไทย


ข้อมูลล่าสุดที่ทราบมาก็คือต่างด้าวสวมสิทธิเหล่านี้ ยินดีจ่ายเงินทำบัตรแต่ละประเภทให้เจ้าหน้าที่ไทย สูงถึงใบละ 50,000-4,000,000 บาท (ย้ำอีกที 4 ล้านบาท) แล้วแต่ว่าพวกใคร และมีทุนทรัพย์คู่ควรกับบัตรประจำตัวประเภทไหน

ซ้ำร้ายในปัจจุบัน ต่างด้าวสวมสิทธิหลายรายมีศักยภาพกว้านซื้อที่ดินฝั่งประเทศไทย ในเขตอำเภอพบพระ และอำเภอแม่สอด ไปไว้ในความครอบครอง เพื่อตั้งโรงงานประกอบธุรกิจ เตรียมการเปิดรับลูกหลานชาวไทยที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน ให้ตกไปเป็นลูกจ้าง อยู่ใต้อาณัติได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

จากสถานการณ์เดิมที่ในอดีตไอ้พวกต่างด้าวเหล่านี้แค่หลบหนีเข้ามาเป็นแรงงาน กลางวันแบกหาม กลางคืนขโมยถังแก๊ส เดี๋ยวนี้กำลังพัฒนาเป็นเจ้าของกิจการ ออกลูกออกหลานมากลืนกินทรัพยากรที่เป็นของคนไทย

“เฮียกวง” เจ้าของท่าเอกชน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแม่สอด

เชื่อว่า ส.ส.รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตา หรือคุ้นชื่อ “เฮียกวง” หรือ นายสุรชัย วีระสมเกียรติ นายด่านเอกชนที่ลุกขึ้นมาโวยวายในที่ประชุมคณะกรรมาธิการความมั่นคงกับหน่วยงานราชการ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้ ด้วยท่าทางกำไมค์ มือไม้สั่นเทาด้วยอารมณ์โกรธสุดขีด


“เฮียกวง” คนนี้เป็นเจ้าของท่าข้ามเอกชนขนาดใหญ่ในแถบท่าสายลวด ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าหากินอยู่ที่แม่สอดมานานนับสิบปี ตอนนี้รู้สึกอึดอัดใจว่าทำไมรัฐบาลไทยเพิ่งมากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งสแกมเมอร์ พร้อมติติงการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐว่าร่วมกันปล่อยปละละเลยจนฝีมันแตก


“เฮียกวง” ยังอวยกะเหรี่ยงทางฝั่งเมียนมาด้วยว่าสร้างเมืองชเวก๊กโกเสร็จตั้งแต่ พ.ศ. 2560 หรือ 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นภาครัฐทำอะไรกันอยู่ จึงรอให้ฝีแตกถึงค่อยมาลงมือกัน “เฮียกวง” ช่วยยืนยันราวกับตาตัวเองเห็นว่า กองกำลังบีจีเอฟเริ่มปราบปรามแก๊งจีนเทาให้แล้ว เพราะเห็นแก่ความทุกข์ยากของพลเรือนฝั่งเพื่อนบ้าน

ไหนๆ ส.ส.รังสิมันต์ โรม ก็ออกแอ็กชันในพื้นที่ย่านนั้นมายาวนานนับสัปดาห์ ลองเดินทางไปสำรวจท่าข้ามของ “เฮียกวง” เสียหน่อยว่าทุกวันนี้ หลังสองทุ่มยังรับขนคนข้ามลำน้ำเมยไปเล่นที่กาสิโนฝั่งตรงข้ามแบบไม่หยุดหย่อน ตามข้อมูลที่ได้รับมาหรือไม่?


นอกจากนี้ ส.ส.รังสิมันต์ โรม กรุณาช่วยสำรวจอาณาเขตรอบๆ ท่าเฮียกวงในรัศมี 400 เมตร ซึ่งมีลักษณะที่เป็นทั้งท่าข้ามเอกชนของเจ้าอื่นๆ และอาคารที่มีลักษณะเป็นที่พักธรรมดาๆ รั้วรอบขอบชิด แต่กลับมีท่าเรือแอบอยู่ด้านหลังบ้านให้ด้วย

ว่า มีบ้านไหนลักลอบขนคนข้ามไปมาระหว่างบ่อนฝั่งเมียวดีกับราชอาณาจักรไทยในช่วงหลังพลบค่ำบ้างหรือเปล่า เอาเป็นว่า เรื่องนี้ชาวบ้านย่านนั้นเขารู้กัน แต่แปลกที่ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง รวมถึง ส.ส.รังสิมันต์ โรม น่าจะยังไม่รู้




จะเชื่อหรือไม่ก็ลองไปสืบค้นประวัติ ความยิ่งใหญ่ของ “เฮียกวง” ดูสิ นอกจากมีฐานะเป็นนายด่านเอกชน เจ้าของท่าข้าม ซึ่งประกอบกิจการอยู่ในพื้นที่มานานแสนนาน “เฮียกวง” ยังมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับข้าราชการไทยทุกหน่วยงาน ทั้งตำรวจ ศุลกากร ฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทหาร

ปัจจุบัน “เฮียกวง” ดำรงตำแหน่งเป็นถึงประธานชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3, เป็นนายกสโมสรโรตารี่แม่สอด-เมืองฉอด, เป็นประธานเครือข่ายธุรกิจเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดตาก และยัง เป็นนายกสมาคมขนส่งสินค้าจังหวัดตากอีกด้วย


ยังมีสิ่งที่ชาวบ้านเห็น แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่เห็น เกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของนักธุรกิจไทยเทาๆ ที่คอยให้ความร่วมมือกับพวกจีนเทา กะเหรี่ยงเทา ในการเปิดบริษัท เปิดคลังสินค้า ประกอบธุรกิจอยู่ที่ฝั่งไทย แต่ดันตั้งชื่อพ้อง แบบไม่ใช่แค่คล้องจอง เพราะเลือกใช้ชื่อเมืองศิวิไลซ์แห่งใหม่ฝั่งเมียนมาเป็นโลโก้ของกิจการ

ยกตัวอย่างเช่น เขตปลอดอากร เคเค ฟรีโซน ภายใต้การควบคุมตามกฎหมายศุลกากร เจ้าของกิจการตั้งใจใช้ชื่อพ้องกับ เคเคปาร์ก อย่างชัดเจนไม่ต้องสงสัย แทบไม่ต้องตั้งคำถามให้เหนื่อยใจ ว่าธุรกิจภายใต้การดำเนินงานของบริษัทเอกชนเหล่านี้จะทำเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใด ทั้งๆ ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ฝั่งบ้านเรา


เท่าที่เห็นบริเวณลานจอดรถก็มีรถบรรทุกปูนจอดอยู่ ลองนึกเล่นๆ ว่าถ้ามีการลักลอบขนน้ำมันเอาใส่รถบรรทุกปูนซีเมนต์เหล่านี้ข้ามไปขายให้กลุ่มทุนเทาในฝั่งชเวก๊กโก ฝั่งเคเคปาร์ก หรือเมืองไท่ชาง ความเสียหายจะมีมูลค่ามากมายมหาศาลขนาดไหน !?!


ในเมื่อความเน่าเฟะของสังคมไทยหยั่งรากลึกขนาดนี้ ไล่มาตั้งแต่คนในรัฐบาลตั้งแต่ระดับรัฐมนตรี เรื่อยมาจนถึงผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง แรงงาน ศุลกากร ไล่ไปจนถึงพ่อค้า ลงไปถึงระดับชาวบ้าน แล้วเราจะไปโวยวายอะไรได้ เมื่อจีนส่ง “มือปราบตงฉิน” อย่าง หลิว จงอี้ ลงมาเอง มากวาดล้างความชั่วช้าเหล่านี้

เราควรจะอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า และเราควรจะถือโอกาสนี้ปัดกวาด เช็ดล้างความเน่าเฟะ และเหลวแหลกของคนของเราเองไปรวดเดียวเสียเลย อย่าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผ่านมา

อย่าให้คนจีนเขาดูถูกดูแคลนคนไทยได้ว่า ทำไมบ้านเมืองของเราแท้ๆ แต่เรากลับไม่สนใจ หรือใส่ใจที่จะดูแลกันเลย


กำลังโหลดความคิดเห็น