xs
xsm
sm
md
lg

นำชม ‘ENGRAVED EPICS : มหากาพย์จารึกฯ’ โดย ‘ชโลธร อัญชลีสหกร’ แห่ง MATDOT Art Center

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


‘ชโลธร อัญชลีสหกร’ Curator, Project Director แห่ง MATDOT Art Center


ภาพพิมพ์แกะสลักไม้อายุมากกว่า 100 ปี อวดโฉมอยู่ระดับแนวสายตา


ทศพักตร์ของทศกัณฐ์ที่เรียงรายอยู่ในระนาบเดียวกัน ให้ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ


บุษบกอันงามที่ทศกัณฐ์ลักพาตัวนางสีดา










ความน่ารักของหนุมานที่นำแหวนพระรามมามอบให้นางสีดา การจองถนน การเดินทัพ การเผากรุงลงกา และอีกมากมายหลายภาพของรามายณะล้วนดึงสายตา ดึงดูดความสนใจ ทั้งอดชื่นชมไม่ได้ กับความงามข้ามกาลเวลาของงานภาพพิมพ์แกะสลักบนเนื้อไม้ที่มีอายุตกทอดมานับแต่ศตวรรษที่ 19 นี้

‘ชโลธร อัญชลีสหกร’ Curator, Project Director แห่ง MATDOT Art Center
นอกจากรามายณะแล้ว ยังมีห้องจัดแสดงมหาภารตะ จากภาพพิมพ์แกะสลักไม้เช่นกัน ภาพจากหนังสือต้นฉบับยิ่งชวนให้สัมผัสถึงมนต์ขลังของพลังแห่งการสร้างสรรค์ของศิลปินแต่ละคนที่ตีความแต่ละภาพ แต่ละบทตอนออกมาได้อย่างน่าสนใจ

ภาพภีมะ(หรือภีษมะ)ถูกศรอรชุนไปทั่วร่างที่ต้องใช้เวลานานหลายวันกว่าจะสิ้นลม ชวนให้นึกถึงความทรมานอย่างสุดแสน
ภาพสงครามที่มีความเศร้าความโหยไห้ของเหล่ามารดาปกคลุมอยู่ทั่วซากร่างไร้วิญญาณของผู้เป็นบุตร ทั้งยังชวนให้ตั้งคำถามว่าใดแน่คือธรรมะ ใดแท้คืออธรรม ที่ในท่ามกลางสมรภูมิอันเป็นมหากาพย์เรื่องสำคัญของโลกนี้ มีให้ขบคิดอยู่มากมาย

เหนืออื่นใดคือความละเอียดละออของงานแกะสลักไม้ในแต่ละชิ้น ที่ทำให้เห็นถึงความสามารถของศิลปินผู้รังสรรค์ ได้เห็นรายละเอียดในภาพที่สะท้อนวิถีชีวิตในยุคอาณานิคม ทั้งได้แลเห็นเนื้อไม้อย่างใกล้ชิด

“ห้องของมหาภารตะ เราจะเห็นภาพต้นฉบับของจริงเลย โดยที่ไม่มีอะไรมากั้น เราสามารถมองใกล้ๆ ได้เลย ได้เห็นเนื้อกระดาษ ความแตกของเนื้อไม้ ความชำรุดของกระดาษ ก็เป็นเสน่ห์อย่างนึงเหมือนกัน ทำให้เราเห็นว่าผ่านอะไรมามากมาย รูนั้นอาจเกิดจากปลวก มอด หรือจากการดูแล การเก็บรักษาในสมัยก่อน”


‘ชโลธร อัญชลีสหกร’ Curator, Project Director แห่ง MATDOT Art Center
ผู้จัดการออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ ‘ชโลธร อัญชลีสหกร’ Curator, Project Director แห่ง MATDOT Art Center 
ให้เธอนำชม ‘ENGRAVED EPICS : มหากาพย์จารึก รามายณะและมหาภารตะบนภาพพิมพ์เบงกอลยุคต้น
ซึ่งคัดสรรโดยภัณฑารักษ์ชาวอินเดีย Jyotirmoy Bhattacharya (โจตีร์มอย) ที่นับว่าน่าสนใจยิ่ง


ภัณฑารักษ์ชาวอินเดีย Jyotirmoy Bhattacharya ภาพจาก FB: MATDOT Art Center
จุดเริ่มต้นโดยภัณฑารักษ์ชาวอินเดีย Jyotirmoy Bhattacharya

ขอให้ช่วยเล่าถึงจุดเริ่มต้น ความเป็นมาของนิทรรศการ มหากาพย์จารึกฯ เริ่มต้นอย่างไร
ชโลธร กล่าวว่า “จุดเริ่มต้นเลย ก็คือตั้งแต่ปี ค.ศ.2018 ที่คุณโจตีร์มอย ได้มาเจอกับเรา ที่นี่ (MATDOT Art Center)
ก่อนหน้านั้น เราก็ไปเจอเขาก่อนที่อินเดีย เนื่องจากพี่หน่องจบจากศานตินิเกตันน่ะค่ะ (หมายเหตุ : คุณหน่องคือธวัชชัย สมคง ผู้ก่อตั้ง MATDOT Art Center) ที่อินเดีย ที่โกลกัลตา
แล้วช่วงนั้น เรากลับไปที่ศานตินิเกตัน แล้วเราก็ได้พบกับภัณฑารักษ์ที่สะสมผลงานชุดนี้ด้วย คือคุณโจร์ตีมอย แล้วก็แลกเปลี่ยนกันมาตลอด จนเขามาเที่ยวไทย”

ภัณฑารักษ์ชาวอินเดีย Jyotirmoy Bhattacharya ภาพจาก FB: MATDOT Art Center
"เดิมทีคุณโจร์ตีมอย เป็นนักธุรกิจ แต่เมื่อได้เดินทางไปรอบๆ อินเดีย ได้ทำให้เห็นวัฒนธรรม ทำให้เกิดความสนใจ จึงเลิกทำธุรกิจ แล้วมาศึกษาเรื่องศิลปวัฒนธรรมที่เป็นของอินเดีย แล้วเขาก็ค้นพบว่า ประมาณศตวรรษที่ 19 อินเดียมีศิลปวัฒนธรรมที่รุ่มรวยมาก แต่ว่าคนไม่ค่อยพูดถึง แล้วเมื่อเขามาที่ไทย ยังไงวัดพระแก้วก็ต้องไป เมื่อไปถึงก็แปลกใจมาก ที่รอบๆ ฝาผนังวัดพระแก้วเป็นเรื่องของรามเกียรติ์ทั้งนั้นเลย เขาก็เลยแปลกใจว่า เอ๊ะ! ที่ไปอินโด ก็เจอภาพมหาภารตะ ไปเขมร นครวัด นครธม ทับหลังก็เป็นเรื่องรามายณะเหมือนกัน เขาก็เลยมองเห็นว่าในโซน Southeast Asia ที่ใกล้กับอินเดียมากๆ มีวัฒนธรรมร่วมบางอย่างที่มันน่าจะส่งต่อถึงกันได้ แล้วด้วยความที่เขาสนใจในเรื่องศิลปวัฒนธรรมในช่วงศตวรรษที่ 19 เขาก็เลยนำภาพพิมพ์ มหากาพย์รามายณะเข้ามาในไทย”






ชโลธรเล่าว่าช่วงนั้น ศตวรรษที่ 19 ยังเป็นช่วงที่อินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ อังกฤษก็นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา อย่างเช่น เรื่องเทคโนโลยีการพิมพ์ มีโรงพิมพ์ เครื่องพิมพ์เกิดขึ้น
ช่วงประมาณปี ค.ศ.1816 เริ่มมีเทคโนโลยีการพิมพ์เข้ามาจากอังกฤษ มีหนังสือที่พิมพ์ออกมาเป็นเล่มแรก

“ในการเผยแพร่รามายณะและมหาภารตะ เดิมเป็นการพิมพ์มือมาก่อน แล้วอยู่ในวงจำกัดมาก จึงยากที่จะเผยแพร่ไปได้ เพราะพิมพ์ได้จำกัด แต่เมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์เข้ามา จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นคือ งานเผยแพร่ไปได้ในวงที่กว้างมากๆ มันก็เลยทำให้เรื่องราวมหากาพย์นี้เผยแพร่ไปในวงกว้าง
จุดเริ่มต้นที่ทำให้สองเล่มนี้ กระจายไปในวงกว้างของอินเดียได้ ก็คือเรื่องนี้ เทคโนโลยีการพิมพ์ แล้วงานที่นำมาจัดแสดง เป็นช่วงยุคนั้นเลยค่ะ ที่จัดพิมพ์ในช่วงยุคต้นของเบงกอลเลย”

ถามว่า เช่นนั้นแล้ว ผลงานเหล่านี้ก็เรียกได้ว่าเป็นงานสกุลช่างเบงกาลี
ชโลธรตอบว่า “ใช่ค่ะ เห็นถึงเทคนิคเฉพาะ ลายเส้น ก็จะแตกต่างกว่าแบบสมัยใหม่”

เทคนิคเฉพาะตัว


หากถามถึงความโดดเด่นของภาพที่จัดแสดงที่ MATDOT Art Center
ชโลธรตอบว่า ห้องที่จัดแสดงรามายณะ จุดเด่นคือ คุณโจตีร์มอย นำหนังสือฉบับจริงมาจัดแสดงด้วย แต่ด้วยความเก่าของหนังสือ เราไม่สามารถให้ทุกคนมาจับได้ คุณโจตีร์มอย จึงคิดวิธีการนำตัวภาพที่อยู่ในเล่ม Printout ออกมา แต่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เวอร์ชั่นเดียว ระหว่างที่เขาไปค้นคว้าหนังสือ ก็เจอหลากหลายเล่ม หลายปี

“อย่างรามายณะ ถ้ามาดู ก็จะเห็นว่าไล่เรียงไปตามบทที่เราอ่าน แต่บางช่วง บางตอน บางฉาก จะมี 2 ถึง 4 เวอร์ชั่น
อันนี้ ภัณฑารักษ์คือคุณโจตีร์มอย ต้องการทำให้เห็นว่า การตีความออกมาจากตัวหนังสือ ตามช่างแต่ละคนก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกัน ในแง่ของเทคนิค ลายเส้นก็แตกต่าง ต้องการแสดงให้เห็นว่า ในเรื่องเดียวกัน มันถูกตีความและนำเสนอ ออกมาด้วยความหลากหลายได้”

“ส่วนมหาภารตะ ที่จัดแสดงอยู่ห้องด้านหลัง จุดเด่นคือ เป็นงานจริงทุกชิ้น ก็คือ ตัดออกมาจากหนังสือเลย แล้วนำมาจัดแสดงเลย ซึ่งถ้าเราเข้าไปดูใกล้ๆ เราจะเห็นว่า งานแกะไม้ของอินเดียละเอียดมาก”
ชโลธรกล่าวว่าตอนแรก เราก็ตั้งคำถามเหมือนกัน ว่า งาน Woodcut (ภาพพิมพ์แกะไม้) ทำไมถึงละเอียดขนาดนี้ ซึ่งเราก็ได้คุยกับทั้ง คุณโจตีร์มอย และอาจารย์ผู้รู้ทางด้านนี้ อาจารย์ก็บอกว่า จริงๆ มันเป็นเทคนิคการพิมพ์แกะโลหะ (Engraving) ที่เราคุ้นเคยคือการแกะการพิมพ์ธนบัตร เทคนิค ตัวอุปกรณ์จะเส้นเล็ก บาง และละเอียดกว่าในกระบวนการทำ แต่หลักๆ แล้ว Engraving จะถูกทำบนโลหะ ที่ถูกขัดให้เรียบ ไม่มีรอยต่อไม้

“แต่อินเดียยุคนั้น โลหะหาได้น้อย แทบจะไม่มี แล้วราคาก็สูง ต่างจากไม้ที่มีเยอะมากๆ เขาก็เลยใช้วัสดุที่มีคือไม้ แต่ก็จะแตกต่างจากงาน Woodcut ตรงนี้ ต้องใช้ไม้เนื้อแช็ง ต้องตัดตามแนวขวาง เพื่อให้มีรอยต่อของไม้น้อยที่สุด แล้วก็ขัดจนเรียบ จนเงา แล้วก็เริ่มแกะได้ เทคโนโลยีการพิมพ์ยุคนั้น แท่นพิมพ์ไม่ได้ใหญ่มาก ทุกอย่างก็ถูกย่อสเกลลงไปหมดเลย งานก็ยิ่งเล็กและละเอียดลงไปอีก
ส่วนที่จัดแสดงมหาภารตะ เป็นเนื้อกระดาษ สัมผัสอากาศเลย เพราะคุณโจตีร์มอยไม่ต้องการให้มีกระจกมาปิด เนื่องจากจะเกิดแสงสะท้อน สามารถดูได้ด้วยตาเปล่าแบบเห็นชัดๆเลย" ชโลธรระบุ


ภาพที่น่าสนใจ

ถามว่า ภาพที่ใดที่คิดว่าน่าสนใจที่สุด
ชโลธรตอบว่า “ภาพของรามายณะที่ชอบเลย ตั้งแต่ เอ๊ะ!แรกเลยก็คือ ภาพที่ทศกัณฐ์เป็นหน้าแนวนอน ซึ่งเราไม่คุ้นเลยกับทศกัณฐ์ที่เป็นหน้าแนวนอน ทศกัณฐ์ไทยเราเป็นหน้าแนวตั้ง เรียงเป็นกรวยขึ้นไป แต่พอเรามาเห็นภาพนี้ เรารู้สึกว่า เออ ก็ตีความสิบหน้าได้ครบเหมือนกัน งานพิมพ์เมื่อก่อน ไม่สามารถทำเป็นสามมิติได้ เขาก็ทำเป็นสองมิติ แต่ให้เห็นสิบหน้าแนวนอน ภาพนี้เราดูแล้วรู้เลยว่าเป็นทศกัณฐ์ ไม่ต้องตีความว่าเป็นใคร”

ภาพต่อมาที่ชโลธรสนใจ “มีภาพที่หนุมานสู้กับยักษ์สุรสา ซึ่งเห็นชัดที่วัดพระแก้วด้วย แต่ยักษ์ในวัดพระแก้วจะสวย แต่ยักษ์ของอินเดีย ยักษ์จะน่ากลัวจริงๆ”
ชโลธรมองว่าบ้านเรา “รามเกียรติ์ถูกประพันธ์ขึ้นในรัชกาลที่ 1 ที่ประพันธ์ขึ้นให้นุ่มนวลกว่ารามายณะ มีความแฟนตาซีมีเรื่องเล่าที่สนุกสนาน เพราะจริงๆ แล้ว หนุมานที่อยู่ในรามายณะเป็นนักบวชเลย ไม่มีเมียไม่มีลูก รับใช้แค่พระรามและนางสีดาเท่านั้น”

ภาพต่อมา
“ถ้ามาดูอันนี้ มีภาพที่ศิลปินแต่ละคนตีความ ภาพทศกัณฑ์ที่เรียงกัน 4 เวอร์ชั่น
คุณโจตีร์มอยหามาได้ 4 เวอร์ชั่น ก็นำมาจัดแสดงทั้งหมด”


มหาภารตะ
ในส่วนของบริเวณจัดแสดงมหาภารตะ
มีหลายๆ ภาพได้กลิ่นอายอังกฤษ วัฒนธรรมใหม่ที่อังกฤษนำเข้ามา ผ่านการเรียนการสอน ที่เป็นโรงเรียนศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปะ ชโลธรเล่าว่าเมื่อมีโรงเรียนสอนศิลปะเกิดขึ้น ภาพของช่างที่เรียนในโรงเรียน กับช่างพื้นเมืองก็จะต่างกัน

“สำหรับมหาภารตะเป็นเรื่องสังคมการเมือง บ้านเราอาจไม่ค่อยเห็นมหาภารตะเท่าไหร่ ต่างจาก รามเกียรติ์ที่แฟนตาซีกว่า
มหาภารตะเป็นเรื่องของสองตระกูลพี่น้องกันคือปาณฑพกับเการพที่มีปู่คนเดียวกัน สืบเชื้อสายมาจากทวดคนเดียวกัน แย่งชิงกันเอง”

ชโลธรเล่าโดยเสนอมุมมองของตนเองหลังจากที่ได้อ่าน ‘มหาภารตยุทธ โดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย’ แล้วดูภาพในการจัดแสดงครั้งนี้ ว่าเการพ กังวลว่าตระกูลน้องตัวเองจะได้รับความนิยมมากกว่า ก็หาเรื่องในการทำให้ต้องออกไปจากเมือง แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปสักพักหนึ่ง ยุธิษฐิระพี่ชายคนโตของปานฑพ
ไปเล่นพนันกับทุรโยธน์ โดยนำบ้านเมืองมาเล่นพนัน ตรงจุดนี้ก็อาจตั้งคำถามได้ว่า นี่คือฝ่ายธรรมะหรือไม่
อาจมีส่วนที่บอกว่าเมื่อกษัตริย์ถูกท้าทาย ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ แต่นี่คือบ้านเมือง ลูกเมีย เมื่อถูกนำมาใช้พนันก็ไม่ถูกต้อง
ในมุมของชโลธรเรื่องนี้จะเห็นได้ชัดว่า ไม่มีขาว ไม่มีดำ ไม่มีดี 100% หรือชั่ว 100%

“ในเรื่องนี้ กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำของจริงเลยค่ะ แล้วก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงการท้าทายจากกษัตริย์ด้วยกันได้ แล้วเมื่อถึงช่วงสงคราม ก็ได้รู้ว่าคนสมัยก่อน เมื่อเขารบกัน พลม้าสู้กับพลม้าเท่านั้น พลช้างสู้กับพลช้างเท่านั้น ช้างจะไม่ไปเหยียบม้า”


ตั้งคำถาม ธรรมะ-อธรรม

ภาพนี้ "คือกษัตริย์ภีมะ ( ไทยคุ้นชินกับชื่อภีษมะ) ปู่ของทั้งสองฝั่ง โดนอรชุนยิงจนพรุนเลย
ภีมะรับปากว่าจะช่วยเหลือทุรโยธน์ ตามที่เคยรับปากไว้"

“ภีมะโดนอรชุนใช้ธนูยิง ก็ชวนให้ตั้งคำถามกับอรชุน ตามหนังสือที่อ่าน (มหาภารตยุทธ โดย กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย) ว่า กษัตริย์ภีมะมีบุญมาก กำหนดวันตายตัวเองได้ แต่โดนอรชุนยิงตายก่อนถึงวันตายที่ตัวเองกำหนด เขาก็เลยต้องคาอยู่กับลูกศรจนกว่าจะถึงวันที่ตัวเองต้องตาย ซึ่งหนังสือก็บรรบายว่า ทุกข์ทรมานมาก
จากการตีความของเราเอง อาจเป็นผลกรรมของเขาหรือเปล่าที่ไม่ห้ามหลานรบกัน”






ภาพที่น่าสนใจต่อมา
ฝั่งทุรโยธน์มีพี่น้องร้อยคน ตายหมด เราจะเห็นว่า ลูกๆ ถูกเกณฑ์ไปรบด้วยศักดิ์ศรี แล้วคนที่สูญเสียก็คือผู้หญิงที่อยู่ข้างหลัง ก็คือแม่




ชวนตั้งคำถาม-ตีความตามแต่ละมุมมอง

ภาพจบ
“คือทุกคนตายหมด ฝั่งทุรโยธน์ตายหมด บ้านอรชุนได้เดินทางขึ้นเขาไกรลาศ แล้วแต่ละคนก็เดินตามยุธิษฐิระ
ซี่งคนนี้แหละคือคนต้นเรื่อง ที่พนันเอาบ้านเอาเมืองแล้วแพ้ ทุกคนมีจุดจบตรงการตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ แต่คนนี้ไม่ตาย ขึ้นสวรรค์ไปเลย"

"ในหนังสือเล่มนี้ ให้เหตุผลว่า คนนี้มีธรรมะของกษัตริย์ครบถ้วนที่สุด ก็เลยไม่ต้องละสังขารโดยการตายจาก อดตั้งคำถามไม่ได้ เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของการที่ทำให้เกิดสงคราม เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม แต่สุดท้ายแล้ว พอเขาขึ้นสวรรค์เขาก็ได้เจอทุกคนครบเลยนะ แม้แต่ทุรโยธน์ก็อยู่บนสวรรค์”

“เราก็ตั้งคำถามว่า แล้วเรื่องนี้ใครดี หรือไม่ดี ในเมื่อทุกคนขึ้นสวรรค์หมด
เนื้อเรื่องชวนให้เราคิดว่าไม่มีใครขาวไม่มีใครดำ แต่ทุกคนเทาๆ หมด
ไม่มีใครตกนรกเลย อรชุนที่ยิงปู่ตัวเอง จริงๆ แล้วก็ต้องตกนรกด้วยซ้ำ เพราะเป็นการทำร้ายบุพการี”

สำหรับชโลธร รู้สึกว่า “มหาภารตะสะท้อนสังคมอินเดียได้มากกว่า รู้สึกว่าเล่าเรื่องใกล้ชีวิตเรามากกว่า ส่วนเนื้อเรื่องรามายณะนี้ก็ทำให้เกิดการตีความว่า เป็นการเล่าถึงอารยันกับทมิฬรบกันในช่วงประวัติศาสตร์หรือไม่
พระรามเป็นคนนอกที่เข้ามาหรือเป็นเรื่องอังกฤษ อาณานิคมที่เข้ามา กับเรื่องคนพื้นเมืองหรือเปล่า ก็มองได้หลายมุม แล้วแต่ว่าคนอ่านเลยว่าจะมองไปในมุมไหน คนที่สนใจประวัติศาสตร์อินเดียมากก็อาจจะมองไปในมุมนั้น”




“ห้องของมหาภารตะ เราจะเห็นภาพต้นฉบับของจริงเลย โดยที่ไม่มีอะไรมากั้น เราสามารถมองใกล้ๆ ได้เลย ได้เห็นเนื้อกระดาษ ความแตกของเนื้อไม้ ความชำรุดของกระดาษ ก็เป็นเสน่ห์อย่างนึงเหมือนกัน ทำให้เราเห็นว่า ผ่านอะไรมามากมาย
รูนั้นอาจเกิดจากปลวก มอด หรือจากการดูแล การเก็บรักษาในสมัยก่อน”

“บางชิ้น จะไม่ใช่เส้นของกระดาษขาดนะ แต่จะเป็นเส้นของไม้ เพราะใช้เทคนิคการพิมพ์ของแผ่นไม้ เราก็จะเห็นเสน่ห์ของเนื้อไม้ ผิวไม้บางอย่างที่มันไม่สามารถขัดจนเรียบได้ 100% แบบโลหะ เหมือนเป็นเสี้ยนไม้ มีเส้นที่มันผิดไปจากร่อง เส้นนี้ คือเส้นของเนื้อไม้ที่เขาไม่สามารถขัดจนเรียบเนียนได้”

“ภาพเหล่านี้อาจไม่มีลายเซ็นของศิลปินก็จริง แต่ไม้นี้ก็เป็นลายเซ็นในตัวเองแล้วแหละ ว่ามาจากช่วงอายุประมาณไหน”



ไม่ใช่คำกล่าวที่เกินเลยความจริงแม้แต่น้อย เชิญผู้สนใจทัศนา ‘มหากาพย์จารึก รามายณะและมหาภารตะบนภาพพิมพ์เบงกอลยุคต้น’ ได้ที่ MATDOT Art Center ถึงวันที่ 27 ก.พ.2025
……….
เรื่องและภาพ โดย : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล