xs
xsm
sm
md
lg

เจาะขุมทองฝังเพชร “แม่สอด” ประตูสู่อาณาจักรจีนเทา ผกก.รวยหมื่นล้าน นายดาบกลายเป็นเสี่ย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะลึก “แม่สอด” พื้นที่ขุมทองฝังเพชร ทุกอณูเต็มไปด้วยแหล่งผลประโยชน์ จากธุรกิจสีเทาฝั่งพม่า เปิดช่องทางให้แก๊งจีนเทาเข้า-ออก ส่วยแรงงานเถื่อน สินค้าหนีภาษี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “ผู้การต๊ะ” จะร่ำรวยเป็นหมื่นล้าน หรือนายดาบที่ได้เป็นนายร้อยเลื่อนไหลแบบ “หมวดนพ” จะมีทรัพย์สินเงินทอง บ้าน-รถยนต์เทียบเท่าอาเสี่ย



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงพื้นที่จังหวัดตากว่าเป็นเสมือนขุมทองคำที่บรรดานายตำรวจทั้งหลายต่างต้องการจะย้ายเข้ามาคุมพื้นที่ เพราะมีผลประโยชน์ตามแนวชายแดนมากมายให้เก็บเกี่ยวสร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ในวันที่ไม่มีแก๊งจีนเทาคอลเซ็นเตอร์ หรือเว็บพนันออนไลน์ ตำแหน่ง ผู้กำกับการ สภ.พบพระ ผู้กำกับการ สภ.แม่สอด ผู้กำกับการ สภ.พะวอ สภ.แม่ระมาด หรือแม้กระทั่ง ผู้กำกับการ ตม.แม่สอด ตำรวจนายไหนจะวิ่งไปอยู่โรงพักเหล่านี้ต้องหอบแบงก์พัน แบงก์เทา ไปซื้อตำแหน่งหนักราวๆ 30-50 กิโลกรัม (หรือราว 30-50 ล้านบาท) จนเรียกได้ว่า สน.เกรดเอในกรุงเทพฯ อย่างเช่น สน.ทองหล่อ, สน.บางรัก, สน.ปทุมวัน, สน.ห้วยขวาง กลายเป็นเด็กๆ ไปเลย

อ.แม่สอด และอำเภอใกล้เคียงของ จ.ตาก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในความดูแลของตำรวจภูธรภาค 6 อันประกอบไปด้วย 9 จังหวัด คือ พิษณุโลก, นครสวรรค์, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, พิจิตร, อุตรดิตถ์, อุทัยธานี, สุโขทัย และตาก นั้นคือดินแดนที่เหมือนกับปูด้วยทองคำ มีทั้งบ่อนการพนันฝั่งพม่า, บ่อนออนไลน์, แก๊งคอลเซ็นเตอร์, ยาเสพติด, แรงงานเถื่อน, ท่าข้ามแดน ฯลฯ


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ.แม่สอด จ.ตาก ที่อยู่ตรงข้ามกับ เมียวดี ฝั่งพม่า ใครว่า แม่สาย จ.เชียงราย เป็นขุมทอง มาเจอ “แม่สอด จ.ตาก” นี่เด็กๆ ไปเลย มีผลประโยชน์ทุกจุด เป็นเงินเป็นทองทุกตำแหน่ง แตะไปที่ไหนก็เป็นเงินทองหมด ตำรวจแต่ละนายชั้นสัญญาบัตร มีตำแหน่งแห่งที่ ล้วนแล้วแต่ชอบเหลือเกินที่อยากจะไปอยู่แม่สอด หรืออยู่อำเภอชายแดนจังหวัดตาก


ถ้าเป็นระดับผู้บัญชาการต้องถือว่ากองบัญชาการภาค 6 ซึ่งดูแลแม่สอด และตากนั้น เป็นกองบัญชาการที่เข้าไปแล้วมีแต่แสงวิบวับของทองคำทั้งนั้น

สภ.เมืองนครสวรรค์ ที่ “ผกก.โจ้” พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล เคยเป็นผู้กำกับการและก่อเหตุคลุมถุงดำพ่อค้ายาจนเสียชีวิตเมื่อปี 2564 ก็เป็นทางผ่านสำคัญในภาค 6 ของบรรดาสิ่งผิดกฎหมายทั้งหลาย

ผกก.โจ้ วัยเพียงแค่ 41 ปี แต่มีความใกล้ชิดกับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ในเวลานั้น (เพราะเป็นพ่อแฟนสาว) ถูกจับให้ไปนั่งตำแหน่ง ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ช่วยให้เจ้าตัวสามารถสะสมและรีดไถเงินผิดกฎหมาย-เงินเทา ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มากอยู่แล้วให้กลายเป็นมหาศาลถึง 1,400 ล้านบาทได้


กรณี “ผกก.โจ้” นี่เป็นแค่ตัวละครหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่งที่เข้าไปเสพสุขกับเงินสีเทาของพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 6 เท่านั้น

เวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้มีแก๊งจีนเทา มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีกลุ่มเว็บพนันออนไลน์ผุดขึ้นอีกมากมายกว่าเดิมหลายเท่า เมืองชเวก๊กโก ฝั่งพม่าตรงข้ามแม่สอด จ.ตาก ที่เคยเป็นหมู่บ้านชายแดน กลายเป็นเมืองใหม่ แสงไฟระยิบระยับสว่างไสว ตึกสูงๆ ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แก๊งค้ามนุษย์ใช้ทำการ รวมถึงที่พักอาศัย สถานบันเทิง สถานที่สันทนาการต่างๆ ผุดขึ้นเต็มไปหมด


จากเดิมเก้าอี้ ผกก.แม่สอด, ผกก.พบพระ, ผู้กำกับการ ตม.แม่สอด ที่เดิมทีเกือบ 10 ปีก่อนต้องจ่ายกัน 30-50 ล้านบาท ทุกวันนี้ต้องจ่ายเพิ่มกันเป็นเท่าไรแล้ว?

ถึงค่าวิ่งเต้นตำแหน่งจะสูงลิ่วขนาดไหนแต่ก็ยังมีคนแย่งกันมา เพราะแหล่งรายได้แทรกอยู่ในแทบจะทุกอณูของพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น

ในส่วนของตำรวจ ตม. จะมี
1. ส่วยสินค้าหนีภาษี เก็บกินสินค้าทุกประเภทที่หนีภาษี
2. ส่วยสินค้าที่ลักลอบนำเข้าตามช่องทางธรรมชาติ
3. ส่วยค่าหัวเพื่อนบ้านที่เข้าออกถูกต้องตามด่าน หรือที่เรียกว่า “แสตมป์ตราประทับ” โดยอันนี้เป็นรายรับถูกต้อง แต่ด่านนั้นๆ บริหารยอดค่าหัวแสตมป์กันเอง พร้อมกัน ตัดส่งบรรดานายๆ


ยกตัวอย่าง เงินเบี้ยเลี้ยง เงินส่วย ที่ไม่ใช่เงินเดือน “ตำรวจชั้นประทวนของ ตม.แม่สอด” แต่ละเดือนรับกันคนละเกือบแสนบาท บางเดือนทะลุ 1 แสนบาท ไม่ต้องพูดถึง “ตำรวจระดับชั้นสัญญาบัตร” ก็ยิ่งรับมากเป็นทวีคูณ

ในส่วนระดับโรงพักไม่ว่าจะเป็น สภ.พบพระ, สภ.แม่สอด, สภ.พะวอ รวมไปถึง สภ.แม่ระมาด แหล่งรายได้หลักๆ จะมาจาก 4-5 ช่องทาง ดังนี้

1. แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย : จะเก็บกินต่างด้าวที่เข้าออกผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติ ที่จะเข้ามาเป็นแรงงานตามจังหวัดต่างๆ เช่น สมุทรสาคร มหาชัย สมุทรปราการ ปากน้ำ ชลบุรี กรุงเทพฯ ค่าหัวคิวตกหัวละ 2,000 บาท เฉลี่ยเฉพาะพื้นที่แม่สอด เข้าออกวันละ 400 คน รวมแล้วตกวันละ 800,000 บาท โดยมีการจัดสรรแบ่งยอดให้ ตม.พื้นที่บางส่วน


2. ลักลอบเปิดทางนำพาแก๊งจีนเทาเข้าออกหัวละ 15,000-20,000 บาท ราคาขึ้นลงแล้วแต่สถานริมตะเข็บชายแดน จัดสรรแบ่งยอดให้ ตม.พื้นที่บางส่วน ซึ่งตำรวจ สภ.แม่สอดที่ดูแลหน้าเสื่อส่วนนี้ คนพื้นที่มีชื่อว่า “ดาบมานพ” ซึ่งตอนนี้น่าจะได้เป็น “นายตำรวจนายร้อยเลื่อนไหล” (โครงการของ สตช.ที่ให้ตำรวจยศชั้นประทวนได้มีโอกาสเลื่อนยศเป็นชั้นสัญญาบัตรก่อนเกษียณ) ไปแล้ว

จากเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว “ดาบมานพ” เป็นนายตำรวจชั้นประทวนจนๆ เช้าชามเย็นชามไปวันๆ ทุกวันนี้เป็น “เสี่ยมานพ” ไปแล้ว ขับรถเบนซ์ บ้านหลังใหญ่โต กว้านซื้อที่ดินในแม่สอด ทำธุรกิจรีสอร์ตใหญ่โต เหลือกินเหลือใช้ มีเงินมากมายมหาศาล

3. เก็บค่าหัวแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ หัวละ 300-500 บาทต่อคน

4. เงินส่วยทั่วไป เช่น หวยใต้ดิน บ่อนการพนัน เงินสนับสนุนจากกาสิโนฝั่งเมียวดี มีรวมๆ 40-50 แห่ง ถามว่ากาสิโนฝั่งเมียวดีทำไมต้องสนับสนุน ก็เพราะมีแต่คนไทยไปเล่นการพนัน คนจะเล่นต้องข้ามจากฝั่งแม่สอด เพื่อไปเล่นฝั่งเมียวดี ข้ามไปข้ามมากัน 24 ชั่วโมง ถ้าเจ้าของกาสิโนไม่จ่าย ตำรวจ ทหารที่ดูแลพื้นที่ก็ไม่ให้ผ่าน ไม่อำนวยความสะดวก

ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หากใครจะมาเป็นผู้กำกับการ สภ.พบพระ, ผู้กำกับการ สภ.แม่สอด, ผู้กำกับการ สภ.พะวอ (อ.แม่สอด), สภ.แม่ระมาด หรือแม้กระทั่งผู้กำกับการ ตม.แม่สอด ต้องหอบเงินมาวิ่งเต้นกับฝ่ายการเมือง หรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มากถึง 30-50 ล้านบาท

“ผู้การต๊ะ” คุมแม่สอด รวยหมื่นล้าน


ส่วนกรณี พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 สำนักงานจเรตำรวจ (จต.) แต่เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568  มีคำสั่งให้รักษาราชการแทนผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 6 หรือจเรตำรวจภาค 6 และล่าสุดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ถูกคำสั่งจาก ผบ.ตร.ให้เข้าไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีพัวพันกับกาสิโนเมียวดีคอมเพล็กซ์ด้วยนั้น นายสนธิกล่าวว่า เมื่อ 4 ปีก่อนตนเป็นคนแรกที่เปิดเผยถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของ “ผู้การต๊ะ” คนนี้ ตั้งแต่สมัยเป็น พ.ต.อ.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการอำนวยการ บช.ภ.6 แต่เวลานั้นไม่เคยมาทำงานที่สำนักงาน ผบช.ภ.6 เลย

พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ นายตำรวจดังคนนี้จบนักเรียนนายร้อยสามพราน รุ่น 43 รุ่นเดียวกับ พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นนายตำรวจเพื่อนร่วมรุ่น นรต.43 ให้ความยกย่องมาก ถึงกับเรียกว่า Boss หรือเจ้านาย นั่นเอง โดยการยอมรับนี้ไม่ใช่เพราะ “ผู้การต๊ะ” มีตำแหน่งนำรุ่น แต่เพราะวันนี้นายตำรวจผู้นี้มีเงินทองมากมายมหาศาล ร่ำรวยระดับมหาเศรษฐี อีก 4 ปีเกษียณก็มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ยันลูกหลาน


เส้นทาง พล.ต.ต.เอกราษฎร์ เริ่มต้นเข้าสู่ยุทธจักรอำนาจ โดยมาเป็นตำรวจติดตาม นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส.เชียงราย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และรัฐสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ต่อมา แม้ว่านายยงยุทธจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่มีตำแหน่งการเมืองใดๆ แต่อำนาจและบทบาทในพรรคเพื่อไทยยังไม่สะเทือน จึงฝากฝังให้ “ต๊ะ เอกราษฎร์” ก้าวหน้าในราชการตำรวจมาเป็นลำดับ จนได้จังหวะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พาพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล ก็เป็นโอกาสในการผงาดขึ้นตำแหน่งบนทำเลทอง

ปี 2554 ปีแรกที่ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี “ต๊ะ เอกราษฎร์” ได้ขึ้นเป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอด เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่สอด คนที่ 36 และนี่คือจุดเริ่มต้นของฉายา “ต๊ะ แม่สอด” โดยเขาอยู่เป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอดยาวนานถึง 4 ปีเต็ม จึงขึ้นเป็นรองผู้การฯ


ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำกับการ สภ.แม่สอด “ต๊ะ เอกราษฎร์” มีหัวการค้า เข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่เก่งแบบหาตัวจับยาก โดยเมื่อจับทางได้ ก็ข้ามไปหาเช่าที่ดินทำสัมปทานฝั่งเมียวดี เอาไว้ หวังวันข้างหน้าจะทำตลาดเหมือนฝั่งแม่สาย จ.เชียงราย แต่วันดีคืนดีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็น “ผกก.สภ.พะวอ” ในเวลานั้นเปิดทางสว่างแนะไอเดียให้ทำกาสิโน จึงเป็นจุดก่อกำเนิด “กาสิโนเมียวดี คอมเพล็กซ์” อันใหญ่โตของเมืองเมียวดี


แม้ในเวลานั้นมีคนไทยหลายคนไปทำกาสิโนที่นั่น แต่สู้ “ผกก.ต๊ะ” ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ (เจ้าของบ่อนแกรนด์เมียวดี : Grand Myawaddy) หรืออีกคนคือ “เฮียตือ คอสโม” อดีตเจ้าของกาสิโน สตาร์เวกัส กลางทะเล หรืออดีตเจ้าของโรงเบียร์ฮอลแลนด์

“ผกก.ต๊ะ” โปรยเงินให้ พ.อ.หม่อง ชิตตู่ ผู้นำกองกำลังทหารกะเหรี่ยง KNA ในฐานะที่ดูแลเมืองเมียวดี และธุรกิจกาสิโนของ “ต๊ะ” อยู่ในเขตอำนาจ พ.อ.หม่อง ชิตตู่ เดือนละประมาณ 3-5 ล้านบาท แต่ พ.อ.หม่อง ชิตตู่ ก็แสบจัด เรียกเก็บล่วงหน้าทีเดียว 10-20 ปี


ดังนั้น การที่นายทหารระดับสูงรัฐกะเหรี่ยง BGF-DKBA พยายามออกมาขอความเห็นใจหลังถูกตัดไฟ-ตัดน้ำมัน-ตัดอินเทอร์เน็ต โดยอ้างว่าเพราะโดน “แก๊งคอลเซ็นเตอร์-ทุนจีนเทา” หลอกนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่นิดเดียว

ด้วยสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับกองกำลังกะเหรี่ยง “ผกก.ต๊ะ” จึงสร้างเนื้อสร้างตัวได้แบบติดจรวดมาในช่วงเวลาไม่กี่ปี ก็ส่งฐานะเป็นเศรษฐีพันล้าน มีบ้านเป็นคฤหาสน์อยู่ที่แม่สอด เป็นอาณาจักรส่วนตัว มีพื้นที่หลายไร่ ภายในบ้านมีสนามชิป-พัตต์กอล์ฟส่วนตัว


บ้านพัก “ผกก.ต๊ะ” ที่แม่สอดเป็นบ้านขนาดใหญ่พื้นที่หลายไร่ หน้าบ้านทำเป็นสนามกอล์ฟเล็กๆ ขนาด 1 หลุม พาร์ 3 บ้านเป็นบ้าน 2 ชั้น แต่ถ้ารวมชั้นใต้ดินด้วยก็จะเป็น 3 ชั้น ซึ่งเวลานั้น “ผกก.ต๊ะ” บอกแขกว่า ใช้ใต้ดินเอาไว้ “เก็บไวน์”

มีคนเคยเล่าให้ฟังว่า เคยมีนายทุนจีนจากกวางเจามาเจรจาขอซื้อบ่อน Myawaddy Complex กับนายตำรวจเจ้าของบ่อนว่าขายเท่าไหร่ ? ... เขาตอบว่า 500 ล้าน...ไม่ใช่ 500 ล้านบาท แต่เป็น 500 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 15,000 ล้านบาท!

นอกจากนี้ยังเป็นที่รับรู้กันว่าธุรกิจอีกอย่างหนึ่งของ “ผกก.ต๊ะ” คือเป็นผู้คุมเส้นทางของเถื่อน ทั้งหลายที่ผ่านมาทางแม่สอด แม่ระมาด และพบพระ ตำรวจที่มีอำนาจใน สภ.ต่างๆ ที่สำคัญ ไม่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต. 43 ก็เป็นเด็กในคาถาของตัวเอง

แหล่งขุมทรัพย์ใน “เมียวดีคอมเพล็กซ์”


ช่วงที่ “เมียวดีคอมเพล็กซ์” เปิดใหม่ๆ ฝั่งเมียวดียังไม่เจริญ ไฟฟ้า-ประปา-การสื่อสาร-ระบบสาธารณูปโภค ยังไม่ได้เรื่อง ก็มีการลักไฟฟ้าฝั่งแม่สอด ร้อยสายไฟใส่ท่อ ซ่อนฝังผ่านแม่น้ำเมย ใช้อยู่นานแรมปี แต่ทุกวันนี้ พ.อ.หม่อง ชิตตู่ ลงทุนซื้อเครื่องปั่นไฟขนาดใหญ่จำนวนมาก ผลิตไฟฟ้าใช้เองบางส่วน

ย้อนไปเมื่อช่วงที่ “ผกก.ต๊ะ” เป็น “ผกก.สภ.แม่สอด” ธุรกิจกาสิโน เมียวดีคอมเพล็กซ์ เฉพาะโต๊ะบาคารา หรือเสือมังกร ที่ผีพนันเรียกกันว่า “สนามทราย” ง่ายๆ คือโต๊ะที่ลูกค้าทั่วไปสามารถเล่นได้ มีรายได้อยู่เดือนละ 60 ล้านบาท นี่เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว เฉพาะรายได้ของโต๊ะพนันสนามทราย ยังไม่รวม “โต๊ะวีไอพี”

รายได้ต่อมาคือ ห้องเช่าใน “เมียวดีคอมเพล็กซ์” กว่า 400-500 ห้อง ขนาดความกว้างห้องละ 20 ตารางเมตร ที่พวกแก๊งมาเฟียมาเช่าทำเว็บพนันออนไลน์ ค่าเช่าคิดเป็นตารางเมตร 2,700-3,000 บาท ค่าเช่าก็จะตกอยู่ห้องละ 50,000-60,000 บาท มีเช่ากันอยู่สัก 200 ห้อง ส่วนอีก 200-300 ห้อง ทุกวันนี้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จีนเทา มาเช่าทำธุรกิจ ทำร้ายคนไทยด้วยกัน รายได้ก็ตกเดือนละหลักสิบล้านบาท


ว่ากันว่า ทุกวันนี้ “ผู้การต๊ะ” ร่ำรวยหลายพันล้าน เหยียบหมื่นล้าน โดยเงินส่วนใหญ่ฝากไว้ต่างประเทศ แต่ว่าตำแหน่งที่ “ผู้การต๊ะ” ดำรงตำแหน่งอยู่ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องชี้แจงบัญชีทรัพย์สิน

เมื่อเรื่อง “เมียวดี กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนเทา” แดงขึ้นมา มีผู้สื่อข่าวของ PPTV ไปขุดเรื่องที่ผมเคยพูดถึง “รองต๊ะ” สมัยดำรงตำแหน่ง พ.ต.อ. ขึ้นมาเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว แล้วนำไปถาม พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ซึ่งวันนี้กลายเป็นผู้บังคับการกองตรวจสอบตำรวจ สำนักงานจเรตำรวจ (จต.) ไปแล้ว

ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 “ผู้การต๊ะ” พล.ต.ต.เอกราษฎร์ ก็ชี้แจงกับ PPTV ว่า “พี่ไม่ได้อยากเข้าไปเป็นประเด็น เพราะเรื่องที่ถูกโยงตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพี่อยู่แล้ว ธุรกิจก็เป็นธุรกิจที่ต่างประเทศ ชื่อพี่ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ด้วยซ้ำไป ถ้าพี่ทำอะไรผิดกฎหมาย มันต้องโดนตรวจสอบมาตั้งแต่หลายปีแล้ว”


เมื่อนักข่าวถามต่อว่าแล้วเรื่องของธุรกิจสรุปแล้วมีธุรกิจอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านจริงหรือไม่ ?...“ผู้การต๊ะ” ก็ตอบว่า “เคยมีแต่ขายไปแล้ว เป็นธุรกิจที่ขายไปแล้ว นานแล้ว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยว หรือสมมติถ้ามีจริงก็ไม่ได้ผิดกฎหมายไทย มีโรงแรม กาสิโน ดิวตี้ฟรี ก็เหมือนเราทำธุรกิจที่ลาสเวกัส สิงคโปร์ มาเก๊า มันเคลื่อนมาแค่ตะเข็บแต่มันก็นอกราชอาณาจักรไทย มันผิดอะไร พี่ไปทำธุรกิจที่มาเก๊าผิดไหมก็ไม่ผิด เอาตรงๆ คือว่า มันผิดกฎหมายไหม มีใบอนุญาต เป็นนักธุรกิจคนหนึ่งที่ไปลงทุนในนั้น”

เมื่อถามว่า กรณีของดาราจีนหวัง ซิงซิง ผู้การต๊ะเป็นคนที่ช่วยเจรจาให้หรือไม่ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ตอบว่า “พี่ไม่ได้เจรจาอะไรเลย มันเป็นเรื่องของทหาร ตำแหน่งพี่มันไม่ได้เอื้อที่จะเจรจา พี่อยู่จเรตำรวจ 5 เพิ่งจะย้ายมาจเรตำรวจ 6 ไม่กี่วัน เป็นจเรเราไม่ได้อยู่พื้นที่ ไม่มีเพาเวอร์อะไรจะไปเจรจากับเขาหรอก พี่เชื่อมั่นว่าพี่ทำอะไรอยู่ ถ้าพี่ไม่ได้ทำผิด พี่ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่เอาผิดหรือฟ้องใคร เราเป็นคนสาธารณะ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ นานนิดหนึ่งแต่พี่เคยพิสูจน์มาแล้ว”


อย่างไรก็ตาม นายสนธิตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้การต๊ะ” จู่ๆ ก็เปลี่ยนมาคุมจเรตำรวจภาค 6 เมื่อไม่กี่วันหลังเกิดเหตุซิงซิงถูกลักพาตัวและถูกช่วยออกมาได้ และการทลายรังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมียวดี เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?

ทั้งนี้ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 ก็อยู่ในภาค 5 คือ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน คือ เชียงใหม่, เชียงราย, ลำปาง, ลำพูน, แพร่, น่าน, พะเยา และแม่ฮ่องสอน ส่วน ภาค 6 นั้นก็คือถิ่นคุ้นเคยของ “ผกก.ต๊ะ” การมาเป็นผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 นั้นคือการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่?

“หมวดมานพ” ขาใหญ่แม่สอด จากนายดาบกลายเป็นเสี่ย


ตำรวจอีกนายที่ถูกเชื่อมโยงว่าทำมาหากินกับมิจฉาชีพตามแนวชายแดน ก็คือ ร.ต.ท.มานพ ศิวาดำรงค์ สายงานปฏิบัติการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธรแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ระวีพรรษ อมรมุนีพงศ์ รอง ผบช.ภ.6 รักษาราชการแทน ผบก.ภ.จว.ตาก ได้ลงนามในคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดตาก โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม ด้วยเหตุที่มีกรณีต้องสงสัยว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และมีฐานะความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยผิดปกติ อาจได้ทรัพย์สินมาโดยผิดกฎหมาย ซึ่งตำรวจภูธรจังหวัดตากได้สั่งให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงไปด้วยแล้ว


สำหรับ ร.ต.ท.มานพ ศิวาดำรงค์ หรือ “หมวดนพ” นอกจากจะมีตำแหน่งเป็นรองสารวัตร (ป้องกันปราบปรามอาชญากรรม) สภ.แม่สอดแล้ว ยังมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ภาค 6 และชุดปฏิบัติการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดและแรงงานข้ามชาติด้วย

ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “หมวดนพ” หรือ “หมวดกบ” อายุราวๆ 55 ปี เข้าใกล้บั้นปลายของอาชีพตำรวจแล้ว มีภรรยาชื่อ “อร” เป็นผู้บริหารโรงเรียนบ้านห้วยไม้แป้น อ.แม่สอด จ.ตาก

“หมวดนพ” พื้นเพไม่ใช่คนอำเภอแม่สอด แต่กลับมาสร้างชื่อเสียงโด่งดังในอำเภอแม่สอดมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของ “แรงงานต่างด้าวชาวพม่า” ทั้งที่ผิดกฎหมาย และถูกกฎหมาย


ว่ากันเดิมที “หมวดนพ” เป็นตำรวจชั้นประทวนในโรงพักภูธรธรรมดาๆ นายหนึ่ง มีอาชีพเสริมคืออู่ซ่อมรถ ชื่อ “อู่มานพ” อยู่ในซอยบ้านหลังแรก เป็นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ อยู่ที่ ต.แม่ปะ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประตูหน้าบ้านมีสัญลักษณ์เป็นตราโล่ตำรวจอันใหญ่มากติดอยู่

ว่ากันตามตรง “บ้านหมวดนพ” หลังใหญ่กว่าบ้านพักข้าราชการระดับผู้กำกับการโรงพักแม่สอดเสียอีก

อาชีพเสริม (แต่น่าจะเป็นรายได้หลัก) อีกอย่างของ “หมวดนพ” ที่ร่ำลือกันในหมู่ตำรวจในพื้นที่มาทุกยุคทุกสมัยก็คือ การได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้เป็น “มือเก็บ เด็ดค่าหัวแรงงานต่างด้าว” เก็บกันจนฐานะดีขึ้นผิดหูผิดตาเลยทีเดียว โดยผู้บังคับบัญชาคนไหนย้ายมาที่แม่สอดก็ต้องใช้ “หมวดนพ” เป็น “มือเก็บ-หัวเบี้ย” เพราะนายทุกคนต้องเกรงใจเกรงบารมี “หมวดนพ”


สาเหตุหนึ่งก็เพราะ “หมวดนพ” มีนามสกุลเดียวกับ “พล.อ.สำเริง ศิวาดำรงค์” อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ในช่วงปี 2550-2551 พอเกษียณอายุราชการ พล.อ.สำเริง ก็ได้ปูนบำเหน็จไปเป็น “ส.ว.” ในยุครัฐบาลลุงตู่

ช่วงที่ พล.อ.สำเริง ศิวาดำรงค์ ดำรงตำแหน่งสภาชิกวุฒิสภา พร้อมกับ “มรสุมโรคระบาด โควิด-19” ที่ทุกคนต้องตกระกำลำบากแสนสาหัส หลายคนตกงาน แต่ “หมวดนพ” กลับอู้ฟู่กว่าใคร เพราะช่วงนั้นมีการรัฐประหารในพม่า จนเกิดการหลั่งไหลเข้ามาของต่างด้าวพม่า-แรงงานผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยมีเสียงร่ำลือกันว่า “ค่าหัวค่าผ่านทาง” ของแม่สอด ก่อนที่จะข้ามไปทำงานในจังหวัดต่างๆ นั้นตกหัวละ 2,000-2,500 บาท โดยมีแรงงานพม่าหลั่งไหลข้ามแดนเข้ามามากถึงวันละ 400-500 คนเลยทีเดียว

หรืออาจกล่าวได้ว่าในช่วงนั้น “หมวดนพ” ฝีมือฉกาจฉรรจ์ถึงขั้นที่เปลี่ยนวิกฤตโรคระบาดโควิด ที่ผู้คนเดือดร้อนกันทั่วโลก ให้กลายเป็นโอกาสทองของตัวเอง ได้อย่างงดงามจนกระทั่งเจ้าตัวสามารถสร้าง “บ้านหลังที่ 2” ได้สำเร็จ


แต่จริงๆ อย่าเรียกว่า “บ้าน” เลย เรียก "คฤหาสน์" น่าจะเหมาะสมกว่า

ทั้งนี้ บ้านหลังที่ 2 ของ “หมวดนพ” นั้นมีขนาดใหญ่โตกว่าหลังแรกมาก มีเนื้อที่ประมาณเกือบ 10 ไร่ ตัวบ้านตั้งอยู่บนยอดภูเล็กๆ บ้านหลังนี้อยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ที่ดินกับตัวบ้านน่าจะมูลค่าเกินกว่าหลักสิบล้านบาทไปไกล


ส่วนในซอยบ้าน “หมวดนพ” อาจจะเรียกเป็น “อาณาจักรของครอบครัวศิวาดำรงค์” ก็ว่าได้ เพราะแทบจะครองซอยทั้งซอย กล่าวคือ
1. บ้านหลังแรกต้นซอย
2. ถัดมากลางซอยเป็น “อรพิน รีสอร์ท” ธุรกิจอีกอย่างของครอบครัว
3. ถัดมาอีกหน่อย “อู่ซ่อมรถมานพ”
4. สุดซอยเป็น “คฤหาสน์น้อยๆ” ของ “หมวดนพ” ที่บอกได้เลยว่าตำรวจระดับ “ผู้กำกับการโรงพัก” หรือ “ผู้การจังหวัด” ทั่วๆ ไปก็คงยังไม่มีปัญญาครอบครองทรัพย์สินขนาดนี้ ด้วยเงินเดือนข้าราชการ


แต่ “หมวดนพ” ตำรวจชั้นประทวนในวัยใกล้เกษียณ ได้ “นายร้อยเลื่อนไหล”  เมื่อปี 2565 จนมาเป็น “หมวดนพ” วันนี้ ร่ำรวยมาจากไหน ถึงมีคฤหาสน์ใหญ่โต มีรถหรูราคาแพงขับมาทำงานที่ สภ.แม่สอด?

งานฉลองคฤหาสน์หลังใหม่บนยอดภูเล็กๆ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2567 ของ “หมวดนพ” ยังมี พล.อ.สำเริง ศิวาดำรงค์ มาเป็นประธาน




นอกจากนี้ยังมีเสียงร่ำลือกันในแวดวงชาวบ้านว่าในงานวันเกิด และงานขึ้นบ้านใหม่ “หมวดนพ” จัดงานเสียงใหญ่โต มีการจัดเวทีคอนเสิร์ต จ้างวงดนตรีมาเล่น พร้อมแขกเพียบ ยิ่งกว่างานวันเกิด “ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก” ถึงขนาดที่สื่อท้องถิ่นยังต้องมาทำข่าว และลงข่าวด้วย 


โดยบรรดาผู้พิพากษา, ตำรวจ, ส.จ., อบต., อบจ.ต่างเดินทางมาแสดงความยินดีกับ “หมวดนพ” กันพร้อมหน้า รวมไปถึงนักร้องชื่อดังอย่าง “เสก โลโซ” เสกสรรค์ ศุขพิมาย


นอกจากบ้านใหญ่เป็นคฤหาสน์แล้ว “หมวดนพ” ยังมีรถราม้าใช้เยอะแยะมากมาย ได้แก่รถตู้ ฮุนได สตาร์เรีย สีดำ รถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีขาว รถเบนซ์ E200K สีเทา รถยนต์ BMW 520 i สีขาว รถกระบะบรรทุก WILLYS JEEP สีเขียว รถกระบะบรรทุก ซูซูกิ สีขาว และรถกระบะ โตโยต้า 2 ตอน สีขาว

เฉพาะรถตู้ รถเก๋ง รถกระบะอย่างน้อยๆ ก็มี 7 คัน ยังไม่นับรถจักรยานยนต์อีก 7 คัน

นับว่าอดีตตำรวจชั้นประทวน ผู้หมวดที่ดูธรรมดาๆ อย่าง “หมวดนพ” ร.ต.ท.มานพ ศิวาดำรงค์ จริงๆ แล้วไม่ธรรมดาเลย!?!

เด้ง ผกก.ตม.ตาก เซ่นพัวพันต่างด้าวเข้าเเม่สอด


เมื่อวันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมายังมีตำรวจอีกนายที่ถูกสั่งย้าย ก็คือ พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตากซึ่ง พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม และให้ พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รองผู้บังคับการตรวจคนเข้าเมือง 3 รักษาราชการแทน ผกก.ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก

อันสืบเนื่องจากกรณีอื้อฉาวเรื่องนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมา และการลักลอบข้ามชายแดนทางช่องทางธรรมชาติในพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด และอำเภอพบพระ จังหวัดตาก โดยกรณีเหล่านี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ เหตุเกิดอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดตาก ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ พ.ต.อ. บวรภพ สุนทรเรขา ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก

ทั้งนี้ เพื่อทำการสอบสวนให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่

พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา เป็นสายตรงเลยของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เดิมทีเป็นผู้กำกับการ สน.พญาไท ก่อนที่ในการโยกย้ายรอบเดือนมกราคม 2566 จะถูกโยกไปเป็นผู้กำกับการ ตม.จังหวัดตาก จนกระทั่งล่าสุดถูกคำสั่งย้ายกะทันหัน

“ท่านผู้ชมครับ นี่คือการย้ายขาด เป็นอะไรบางอย่างที่ข่าวไม่ค่อยออก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นมาแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ทำงานรวดเร็วมาก แล้วตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

“หลายท่านผู้ชมก็บ่นว่าทำไมต้องย้าย มัวแต่ไปตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามเงื่อนไขของกติกาของ พ.ร.บ.ตำรวจ ย้ายคนมาได้ แต่จะลงโทษนั้นต้องมีคณะกรรมการสอบสวนก่อน เพราะว่าสอบสวนถ้ามีมูลความผิด ก็จะได้ลงโทษไปตามมูลความผิดนั้นๆ ไม่สามารถที่จะบอกว่าคนนี้อยู่ในพื้นที่ต้องรับผิดชอบ ผิดแน่นอน เราต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาผิด หรือสิ่งแวดล้อมที่อนุมานได้ว่าเขาทำผิดจริงๆ

“เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมต้องใจเย็นนิดหนึ่ง ลำพังแค่ย้ายผู้การจังหวัดตาก ย้ายผู้กำกับการ 3 โรงพัก ย้ายผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอกในวงการตำรวจไทย ก็ต้องให้เครดิตกับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ด้วย ที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว นี่ต้องถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดมาก” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น