“สนธิ” เตือน ผบ.ตร. หากปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่สุดซอยตามที่จีนร้องขอ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” อาจต้องหาแพะเพื่อเอาใจผู้นำจีน แนะสร้างเกราะกำบังตัวเอง จัดการตำรวจชั่วโดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ย้ายตำรวจ 3 นายยังไม่พอ คนในกองบัญชาการภาค 6 ผู้การจังหวัด ผู้กำกับการ รองผู้กำกับการโรงพัก ใครบกพร่องต้องรับผิดชอบทุกนาย
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงประเด็นร้อนเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดกันอย่างหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจีนส่งคณะเจ้าหน้าที่ชุดใหญ่นำโดย นายหลิว จงอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน ทั้งลงพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา และเข้าพบเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้อง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือกันถึงการยกระดับปราบปรามแก๊งที่สร้างความเดือดร้อนให้ทั้งคนจีนจำนวนมากที่ถูกหลอกมาทำงานและเป็นเหยื่อ รวมทั้งคนไทย พร้อมขอให้ประเทศไทยดำเนินการแบบสุดซอยไปเลย
นายหลิว จงอี้ เข้าพบทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตลอดจนตำรวจปราบปรามยาเสพติด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายหลิว จงอี้ได้เข้าพบปะและพูดคุยเปิดอกแบบตัวต่อตัวกับ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.ด้วย โดยมีการหารือข้อราชการเกี่ยวกับการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และคดีอื่นๆ รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ประสานงาน และปฏิบัติการร่วมไทย-จีนด้วย
ว่ากันว่ารัฐบาลปักกิ่งจัดชุดใหญ่ นำโดย หลิว จงอี้ มาครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ มีข้อมูลลึกใครเป็นใคร ที่เชื่อมโยงได้รับประโยชน์จากเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเข้าพบ ผบ.ตร.จึงมีนัยที่ถูกจับตาว่าจะนำไปสู่ปฏิบัติการร่วมแบบถอนรากถอนโคนตามมาหรือไม่?
อีกอย่าง งานนี้เป็นการจับเข่าพูดคุยเปิดอก ย่อมต้องถือเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน
“บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จึงเป็นความหวังที่จะกู้หน้าภาพลักษณ์ประเทศไทย หลังจากเสียรังวัดจากนักการเมืองประเภทชอบ “เต้นชะชะช่า” อย่าง “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม หรือ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย แค่เรื่องตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ที่จะทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ่อนแอลงยังมะงุมมะหงาหรา โยนกลองกันไปกันมา จนประชาชนเอือมระอา
คนที่รู้จัก “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ดีก็จะรู้ว่าเป็นคนประเภทคนจริง ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ยึดความถูกต้อง และทำมากกว่าพูด
ว่ากันว่าที่ผ่านมา “บิ๊กต่าย” ก็สั่งการให้จัด 7 มาตรการเชิงรุก ทั้งเอกซเรย์พื้นที่ สกัดกั้นอาชญากรรมตามแนวชายแดน ตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขู่ฟันสีกากีปล่อยเกียร์ว่าง หรือมีเอี่ยว!
เรียกว่า “ยกระดับ” ความเข้มข้นของการปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวถูกหลอกลวง เพียงแต่ไม่ได้ออกมาเป็นข่าวมากนัก เท่าที่ทราบ ฉายตัวอย่างออกมา ผลการปฏิบัติระหว่างวันที่ 20-31 มกราคมที่ผ่านมานี้ สรุปได้ว่า
1. ตรวจสอบคนต่างด้าว 7,076 ราย
2. จับกุมคนต่างด้าวผิดกฎหมายได้ 527 ราย
3. ปฏิเสธการเข้าเมือง 92 ราย
4. เพิกถอนการอนุญาต 11 ราย
5. จับกุมยานพาหนะ (เสี่ยง) 72 คัน
6. ตั้งจุดตรวจ 2,218 จุด
7. ตรวจสอบยานพาหนะ 286,886 คัน (ในเส้นทาง 268,429 คัน และพาหนะข้ามแดน 18,457 คัน)
8. ตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล 20,665 ข้อมูล
9. ตรวจสอบสถานที่พัก สถานีขนส่ง จุดพัก ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่างๆ 2,204 แห่ง จำนวน 3,379 ครั้ง
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่าผู้กระทำความผิด มีการเปลี่ยนเส้นทางและพยายามจะขนย้ายอุปกรณ์ เปลี่ยนสถานที่ในการกระทำความผิด จะได้วิเคราะห์ข้อมูลและปรับแผนการปฏิบัติ ตรวจสอบและจับกุมดำเนินการตามกฎหมายโดยเด็ดขาดทุกราย หากพบเจ้าหน้าที่ปล่อยปละละเลย หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพัน ประพฤติมิชอบ จะดำเนินการโดยทันที
นี่เป็นเพียงเวลาสั้นๆ หนึ่งสัปดาห์ที่สั่งการ 7 มาตรการเข้มออกไป ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรก็คงต้องรอดู
“ผมเชื่อว่าท่าน ผบ.ตร.จะทำได้ แต่อย่าลืม ผมเคยเตือนท่าน ผบ.ตร.ไว้ในรายการ "สนธิเล่าเรื่อง" เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า อย่าไว้ใจสันดานนักการเมืองที่ทำชั่ว ต้องการหาแพะรับบาป ซึ่งท่าน ผบ.ตร.มีโอกาสเป็นแพะอย่างสูง
“ผมตั้งข้อสมมติฐาน สมมติว่าแพทองธาร ชินวัตร ไปพบประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และท่านสี จิ้นผิง อาจจะพูดว่าขอให้ประเทศไทยให้ความร่วมมือในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันกับผมเลย อุ๊งอิ๊งต้องการเอาใจสี จิ้นผิง ก็บอกว่าจะให้ความร่วมมือเต็มที่ทุกอย่าง ส่วนร่วมมืออย่างไร ยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ท่าน ผบ.ตร.ท่านเองต้องสร้างเกราะกำบังป้องกันตัวท่านเอง เพราะท่านจะเชื่อใจนักการเมืองไม่ได้ แต่ท่านสร้างเกราะกำบังด้วยการสร้างผลงานของท่าน โดยไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม คำว่า "หน้าอินทร์หน้าพรหม" นั้น กว่าครึ่งหนึ่งก็คือตำรวจชั่วที่ท่านต้องจัดการอย่างเด็ดขาด
“จริงๆ แล้วการโยกย้ายผู้กำกับฯ 3 นาย ใน 3 อำเภอนั้น ผมเห็นด้วย แต่ท่านยังเด็ดขาดน้อยไป ท่านต้องทำให้กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้รู้ว่าทุกนายต้องรับผิดชอบหมด โรงพักโรงพักหนึ่งท่านต้องมีรองผู้กำกับการสืบสวน รองผู้กำกับการปราบปราม 2 ตำแหน่งนี้ต้องโดนด้วย เพราะเมื่อทำงานแล้ว ทำงานกับผู้กำกับการ ถ้าผู้กำกับฯ บกพร่อง 2 นายนี้ต้องบกพร่องด้วย เพราะทำตามคำสั่ง จะอย่างไรก็ตาม รองผู้กำกับการสืบสวน รองผู้กำกับการปราบปราม ทั้ง 3 อำเภอ 6 นาย ต้องโดนย้ายเช่นกัน จะผิดหรือไม่ผิด ไม่สำคัญ เพราะว่าบกพร่องต่อหน้าที่
“นอกจากนั้นแล้ว ผู้การจังหวัดตาก ตากก็คือพื้นที่ของแม่สอด แม่ระมาด และพบพระ ผู้การจังหวัดตาก ท่านจะนั่งกระดิกเท้ามีความสุขหรืออย่างไร ต้องย้ายท่านด้วย เพราะท่านคุมพวกนี้โดยตรง และในจังหวัด ในกองบัญชาการภูธรภาค ก็จะมีผู้การสืบ ผู้การสืบภูธรภาค มีอำนาจสืบสวนสอบสวนทุกหน่วยงานในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ผู้การสืบของภาคก็ต้องโดนด้วย ที่สำคัญ รองผู้บัญชาการภาค ซึ่งเป็นคนที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องการสืบสวน ปราบปราม ต้องโดนด้วย
“ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เป็นคนของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นลูกชายของอดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ จะเห็นแก่หน้าพ่อ ไม่เป็นไร แต่ต้องมีหนังสือออกไปตำหนิติเตียนให้ชัดเจนว่านี่คือการคาดโทษ นี่ไงครับท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านต้องสร้างเกราะกำบังให้ตัวท่านอย่างนี้ ให้ตำรวจดีๆ เขาเห็นว่าท่านเอาจริง แล้วให้ตำรวจสีเทามันกลัว แล้วท่านต้องพูดกับผู้บัญชาการ ตม. ว่าตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นระดับรองผู้บัญชาการ ที่มีประวัติเอี่ยวกับจีนเทา จัดการให้เสร็จเรียบร้อย
“ท่านคงไม่ทราบว่าตำรวจนายหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เป็นผู้การขึ้นมาแล้ว ผมไม่บอกแล้วกันว่าอยู่ที่ไหน ตำรวจบ้านี่มีเงินเป็นหมื่นล้าน มีบ่อนของตัวเองอยู่ในเมียวดี แล้วก็ยังคอยสนับสนุน ส่งเสริม ตำรวจนายนี้ล่ะเป็นคนที่วางสายเคเบิล เดินไฟ อินเทอร์เน็ต ลอดแม่น้ำเมยเข้าไปยังเมียวดี ปากตำรวจนายนี้บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องแล้ว มันเกี่ยวข้องอยู่เต็มตัว
“ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ ผมเตือนท่านแล้วนะ ไอ้ตำรวจเลวๆ อย่างนี้ ชีวิตทั้งชีวิตไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก อยู่ที่แม่สอดมาตลอด ร่ำรวยฉิบหายเลย มีบ้านอย่างกับวัง มีสนามกอล์ฟอยู่ในบ้านอีก ตำรวจอะไรกันท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ร่ำรวยขนาดนี้ ไปเช็กประวัติได้เลย สมัยก่อนมันเป็นใคร มาจากไหน นี่ไง ถ้าท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะทำ ต้องทำแบบสุดซอย ท่านอย่าไปทำแบบเกรงใจ อย่าลืมนะครับคำโบราณเขาบอกว่า "เอ็นดูเขาแล้วเอ็นเราจะขาด" อย่านะ ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่าทำตัวในที่สุดแล้วเขาเห็นว่า ตอนนี้กิตติ์รัฐ มันเป็นแพะได้แล้ว เพื่ออะไร?
“ท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ ผมจะเตือนอย่างหนึ่ง หลิว จงอี้ เขามีสายของเขาอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะเอาข้อมูลอย่างนี้มาให้เราได้อย่างไร แล้วในสถานทูตจีนในประเทศไทย อย่าลืมว่าก็มีคนติดตามเรื่องนี้มา แหล่งข่าวพวกนี้เขาจะส่งต่อกลับประเทศจีน ว่าตำรวจไทยหน่อมแน้ม ไม่ทำจริง ทำเหมือนกัน แต่ไม่สุดซอยเหมือนอย่างที่จีนขอร้องมา แล้วถ้าเกิดจงอี้ เผอิญไปเจอรัฐมนตรีต่างประเทศ หรือไปเจอใครก็ตามที่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง เขาบอกว่า ผมมีข้อมูลมาแล้วว่าตำรวจไทยทำไม่สุดซอย อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ซึ่งกำลังต้องการเอาใจสี จิ้นผิง ก็ต้องหาแพะแล้วใช่ไหม ใครเล่าจะเป็นแพะได้ดีเท่ากับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านต่ายครับ สนธิ ลิ้มทองกุล ได้เตือนท่านแล้วนะ อย่าลืมนะครับ ผมได้เตือนท่านแล้ว วิธีเดียวที่ท่านจะปกป้องตัวท่านเองได้ คือการทำงานจริง ทำงานสุดซอย ไม่เห็นแก่หน้าพี่หรือน้องในวงการตำรวจด้วยกัน” นายสนธิกล่าว