รัฐบาลไทยได้ฤกษ์ตัดไฟ-ตัดเน็ต-ตัดการส่งน้ำมันป้อนแก๊งคอลเซนเตอร์เสียที เมื่อ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังจากถูกทางการจีนกดดันด้วยการส่งผู้ช่วย รมต.ความมั่นคงมาดูปัญหาถึงที่ แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะทางจีนต้องการให้ปราบแบบถอนรากถอนโคน พร้อมป้อนข้อมูลจีนเทา 36 กลุ่มให้ทางการไทยจัดการ โดยเจาะลึกไปถึงตำรวจไทย ฝ่ายปกครอง นักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรของไทยด้วย
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน/ผู้บัญชาการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรม เดินทางมาไทยเพื่อกดดันให้แก้ปัญหาแก๊งจีนเทาตามแนวพรมแดนไทย-เมียนมา ซึ่งทำให้รัฐบาลไทยต้องตัดสินใจสั่งตัดไฟฟ้า อินเทอร์เนต และน้ำมันเชื้อเพลิง ที่จัดส่งจากฝั่งไทยไปยัง 5 เมืองฝั่งเมียนมาเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา 5 จุดด้วยกันคือ1.บ้านเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ 2.บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน 3.สะพานมิตรภาพไทยเมียนมา – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน 4.สะพานมิตรภาพไทยเมียนมาแห่งที่ 2 – อำเภอเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง และ 5.บ้านห้วยม่วง – อำเภอเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง
แม้จะมีชาวเมียนมาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยจากมาตรการของรัฐบาลไทย แต่รัฐบาลเมียนมาต้องรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนของคนเมียนมาเอาเอง เพราะรัฐบาลไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา คนไทยต้องเสียหายจากเล่ห์กลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปแล้วกว่า 86,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีการล่อลวง ค้ามนุษย์ ของพวกจีนเทาในเมียนมา ก็ถือเป็นปัญหาระดับนานาชาติ มีคนสัญชาติต่างๆ โดนกวาดต้อนไปทำงานจำนวนมาก
งานนี้ ต้องพูดว่า “เรียบร้อยโรงเรียนจีน” ที่สามารถกดดัน “รัฐบาลไทย” ให้ตื่นจากหลับ รับรู้ถึงความไม่ถูกต้อง และควรเทกแอกชันอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว
ทั้งนี้ บรรดาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ - แก๊งสแกมเมอร์ - แก๊งจีนเทา ที่อาศัยอยู่รอบ ๆ ประเทศไทย มีทั้งฝั่งพม่าที่เมืองเมียวดี(ตรงข้าม อ.แม่สอด อ.พบพระ อ.แม่ระมาด) ,เมืองลา, เมืองพญาตองซู ฝั่งลาวที่สามเหลี่ยมทองคำ และกัมพูชาที่เมืองสีหนุวิลล์, เกาะกง, พนมเปญ, บันทายมีชัย, อุดรมีชัย
ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับมาเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งต่อเนื่องจากกรณีการลักพาตัว ซิงซิง หรือ นายหวัง ซิง ดาราจีน ซึ่งเมื่อต้นปีได้บินจากเซี่ยงไฮ้มาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วถูกแก๊งจีนเทาพาเข้าไปบริเวณชายแดนไทย-พม่า แล้วหายตัวไป
จากนั้นเมื่อเรื่องกลายเป็นข่าวดัง กลายเป็นประเด็นระดับชาติ แต่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ไทยกลับใช้เวลาในการประสานงานกับฝั่งเมียวดีเพียง 2 วันก็สามารถนำตัว ซิงซิง กลับมาได้อย่างรวดเร็ว
กรณีดังกล่าวสร้างแรงสั่นสะเทือน และความหวั่นเกรงให้กับชาวจีนจำนวนมากจนกลายเป็นกระแสทำให้ชาวจีนยกเลิกการเดินทางมาประเทศไทยในช่วงเทศกาลตรุษจีนจำนวนมาก คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวราว 3-4 แสนคน หรือ คิดเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจไทยไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านบาท
สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ “ประเทศจีน” มีท่าทีแข็งกร้าวกับไทยถึงขนาดนี้ คงจะสุดทนจริงๆ กับการปล่อยปละละเลยปัญหาเมืองสแกมเมอร์ ตามแนวชายแดนไทย ซึ่งเป็นปัญหาคุกคามผู้คนทั่วภูมิภาค
เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาคนใกล้ชิด มือขวา ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และมือหนึ่งด้านการต่างประเทศของจีน คือนายหวัง อี้ ได้ออกหน้ามาจัดการเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการพบปะกับทูตอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อหารือปราบขบวนการหลอกลวง เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 พร้อมย้ำว่าย้ำ “ประเทศที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ” และต้องจัดการถอนรากถอนโคน
นายหวัง อี้ บอกด้วยว่า คดีหลอกลวงและการพนันออนไลน์ที่ชายแดนไทย-พม่าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและร้ายแรงมาก คุกคามและทำร้ายชาวจีนและพลเมืองของประเทศต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด
ทางการจีนหวังว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องจะมีความรับผิดชอบ ใช้มาตรการที่เด็ดขาด เพื่อปราบปราม โดยฝ่ายจีนยินดีร่วมมือกับประเทศอาเซียนเพื่อดำเนินการทางกฎหมายและสร้างความปลอดภัย ให้ประชาชนของทุกประเทศไปมาหาสู่กันได้อย่างสบายใจ และรักษาความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ
หลังจากหวัง อี้ พบบรรดาทูตอาเซียนผ่านไปเพียงสิบวัน ทางรัฐบาลปักกิ่งก็ส่ง “บิ๊กด้านความมั่นคง” ลงพื้นที่มาถึงประเทศไทยด้วยตัวเอง นั่นคือนายหลิว จงอี้ (刘忠义) ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะ และผู้บัญชาการหน่วยสอบสวนทางอาญา
ช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 นายหลิว จงอี้ และคณะ ได้เข้าพบกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของไทย และคณะซึ่งเรียกได้ว่าเกือบครบถ้วนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเกี่ยวพันกับปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ อันประกอบไปด้วย นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พลตำรวจโท ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง นายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ รองเลขาธิการ ป.ป.ส. นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการ ปปง.และ ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
จากนั้นใน วันพุธที่ 29 มกราคม 2568 นายหลิว จงอี้ และคณะ ก็เดินทางลงพื้นที่ อ.แม่สอด จังหวัดตาก(ข้อสังเกต : วันที่ 29 เป็นวันตรุษจีนพอดี ซึ่งปกติแล้วคนจีนถือเป็นเทศกาลสำคัญ และถือเป็นวันหยุดยาวของทางฝั่งจีน แต่นี่มาลงพื้นที่แม่สอดในวันตรุษจีนพอดีเลย แสดงว่าให้ความสำคัญกับปัญหานี้มาก) โดยมาด้วยอารมณ์ตึงเครียดจริงจัง โดยประกอบเป็นคณะวีไอพีของรัฐบาลจีนรวม 3 คน และเจ้าหน้าที่ติดตาม รวมแล้ว 15 คน ทั้งหมดมาตรวจชายแดนไทย โดยมองข้ามฝั่งไปยังเมืองสแกมเมอร์อันใหญ่โตมโหฬาร ไม่ว่าจะ เคเคพาร์ค หรือ ชเวก๊กโก ที่ฝั่งเมียวดี
เป็นการประกาศให้บรรดาอาชญากรที่อยู่ฝั่งนั้น ได้รู้เลยว่า รัฐบาลปักกิ่งมาแล้ว ต้องการจะเปิดศึกกับแก๊งจีนเทา กะเหรี่ยงเทา รวมไปถึงไทยเทา ที่ร่วมกันแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์และอาชญากรรมไซเบอร์ โดยตำรวจที่โดนเชือดรับการมาเยือนของนายหลิว จงอี้ ก็คือ 3 ผู้กำกับที่ดูแลโรงพักชายแดนไทย-เมียนมา ถูกคำสั่งเด้งด่วนจากพื้นที่พร้อมกันใน วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2568 (ในวันที่คณะของ นายหลิว จงอี้มาพอดี) ประกอบด้วย พ.ต.อ.พิทยากร เพชรรัตน์ ผกก.แม่สอด จ.ตาก พ.ต.อ.ฐมณ์พงศ์ เพ็ชร์พิรุณ ผกก.สภ.แม่ระมาด จ.ตาก และ พ.ต.อ.ฉัตรชัย คำยิ่ง ผกก.สภ.พบพระ จ.ตาก
โดยคำสั่งของ พล.ต.ท.กิตติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผบช.ภ.6 ระบุถึงเหตุผลในคำสั่งเด้ง มาจากปัญหาการค้ามนุษย์บริเวณพรมแดนไทย-พม่า ในความรับผิดชอบของผู้กำกับทั้ง 3 นาย
ที่สร้างความฮือฮาอย่างมาก เห็นจะเป็นคำพูดที่แชร์กันไปทั่วโลกโซเชียล โดยอ้างว่าเป็นคำพูดของนายหลิว จงอี้ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ (ซึ่งฝั่งตำรวจและเจ้าหน้าที่ไทยก็ต้องออกมาตอบโต้ว่าเป็น “ข่าวปลอม” อยู่แล้ว)แต่เรียกได้ว่า “ตบหน้า” รัฐบาล และเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทยจนหน้าหัน โดยเขากล่าวเป็นภาษาจีน แปลออกมาได้ว่า “ทำไมท่านไม่ดูแลบ้านเมืองของท่านบ้างเลย?”
แต่ไม่ว่าคำพูดประโยคดังกล่าวจะจริงหรือไม่ แต่จากข้อมูลที่รัฐบาลปักกิ่งมีอยู่ในมือ ทำให้ นายหลิว จงอี้ ปักใจเชื่อว่าการเติบโตของเมืองสแกมเมอร์ที่ฝั่งเมียวดี ล้วนได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ไทย ที่กระทำการทุจริต
เพาเวอร์ของเจ้าหน้าที่ไทยต่อแก๊งจีนเทา เห็นจะเป็นการประสานให้ส่งตัว ซิงซิง หรือ นายหวัง ซิง นักแสดงจีน กลับจากเมียวดีมายังไทยได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาแค่ 2 วัน นับจากถูกล่อลวงไป มันสะท้อนให้เขาเห็นว่า ที่แท้เจ้าหน้าที่ไทย คุยกับแก๊งสแกมเมอร์จีนเทารู้เรื่อง ต่อสายถึงกันได้อย่างฉับไว
ไหนยังเป็นการขายกระแสไฟฟ้า-น้ำประปา, สัญญาณโทรศัพท์-อินเทอร์เน็ตรวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้-อาหารการกินซึ่งใช้หล่อเลี้ยงเมืองสแกมเมอร์พวกนี้ ก็ไปจากฝั่งไทย ซึ่งผลร้ายก็เวียนมาตกกับคนไทย ที่ต้องเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างไม่หยุดหย่อน
ทั้งนี้ การมาเยือนชายแดนไทย-เมียนมา ของนายหลิว จงอี้ ไม่ได้มามือเปล่า แต่ยังหอบแฟ้มข่าวกรองเจาะลึกแก๊งจีนเทา และไทยเทา ที่เป็นแนวร่วมกัน เอามามอบให้ทางการไทย
แฟ้มดังกล่าว เต็มไปด้วยข้อมูลอันชวนตื่นตะลึง เพราะรัฐบาลจีนสืบรู้หมด มีรายละเอียดของจีนเทาในเมียวดี ระดับหัวหน้าถึง 36 กลุ่ม รู้ทั้งชื่อ ที่อยู่ในเมียวดี และที่อยู่ในจีน แม้แต่บางคนที่มีที่อยู่ในไทย รัฐบาลจีนก็รู้หมด มาพร้อมรูปถ่าย ประวัติ และอัตลักษณ์พร้อมสรรพ แบบชงป้อนให้ถึงปากเจ้าหน้าที่ไทยกันเลยทีเดียว ไม่ต้องไปเหน็ดเหนื่อยสืบสวนเลย
แต่ไม่ใช่แค่แก๊งจีนเทา ที่คณะนายหลิว จงอี้ ชี้เป้าให้ไทย แต่ยังมีข้อมูลเจาะลึกไปถึงตำรวจไทย ฝ่ายปกครอง นักการเมืองท้องถิ่น ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ศุลกากร ซึ่งล้วนแต่เป็นตัวใหญ่ๆ ในพื้นที่ทั้งนั้น ที่ไปมีเอี่ยวกับพวกจีนเทา
ต้องบอกว่า งานข่าวกรองของจีนชิ้นนี้ สมกับเป็นมหาอำนาจของโลกจริง ๆ รู้ลึกรู้จริง มีหลักฐานประกอบการชี้เป้า ไม่ใช่พูดลอย ๆ แต่ที่น่าประหลาดใจ ฝ่ายไทยเอง เจ้าของพื้นที่แท้ ๆ กลับไม่รู้ข้อมูลอะไรพวกนี้เลย
กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ คือหน่วยงานอะไร? “หลิว จงอี้” เป็นใคร?
คนไทยหลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก “กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน” ว่าทำหน้าที่อะไร ใหญ่กว่า“สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”ของไทยหรือไม่ ?
กระทรวงนี้ในภาษาจีนเรียกว่า “กงอันปู้ (公安部)” มีสถานะเป็นกระทรวงขึ้นตรงต่อคณะมนตรีแห่งรัฐของจีน และเป็นหนึ่งในกระทรวงที่มีความสำคัญอย่างมาก
ถ้าจะเปรียบเทียบกับ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ของไทยแล้ว “กระทรวงความมั่นคงสาธารณะของจีน” ถือว่า “ใหญ่กว่ามาก” เพราะว่ามีอำนาจมหาศาล โดยบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ด้านบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคงมากกว่า 2 ล้านคน ทั้ง ตำรวจ, การต่อต้านการก่อการร้าย, การปราบปรามยาเสพติด, การรักษาความปลอดภัยบุคคลและสถานที่สำคัญ, การควบคุมคนเข้าเมือง, ปราบปรามลัทธิศาสนานอกรีต,ปราบปรามสินค้าหนีภาษี และยังมีอำนาจควบคุมเรือนจำทั่วประเทศจีนอีกด้วย
ส่วน นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะของจีน เป็นนายตำรวจวัย 60 ปี ชาวมณฑลเฮยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน เป็นตำรวจมือปราบมาตลอดชีวิตรับราชการ เคยคลี่คลายคดีใหญ่ ๆ มาแล้วจำนวนมากจนถูกนำไปสร้างเป็นซีรีย์โด่งดังในเมืองจีน ชื่อเรื่อง “ผมคือมือปราบ” หรือในชื่อภาษาจีนคือ หว่อซื่อสิงจิ่ง (我是刑警)
ฝีมือการทำงานของหลิวจงอี้ ทำให้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการที่ 5 หรือ กองบัญชาการสอบสวนคดีอาญา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอิทธิพลมากที่สุดในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ
ต่อมาเมื่อปีที่แล้ว 2567 นายหลิว จงอี้ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เมื่อเดือนมีนาคม
การที่ นายหลิว จงอี้ เดินทางมาไทย พร้อมเอกสารหลักฐานของขบวนการคอลเซนเตอร์ ที่มีฐานอยู่ที่เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตำรวจจีนพบว่าในเมียวดี มีกลุ่มฉ้อโกงใหญ่ ๆ ประมาณ 36 กลุ่ม มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 100,000 คน มากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นชาวจีน หัวหน้ากลุ่มฉ้อโกงเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจีนเช่นกัน ทำการฉ้อโกงหลอกลวงเหยื่อไปทั่วโลก
สมาชิกและเหยื่อของขบวนการฉ้อโกงจากหลายประเทศ วางแผนหลอกลวง, โจรกรรมทางไซเบอร์, พนันออนไลน์, ฟอกเงิน และกิจกรรมทางอาญาอื่น ๆ แล้ว โดยสมาชิกขบวนการหลายคนถูกหลอกล่อไปยังพม่า หลายคนถูกบังคับให้ทำงาน, ถูกคุมขัง ถูกทารุณกรรม และบางคนถึงกับต้องเสียชีวิตว่ากันว่าหลักฐานที่ฝ่ายจีนส่งให้กับตำรวจไทย มีความละเอียดมากถึงขนาดที่ระบุชื่อ, อัตลักษณ์บุคคล, ที่อยู่ในจีน, ฐานที่ตั้งในพม่า เรียกได้ว่า “ชี้ตัวให้จับได้เลย”
ด้วยข้อมูลเหล่านี้เองทำให้ นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะเป็นตัวแทนปักกิ่ง ยื่นข้อเสนอต่อไทยเพื่อไม่ให้บิดพลิ้ว
“หลิว จงอี้” ยื่นข้อเสนอให้กับตำรวจไทย 6 ข้อ ประกอบไปด้วย
1. ให้ถอนรากถอนโคนขบวนการหลอกลวง: จีนจะส่งข้อมูลสำคัญ และเส้นทางการเงินให้กับฝ่ายไทย และขอให้ฝ่ายไทยมีปฏิบัติการโดยเร็ว จับกุมหัวหน้าขบวนการมาให้ได้
2. ติดตามคดีหลอกลวง “หวังซิง” : ทั้งนี้ก่อนหน้าที่นายหลิว จงอี้ เดินทางมาไทย ตำรวจไทยได้จับกุม “นายเหยียน สือลิ่ว (颜十六)” ตัวการที่หลอกลวงนายหวังซิงได้ และส่งมอบตัวให้กับฝ่ายจีนแล้ว โดยยังมีผู้ร่วมขบวนการอีก 20 กว่าคน ขอให้ฝ่ายไทยจับกุมตัวให้ได้ และให้ส่งกลับไปดำเนินคดีที่จีน
3. ช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกควบคุมตัว : จีนเรียกร้องให้ตำรวจไทยเร่งช่วยเหลือเหยื่อผู้ถูกหลอกลวงไปทำงานในเมียวดี แล้วกดดันให้ทางการท้องถิ่นปล่อยตัวมาให้ได้
4. ให้ไทยปิดกั้นสาธารณูปโภคต่างๆ ที่ส่งไปที่รังของอาชญากร :ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต วัสดุก่อสร้าง ของกินของใช้ ที่ใช้ไทยเป็นเส้นทางส่งไปยังฐานของขบวนการหลอกลวง และต้องใช้มาตรการเข้มงวดให้การเดินทางข้ามพรมแดน
5. จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการร่วมไทย-จีนอย่างถาวร :จีนจะส่งพนักงานสืบสวนมาร่วมทำงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติการ กวดขันการบังคับใช้กฎหมาย
และที่สำคัญคือข้อที่ 6 จัดการปัญหาภายในของไทย : จีนหวังว่าไทยจะกวาดล้างแหล่งฉ้อโกงทางไซเบอร์ในประเทศไทยอย่างจริงจัง, ตรวจสอบกิจกรรมและบุคคลเกี่ยวข้องในประเทศไทย, แก้ไขความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติที่มีต่อประเทศไทย
หกข้อเสนอของฝ่ายจีนเรียกได้ว่า ซัดตรงเป้า ไม่ต้องอ้อมค้อมกันอีก เพราะฝ่ายจีนเห็นมาแล้วจากกรณี “หวัง ซิง” ว่า ฝ่ายไทยสามารถกดดันให้กลุ่มกระเหรี่ยงที่คุ้มหัวแก๊งคอลเซนเตอร์ในพม่าอยู่ ปล่อยตัวเหยื่อได้.... โดยเฉพาะข้อที่ 6 ที่ให้ “จัดการปัญหาภายในของไทย” ได้เปิดเผยถึงความหย่อนยานและช่องโหว่ที่มีอยู่ก่อนในฝ่ายไทย รวมถึงการสมคบคิดระหว่างเจ้าหน้าที่ของไทยกับกลุ่มอาชญากร ฝ่ายจีนถึงได้เรียกร้องให้ตำรวจไทยแก้ไขและให้ความร่วมมือ
ขณะที่ฝ่ายตำรวจไทยก็ได้ยื่นข้อเสนอกลับให้กับฝ่ายจีน 4 ข้อ ได้แก่
1. เห็นด้วยที่จะตั้งหน่วยปฏิบัติการร่วมไทย-จีน
2. ขอให้ทางจีนช่วย “ปราบปรามผู้สนับสนุนทางการเงิน” ในประเทศจีน และช่วยให้ข้อมูลของ “กลุ่มทุนไทย” ที่รู้เห็นเป็นใจร่วมมือกับทุนจีนเทาดังกล่าวด้วย
3. ทั้งสองประเทศดำเนินการร่วมกันเพื่อต่อสู้และติดตามอาชญากรรมฟอกเงินสกุลเงินดิจิทัล
4. เสนอให้จัดประชุมร่วมกับกัมพูชา ลาว และพม่า โดยให้จีนเป็นแกนนำ
ข้อเสนอของฝ่ายจีนและไทย จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมระหว่างประเทศ เป็นรูปแบบใหม่คือ
จาก รูปแบบเดิม ค่อนข้างซับซ้อนยืดเยื้อคือ
ญาติของเหยื่อต้องแจ้งความในประเทศจีน --> รายงานข้ามประเทศ -->ประสานงานสถานทูต --> ตำรวจไทยดำเนินการสืบสวนจับกุม --> ส่งตัวให้ฝ่ายจีน
มาเป็นรูปแบบใหม่ ที่กระชับฉับไว้มากขึ้น คือ ตำรวจจีนจะให้ข้อมูลเส้นทางการเงิน-ชื่อ-ที่ตั้งของผู้ต้องสงสัย --> ส่งให้ตำรวจไทยจับกุม และช่วยเหลือเหยื่อในทันที
เรียกได้ว่า ตำรวจจีนจัดการสืบสวนสอบสวน หาหลักฐานมาให้แบบเบ็ดเสร็จ แล้วส่งข้อมูลอย่างละเอียด ให้กับตำรวจไทยไปจับตัวมา(ซึ่งถ้ายังจับไม่ได้ก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน)
อึ้ง! “มาริษ” ไม่ทราบ ผู้ช่วย รมต.จีน ลงพื้นที่ชายแดนไทย
พอถูกกดดันมากๆ ว่า ประเทศไทยยอมให้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนเข้ามา “ชี้นำ” การทำงานของตำรวจ ก็เริ่มมีการ “โยนขี้”
วันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า นายหลิว จงอี้ เดินทางมาไทย เรื่องนี้ไม่ได้ผ่านกระทรวงต่างประเทศ ตนไม่ทราบ เป็นเรื่องของกระทรวงยุติธรรมที่เขามีการติดต่อกัน
พร้อมระบุว่า กระทรวงต่างประเทศ ไม่ยอมให้จีนเข้ามาทำอะไร โดยที่เราไม่ปล่อยให้เขาทำ
ขณะนี้ รัฐบาลจีนได้เข้มงวดกับการเดินทางมายังประเทศไทย-พม่า-กัมพูชา ของคนจีนอย่างมาก ถึงขนาดที่มีการตรวจสอบการซื้อตั๋วเครื่องบินของคนที่สุ่มเสี่ยงจะตกเป็นเหยื่อของขบวนการหลอกลวง เช่น คนที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก หรือ คนที่อาจถูกหลอกว่าให้มาทำงานที่เมืองไทย โดยจะมีตำรวจโทรศัพท์ไปหา สอบถามว่าจะมาทำอะไร ไปกี่วัน ไปกับใคร และเตือนให้ทบทวนการเดินทาง
นอกจากนี้ แอปพลิเคชั่นพูดคุยออนไลน์ อย่างเช่น วีแชต ที่คนจีนทุกคนใช้กัน ก็เพิ่มการป้องกันเช่นเดียวกัน เช่น มีคำเตือนหากติดต่อกับผู้ใช้ที่อยู่ในต่างประเทศ, บล็อกการใช้งานผ่าน VPN, และอาจจะบล็อกไม่ให้เหยื่อกลุ่มเสี่ยงติดต่อกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
การเดินทางมาเมืองไทยของนายหลิว จงอี้ แสดงเห็นว่าจีนให้ความสำคัญกับการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์แบบ “ถอนรากถอนโคน” แต่ก็ยัง ไว้หน้า ฝ่ายไทย โดยวิธีที่ใช้คือ ส่งข้อมูลให้ฝ่ายไทยดำเนินการ และจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการร่วมกัน
ถ้าหากวิธีนี้ยังไม่ได้ผล ไม่แน่ว่า จีนก็อาจต้องใช้โมเดลเดียวกับ “ยุทธการแม่น้ำโขง” ที่เคยไล่ล่านาย “หน่อคำ” ราชายาเสพติด ที่ก่อเหตุฆ่าลูกเรือชาวจีน 13 คน กลางแม่น้ำโขงเมื่อ 14 ปีก่อน คือ วันที่ 5 ตุลาคม 2554
รัฐบาลจีนได้ใช้หน่วยพิเศษหาข่าวและไล่ล่าผู้ต้องหาใน 3 ประเทศ คือไทย ลาว และพม่า นาน 6 เดือน จนจับตัวหน่อคำได้ที่ประเทศลาว โดยนายหน่อคำและลูกสมุนถูกส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศจีน และได้รับโทษประหารชีวิต
“คดีหน่อคำ” ทำให้ทางการจีนได้จัดตั้ง “หน่วยลาดตระเวนแม่น้ำโขง” ร่วม 4 ชาติ เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เรือสินค้า และมีปฏิบัติการร่วมกันเป็นประจำ ทำให้ภูมิศาสตร์ทางอำนาจในลำน้ำโขงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง