หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเผยตอนเข้าเยี่ยม “ทักษิณ” ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่เจอ จนท.ราชทัณฑ์ ไม่เห็นมีหมอ เจ้าตัวสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะ ออกมารับแขกคุยเป็นชั่วโมงไม่เห็นป่วย พอไปครั้งที่ 2 มีคนเสิร์ฟกาแฟและขนม ก่อนพบต้องรอคิว แสดงว่าคนไปหาเยอะ มีคนพาลัดเลาะขึ้น-ลงตึก ไป 2 รอบไม่เจอใครเลย ถ้าทักษิณจะขึ้นลงบ้างก็คงไม่มีใครเห็น เชื่อจุดจบน่าจะลงเอยที่หลบหนี เพราะแพทยสภากำลังทำงาน
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นการไปเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่นายทักษิณรับโทษจำคุกแต่ได้รับอนุญาตให้ไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างปัญหาสุขภาพว่า ในครั้งแรกหลังจากนัดหมายกับบุคคลที่ประสานเรื่องการขึ้นไปเยี่ยมก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ไปจอดรถที่ชั้นใต้ดินแล้วรอ จากนั้นบุคคลดังกล่าวก็มารับและพาเข้า-ออก ลัดเลาะไปตามลิฟต์ต่างๆ จนถึงชั้น 13 จากนั้นเดินขึ้นบันไดหนีไฟไปชั้น 14 ซึ่งเวลานั้นตนก็ไม่เห็นใคร ที่บอกว่ากรมราชทัณฑ์จัดเจ้าหน้าที่มาเฝ้านั้นตนไม่เห็นสักคนหนึ่ง หรือที่บอกว่าป่วยตนก็ไม่เห็นแพทย์
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า บรรยากาศบนชั้น 14 จะมี 2 ฟาก ตนก็ถูกเชิญให้ไปนั่งในฟากที่เป็นพื้นที่รับแขก สักพักนายทักษิณก็เดินมาหาจากอีกฟากหนึ่ง โดยวันที่พบกันนั้นนายทักษิณสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ส่วนการพูดคุยกันซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนั้นก็เป็นเรื่องบ้านเมือง เรื่องการเมือง เรื่องไม่เอาวงษ์สุวรรณ ซึ่งก็ไม่เอาจริงๆ แถมยังทำลายด้วย แต่ก็ไม่เห็นว่านายทักษิณดูมีอาการเจ็บป่วย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นตนยังมีโอกาสได้ไปเยี่ยมนายทักษิณเป็นครั้งที่สอง ผู้ประสานงานได้แจ้งทางไลน์ว่าขอให้ตนเดินทางไปคนเดียว เมื่อไปถึงก็ไปนั่งรอที่จุดเดิม แต่ครั้งนี้นายทักษิณได้ชวนตนไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องรับแขก มีทีมงานนำขนมและกาแฟมาเสิร์ฟ สามารถรับประทานไปพลางมองบรรยากาศสนามม้าที่อยู่ข้างๆ ไปด้วยได้ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เข้าไปยังห้องพักผู้ป่วย
ส่วนการที่ตนไปให้ข้อมูลแก่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึง 2 ครั้ง ในครั้งแรกตนไปเล่าเรื่องความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รวมถึงสมัยที่นายทักษิณต้องไปอยู่ต่างประเทศ ตนก็มีโอกาสไปพบเมื่อครั้งนายทักษิณเดินทางไปประเทศจีน เพื่อให้ทาง ป.ป.ช.เชื่อว่าตนได้รับความไว้วางใจจนได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจได้อย่างไร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวอีกว่า เราไปเยี่ยมมา 2 ครั้ง ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้าคิดมากป่านนี้เก็บพยานหลักฐานเยอะแยะ ต่อมาก็กลับมานั่งคิด คิวท่านเสรี แสดงว่ามีคนอื่นด้วย ถึงต้องมีคิวคนนั้นคนนี้
“แล้วคุณทักษิณนัดพบพวกนี้ นอกจากจะไม่ป่วยแล้วนัดพบพวกนี้ เวลาผมไปจะขึ้นจะลง 4 เที่ยวเลย ไปครั้งหนึ่งก็ 2 เที่ยว อีก 2 ครั้งก็ 4 ไม่พบใครเลย ไม่มีใครเห็นผม แล้วถ้าคุณทักษิณจะลงขึ้นบ้างจะมีใครเห็นไหม? มันก็ไม่น่าจะมีเหมือนกัน" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
นอกจากนี้ ตนแนะนำกรรมการ ป.ป.ช.ไปว่า กรณีที่ปรากฏว่ามีการอนุญาตให้เพียงคนในครอบครัวของนายทักษิณจำนวน 10 คน เช่น คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว เท่านั้นที่เข้าเยี่ยมได้ ตนก็แนะนำว่าให้ ป.ป.ช.เชิญบุคคลเหล่านั้นมาให้ข้อมูล แต่ทาง ป.ป.ช.ก็ตอบว่าอย่าหาเรื่องให้พวกตนเลย แต่ตนก็แย้งไปว่านี่เป็นหลักการ อย่างไรก็ต้องเชิญ อย่างที่บอกว่าพ่อป่วยวิกฤต ลูกไปเฝ้าหรือไปเที่ยว ไปหาหลักฐานมาประกอบ หรืออย่างเรื่องการตรวจรักษาของแพทย์
“อย่างผมเคยป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล 23 วัน เมื่อแรกเข้าไปแพทย์ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร ก็มีทั้งแพทย์ด้านสมอง หัวใจ และปอดมาตรวจ ซึ่งจะมีการบันทึกในเวชระเบียน ปรากฏว่าผมติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการน้ำท่วมปอด เมื่อรู้แล้วแพทย์ด้านสมองและหัวใจก็ถอยออกไป อีกทั้งตลอด 23 วันของการรักษาแทบไม่ได้นอนเพราะแพทย์มาตรวจถี่มาก และการนอนโรงพยาบาล 23 วัน ผมพบว่ามวลกล้ามเนื้อหายไปมาก พอลุกเดินแทบจะเป๋เลย ซึ่งในช่วงบ่ายๆ พอคนในโรงพยาบาลไม่มาก แพทย์ก็จะพาผมไปเดินแถวๆ หน้าห้องผู้ป่วยเพื่อเป็นการทำกายภาพบำบัด ในขณะที่คุณทักษิณออกมาในสภาพกระโดดโลดเต้น ซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัย ดังนั้นตั้งแต่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ หากมีผู้ป่วยก็จะต้องตรวจแบบที่ผมยกตัวอย่าง และเมื่อส่งตัวมาที่ รพ.ตำรวจ ตอนแรกก็ยังไม่ใช่การส่งไปชั้น 14 แต่ต้องไปห้อง ICU ก่อน มีการตรวจรักษาซึ่งต้องบันทึกในเวชระเบียน เมื่ออาการดีขึ้นจึงค่อยส่งไปพักฟื้นที่ชั้น 14 การป่วยวิกฤตจะต้องเป็นแบบนี้" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว
ส่วนจุดจบของการออกมาต่อสู้ในครั้งนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวว่า ตนเคยให้สัมภาษณ์ไปหลายรายการแล้วว่าน่าจะจบลงที่การหลบหนี โดยปัจจุบัน ป.ป.ช.และแพทยสภากำลังทำงานกันอยู่ ซึ่งแพทยสภาขอเวชระเบียนไป ได้บ้างไม่ได้บ้างทั้งที่ระเบียบบอกว่าต้องให้ แต่แพทย์ก็ไม่ยอมให้ ซึ่ง ป.ป.ช.ต้องกล้าตัดสินใจ เพราะมีกฎหมายอยู่แล้วว่าใครไม่ให้มีความผิดโทษจำคุก 6 เดือน สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีแพทย์ใหญ่ที่ไม่ให้เวชระเบียนได้เลย หรือหากแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ไม่ให้ ก็ต้องส่งเรื่องไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้สั่งการ หรือไล่ขึ้นไป เช่น นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็จะมีความผิดด้วย แต่ที่ไม่ทำกันเพราะกลัวจะต้องไปดำเนินคดีต่อบุคคลต่างๆ ที่กล่าวมา นี่คือการใช้กฎหมายที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นตนป่านนี้ดำเนินการไปหมดแล้ว