“ทรัมป์ 2.0” ป่วนโลกทันทีตั้งแต่วันแรกที่กลับเข้าทำเนียบขาว ประกาศถอนตัวจาก WHO เนรเทศผู้อพยพ นิรโทษกองเชียร์ 1,500 คนที่บุกป่วนสภาเมื่อ 4 ปีก่อน เลิกสนับสนุนพลังงานสีเขียวหันมาเน้นขุดน้ำมันขาย ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา-เม็กซิโก ประกาศจะยึดเอาคลองปานามา-เกาะกรีนแลนด์ เทกลุ่ม LGBTQ ยอมรับแค่เพศหญิงชาย ส่อแววความวุ่นวานทั้งในอเมริกาและหลายภูมิภาคทั่วโลก
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งนายทรัมป์ได้กล่าวสุนทรพจน์ความยาวประมาณ 30 นาที ซึ่งสื่ออเมริกันนับคำพูดได้ 2,885 คำหรือยาวเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับสุนทรพจน์ตอนเข้ารับตำแหน่งสมัยแรกเมื่อปี 2560 ซึ่งเขากล่าวรวม 1,433 คำ
การกล่าวสุนทรพจน์ของนายทรัมป์มีฉากหลังเป็นอดีตประธานาธิบดี โจ ไบเดน นั่งคู่กับนางกมลา แฮร์ริส อดีตรองประธานาธิบดี รวมถึงนางฮิลลารี คลินตัน อดีตคู่ปรับ และอดีตประธานาธิบดี นายบิล คลินตัน รวมไปถึงอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ซึ่งเป็นภาพที่อิหลักอิเหลื่อไม่น้อย
เพราะขณะที่นายทรัมป์กล่าวนโยบายต่างๆ ของตัวเองซึ่งสวนทางกับนโยบายของไบเดน-แฮร์ริส และพรรคเดโมแครตอย่างสิ้นเชิง พวกกองหนุนของทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็นรองประธานาธิบดี เจ ดี แวนซ์ รวมไปถึงสมาชิกของพรรครีพับลิกันลุกขึ้นปรบมือ โห่ร้องสนับสนุน ฝั่งไบเดน-แฮร์ริส ก็ได้แต่ก้มหน้า ไม่สามารถปรบมือ หรือ แสดงความเห็นด้วยแต่อย่างใดได้
หลักใหญ่ใจความของสุนทรพจน์ เริ่มต้นด้วยวรรคทองเลย “ยุคทองของอเมริกากำลังจะเริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนี้ จากวันนี้เป็นต้นไป ประเทศของเราจะเจริญรุ่งเรือง และเป็นที่เคารพนับถือของทั่วโลกอีกครั้ง ประเทศของเราจะเป็นที่อิจฉาของทุกประเทศ และเราจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบอีกต่อไป”
จากนั้น สิ่งที่นายทรัมป์ลั่นวาจาเอาไว้ ก็คือการนำสหรัฐฯ “กลับหันหลัง” เปลี่ยนทิศทางไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยไม่เพียงเป็นการเปลี่ยนจากแนวทาง “เสรีนิยม” ในยุคของนายโจ ไบเดนและพรรคเดโมแครต แต่คำพูดหลายอย่างที่นายทรัมป์ประกาศ ยังแตกต่างจากแนวทางของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นต้นสังกัดของนายทรัมป์เองเช่นเดียวกัน
ใจความสำคัญที่นายทรัมป์พูดมีหลายข้อ แต่จะยกมาสัก 7 ข้อ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีก 2-3 ประการ คือ
หนึ่ง ภายใต้การนำของทรัมป์ เขาจะนำสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากความร่วมมือนานาชาติต่างๆ เช่น “ข้อตกลงปารีสที่หยุดยั้งสภาวะโลกร้อน” หรือ “ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก (WHO)”
นายทรัมป์เคยประกาศเอาไว้ว่า “ภาวะโลกร้อนนั้นเป็นเรื่องลวงโลก” แม้กระทั่งเพิ่งเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่นครลอสแองเจลิส โดยส่วนหนึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ แต่นายทรัมป์ก็คงไม่แคร์ เพราะเป็นแคลิฟอร์เนียรัฐของพวกเดโมแครต
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การประกาศถอนตัวจากคำมั่นสัญญาที่จะหยุดยั้งภาวะของการเสื่อมทรุดของสิ่งแวดล้อม โดยชาติอุตสาหกรรมเบอร์ 1 อย่างสหรัฐฯ แท้จริงแล้วก็คือ ความเห็นแก่ตัว ปัดภาระให้คนอื่น โดยไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรกับสังคมส่วนรวมแม้แต่น้อย
ส่วนการถอนตัวจากองค์การอนามัยโลกนั้น ทรัมป์อ้างว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินมากมาย แต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา เรื่องนี้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับสหรัฐฯ และทั่วโลก เพราะเมื่อเกิดการระบาดใหญ่เหมือนกับโรคโควิด-19 สหรัฐฯ จะไม่ต้องแบ่งปันข้อมูลให้กับนานาชาติ และทั่วโลกก็จะไม่สามารถเข้าถึงสถานการณ์โรคระบาดในสหรัฐฯ ส่งผลให้การป้องกันและควบคุมโรคยากลำบากอย่างยิ่ง
นายทรัมป์ยังจะถอนตัวจากความร่วมมือพหุภาคีอีกมากมาย ที่สหรัฐฯ ไม่ได้ประโยชน์ เหมือนกับที่นายทรัมป์ประกาศว่า อเมริกาต้องมาก่อน หรือ America First
สอง เนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย ในวันแรกที่รับตำแหน่ง นายทรัมป์ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติที่ชายแดนทางใต้ และประกาศว่าจะส่งทหารไปยังชายแดนทางใต้เพื่อ “ต่อต้านการรุกรานประเทศของเรา”
ผู้อพยพถูกนายทรัมป์มองว่าเป็น “ผู้รุกราน” เป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทั้งๆ ที่หลายคนอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกามานานหลายสิบปี และบางคนอาจเป็นผู้สนับสนุนทรัมป์ คนเหล่านี้จะถูกจับกุมและเนรเทศ ครอบครัวจำนวนมากถูกจับแยก พรากลูกพรากแม่ในทันที โดย นอกจากเรื่องของสิทธิมนุษยชนแล้ว การเนรเทศผู้อพยพจำนวนมากจะทำให้สหรัฐฯ ขาดแคลนแรงงาน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
สำนักสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ประเมินว่าพลเมืองอเมริกันที่เป็นผู้อพยพมาจากต่างประเทศมีมากกว่า 46 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 14% ของพลเมืองอเมริกันโดยรวม ยังไม่รวมผู้อพยพผิดกฎหมายอีกหลายล้านคนต่อปี คนเหล่านี้ยอมทำงานแลกรายได้ต่ำๆ งานสกปรก อันตราย และเหนื่อยยาก หากพวกเขาต้องถูกตัดออกจากวงจรเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คนอเมริกันจะยอมทำงานแทนจริงหรือ?
สาม อภัยโทษให้ผู้ก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภากว่า 1,500 คนในเหตุการณ์ 6 มกราคม 2564
คำสั่งหนึ่งที่สำคัญและเป็นที่พูดถึงคือ คำสั่งฝ่ายบริหารเรื่องการอภัยโทษให้ผู้สนับสนุนเขากว่า 1,500 คน ที่ก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ
โดย นายเดอร์ริก สตอร์ม หัวหน้าที่ปรึกษากฎหมายของจำเลยในคดีจลาจลบุกอาคารรัฐสภา กล่าวว่า เขาคาดว่ากลุ่มที่เขาเรียกว่า "ตัวประกันในวันที่ 6 ม.ค." จะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม นางแนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์จลาจลครั้งนั้น ได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า คำสั่งอภัยโทษดังกล่าวเป็น "การดูหมิ่นระบบยุติธรรมของเราอย่างร้ายแรง และวีรบุรุษที่ได้รับบาดแผลทางร่างกายและความบอบช้ำทางจิตใจในขณะที่พวกเขาปกป้องอาคารรัฐสภา, สภาคองเกรส และรัฐธรรมนูญ"
เธอยังระบุอีกว่า นี่เป็นเรื่อง "น่าละอาย" ที่ทรัมป์ทำให้ "การละทิ้งและทรยศต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยอมเสี่ยงชีวิต" กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด
สี่ ขุดเจาะน้ำมันอย่างมโหฬาร นายทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน และลั่นวาจาว่าจะลดราคาพลังงานด้วยการขุดเจาะน้ำมันขนานใหญ่ โดยทรัมป์ใช้คำพูดติดปากว่า We will drill, baby, drill และยุตินโยบายพลังงานสีเขียว
นี่คือการ “ย้อนคืนสู่อดีต” อย่างแท้จริง เพราะในขณะที่จีนใช้นโยบาย “เปลี่ยนเลนแซง” พัฒนาพลังงานใหม่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และพลังงานหมุนเวียน จนสามารถพลิกโฉมอุตสาหกรรมโลกได้ แต่นายทรัมป์กลับย้อนกลับไปหาพลังงานดั้งเดิม ที่ไม่เพียงทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังเท่ากับว่าก้าวถอยหลังอยู่กับ “อุตสาหกรรมเก่า” ที่ไร้อนาคต
ห้า เพิ่มภาษีสินค้านำเข้า ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก-แคนาดา 25% โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยอ้างว่าสองประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางเหนือ และทางใต้ของสหรัฐฯ ปล่อยให้แรงงานผิดกฎหมาย และยาเสพติด ลักลอบเข้าสู่สหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ทรัมป์จึงถูกตั้งฉายาจากสื่อว่าเป็น “บิดาแห่งกำแพงภาษี” แต่ความจริงก็คือ ภาษีนำเข้าที่ขึ้น ในที่สุดก็จะถูกผลักไปให้กับผู้บริโภคชาวอเมริกันอย่างแน่นอน
หก ปฏิรูประบบราชการ ทรัมป์ประกาศจัดตั้ง “กระทรวงประสิทธิภาพการบริหารราชการ หรือ DOGE (Department of Government Efficiency)” โดยมีมหาเศรษฐีอย่างนายอีลอน มัสก์ เป็นผู้นำ โดยทำเนียบขาวจะระงับการจ้างงานในหน่วยงานราชการ ยกเว้นในส่วนที่จำเป็น, คัดค้านรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น และคาดว่าเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากจะถูกเลิกจ้าง
แต่ประสิทธิภาพการทำงานก็เพิ่มขึ้น เพียงแค่การลดคน-ลดค่าใช้จ่ายจริงๆ หรือ? และหากมีคนที่ต้องถูกไล่ออกจากงานมากมายจะส่งผลต่อเศรษฐกิจ-สังคมของสหรัฐฯ อย่างไร
เจ็ด ยึดดินแดนชาติอื่น ทรัมป์ประกาศว่าจะเปลี่ยนชื่อ “อ่าวเม็กซิโก” เป็น “อ่าวอเมริกา” และยังจะประกาศว่า จะยึด กรีนแลนด์ (ซึ่งเป็นดินแดนภายใต้อาณัติของเดนมาร์ก), ยึดเอาคลองปานามา มาเป็นของตน (โดยทรัมป์อ้างว่า อเมริกาจ่ายเงินมหาศาลเพื่อขุดคลองนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แต่สุดท้ายบริษัทจากจีนเป็นผู้บริหารจัดการแทนปานามาไป) รวมถึงจะดำเนินการผนวกให้แคนาดากลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ
ถ้าหากนายทรัมป์ทำสิ่งต่างๆ ที่ว่ามาจริง รับรองว่าจะต้องเกิดสงครามรบพุ่งกันอย่างแน่นอน และเขาก็จะไม่ใช่ผู้สร้างสันติภาพอย่างที่อวดอ้างอีกต่อไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในสุนทรพจน์เข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับไม่ได้พูดถึงรัสเซียและยูเครนเลยแม้แต่คำเดียว ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ลูกชายของทรัมป์ เปิดเผยว่า นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ได้ร้องขอถึง 3 ครั้งเพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ถูกปฏิเสธ
พิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีบรรดามหาเศรษฐีเข้าร่วมมากมาย ทั้งนายมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก นายใหญ่ของเมตา หรือเฟซบุ๊ก, นายเจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน, นายซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของกูเกิล, นายทิม คุก ซีอีโอของแอปเปิล คนเหล่านี้เคยต่อต้านทรัมป์ และสนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างออกนอกหน้า จนนายทรัมป์เคยประกาศจะ “คิดบัญชี” หลังจากชนะเลือกตั้ง
มาวันนี้ มหาเศรษฐีเหล่านี้ต้องยอมสยบ บริจาคเงินก้อนโตให้กับทรัมป์ แลกกับความอยู่รอดของธุรกิจ
พิธีสาบานตนรับตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา นายทรัมป์ระดมทุนได้มากถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 8,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ในการระดมทุนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี
เงินบริจาค 250 ล้านเหรียญสหรัฐเหล่านี้ก็มาจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นแอปเปิล เมตา กูเกิล แอมะซอน ไมโครซอฟท์ และบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ ในสหรัฐฯ เหมือนเป็นการจ่าย “ค่าต๋ง-เครื่องบรรณาการ” หรือพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ “เงินสินบน” นั่นแหละครับ
นี่ก็คือโฉมหน้าที่แท้จริงของการเมืองภายใต้ทุนนิยมของชาวอเมริกัน หรือ Corporate America อย่างแท้จริง
ส่วนตัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศว่าจะ “สร้างอเมริกาให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง (Make America Great Again)” ก็อาจจะหลงลืมไปว่า ความยิ่งใหญ่ของอเมริกา เกิดขึ้นเพราะอเมริกายิ่งใหญ่ได้จากการเปิดรับ และหลอมรวมความหลากหลาย แต่นายทรัมป์กลับมีนโยบายที่ไม่ยอมรับความหลากหลาย ปฏิเสธความร่วมมือ คิดแต่เฉพาะผลประโยชน์ส่วนตัว ละทิ้ง “คุณค่า” ที่เป็นรากฐานของสังคมอเมริกัน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ที่เคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่นายทรัมป์กลับหวนกลับไปจมปลักกับอุตสาหกรรมดั้งเดิม และใช้มาตรการปิดล้อม กีดกันคู่แข่ง โดยไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง
และที่ย้อนแย้งที่สุดก็คือ ประชาชนชาวอเมริกันได้เลือกให้คนอย่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นผู้นำประเทศ โดยที่มีเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอีกด้วย หรือนี่ก็คือสภาวะ “กบเลือกนาย” ที่สุดท้ายแล้ว คนที่ได้รับเคราะห์กรรมก็คือ ชาวอเมริกันทั้งหลาย
คนอเมริกันนั้นแบ่งเป็น 2 พวก พวกหนึ่งก็คือพวกขวาจัด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกชาวผิวขาว เห็นว่านายทรัมป์คือผู้ที่มาเซฟคนผิวขาวออกจากคนผิวดำ ออกจากชาวอเมริกันที่มีเชื้อสายฮิสแปนิก เชื้อสายละตินอเมริกา คนเอเชีย
นายทรัมป์ได้พูดมาคำหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด เขาบอกว่า เขาจะไม่ให้สิทธิพิเศษอะไรกับคนสีผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติอะไรก็ตาม ซึ่งสมัยก่อนจะมีสิทธิพิเศษ เช่น สิทธิพิเศษในการเข้ามหาวิทยาลัย ได้บวกแต้มฟรีๆ เข้าไปจำนวนหนึ่ง เหตุผลเพราะว่าเป็นชนกลุ่มน้อย
นายทรัมป์บอกว่าเขาจะสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมของเขา ทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเชื้อชาติอะไร ผิวสีอะไร และเขาจะเลือกเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติ (Merit) ที่จะเข้ามาทำงานกับเขา
“ทรัมป์” เท LGBTQ ยอมรับแค่เพศหญิงชาย
ส่วนหนึ่งในสุนทรพจน์ของนายทรัมป์ เขาประกาศว่า สหรัฐอเมริกาจะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ “ชาย” และ “หญิง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (unchangeable)
นายทรัมป์ยังบอกอีกว่า “ในสัปดาห์นี้ผมจะยกเลิกนโยบายของรัฐที่พยายามใช้วิศวกรรมทางสังคม ยัดเยียดเชื้อชาติ และเพศสภาพเข้ามาในทุกแง่มุมของชีวิตส่วนตัวและสาธารณะ
“เราจะสร้างสังคมที่ไม่แคร์เชื้อชาติ แต่จะเน้นที่คุณสมบัติ (merit-based) และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีนโยบายอย่างเป็นทางการที่จะให้การยอมรับบุคคลเพียง 2 เพศ คือ ชาย และหญิง”
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งบริหารยกเลิกนโยบายต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และปกป้องสิทธิของกลุ่มคนเพศหลากหลาย LGBTQ+
คำสั่งดังกล่าวกำหนดให้รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้คำว่า “เพศ” (sex) แทนคำว่า “เพศสภาพ” (gender) และให้เอกสารระบุตัวตนที่ออกโดยหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งรวมถึงหนังสือเดินทางและวีซ่า ต้องอ้างอิงกับสิ่งที่เรียกว่า “การจำแนกประเภททางชีวภาพที่แก้ไขไม่ได้ของบุคคลว่าเป็นชายหรือหญิง”
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ลงนามยกเลิกคำสั่งบริหารของ ไบเดน รวม 78 ฉบับ ในจำนวนนี้รวมถึงคำสั่ง 10 กว่าฉบับที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเกย์และคนข้ามเพศ
ยกเลิกคำสั่งว่าด้วย “การสนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ” ในชุมชนที่ไม่ได้รับบริการเพียงพอ (underserved community)
ยกเลิกคำสั่งว่าด้วยการต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลโดยอิงกับเพศสภาพหรือรสนิยมทางเพศ
ยกเลิกคำสั่งบริหารที่มุ่งให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนผิวสี คนเชื้อสายฮิสแปนิก คนอเมริกันพื้นเมือง คนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย และคนจากกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก
คำสั่งของทรัมป์ยังปิดทางไม่ให้นำงบประมาณของรัฐไปใช้โปรโมต “อุดมการณ์ทางเพศ” ซึ่งคำนี้เป็นคำที่กลุ่มอนุรักษนิยมชอบใช้ ในขณะที่นักสิทธิมนุษยชนมองคำนี้ว่าสะท้อนการต่อต้าน LGBTQ+ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์
“นี่่ไงครับ และผมก็ฝากไปถึงพรรคประชาชนด้วย คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พวกคุณที่เทิดทูนอเมริกาเป็นพ่อ คุณเห็นฤทธิ์หรือยัง นายทรัมป์ก็คือประธานาธิบดีอเมริกา คุณพิธาครับ ที่คุณชอบใส่เสื้อสีรุ้ง วันนี้เจอทีเด็ดนายทรัมป์เข้าไปแล้ว
“อเมริกาเป็นประเทศที่อวดอ้างตัวเองว่าเป็นประเทศต้นฉบับประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ เป็นประเทศในฝัน ดินแดนในอุดมคติของเหล่าพรรคประชาชนและพวกสามกีบ NGO ฝรั่งทั้งหลาย รวมไปถึงพรรคเพื่อไทย ที่พยายามโปรโมตเหลือเกินเรื่อง LGBTQ+ จัด Pride Month สมรสเท่าเทียม โปรโมตมากเสียจนเหมือนยัดเยียดให้คนที่เขาเฉยๆ หรือเห็นต่างเขารู้สึกหมั่นไส้ เพราะรู้สึกว่าเป็นการบีบบังคับให้คนอื่นต้องให้สิทธิพิเศษกับพวก LGBTQ+ มากเกินไป
“ตัวผมเองมีพี่น้อง เพื่อนฝูง ลูกน้อง ที่เป็นตุ๊ด เกย์ เลสเบี้ยน กะเทย เยอะแยะ แต่ผมเปิดรับเรื่องนี้มานานแล้ว หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็รับนักข่าว LGBTQ มานานแล้ว ไม่เคยกีดกัน ไม่เหมือนบางสำนักข่าวที่แม้แต่เด็กฝึกงานก็ไม่ยอมรับ แต่ท่านผู้ชมครับ การผลักดันเรื่องนี้ที่เกินพอดี และเรียกร้องสิทธิพิเศษมากมายเกินไป ผมเห็นว่าเราต้องระมัดระวังและทำให้เกิดความสมดุลด้วย
“ประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็นจากเรื่องนี้ คือ ในเมื่ออเมริกาที่ใครหลายคนนับถือเขาเป็นพ่อ พอเปลี่ยนยุคมาเป็นยุคนายทรัมป์ มันกลับหลังหัน 180 องศา เรื่องนี้พวกคุณ พรรคประชาชน คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะว่าอย่างไร
“พวกพรรคประชาชน เด็กสามกีบ คุณพิธา น่าจะเดินทางไปยื่นหนังสือเรียกร้องที่สถานทูตอเมริกานะ บอกว่านโยบายทรัมป์ เป็นการลิดรอนสิทธิพลเมือง จำกัดสิทธิเสรีภาพ ล้าหลัง พวกคุณกล้าไหม ตอบผมหน่อยซิ ถ้าไม่กล้ามันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าคุณเป็นแค่ทาสรับใช้นักการเมืองและทุนนิยมของตะวันตก
“ผมจะฟันธงว่า อีกไม่นานอเมริกาจะเกิดความวุ่นวาย และกระจายมาทางประเทศต่างๆ แน่นอน บรรดาสามนิ้วที่เทิดทูนอเมริกาว่าเป็นพ่อ จะเอาอย่างไรต่อไป คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผลผลิตจากอเมริกาที่ชอบไปผลักดันเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใส่เสื้อสีรุ้ง เอาใจแฟนคลับ จะเอาอย่างไรต่อไป ตอบผมหน่อยซิ” นายสนธิกล่าว