ภาพลักษณ์ท่องเที่ยวไทยป่นปี้พินาศ หลังเกิดเหตุ “ซิงซิง” ดาราจีนถูกหลอกเข้ามาแคสต์งานในไทยแต่กลับถูกพาไปทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แม้จะถูกช่วยออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ยิ่งทำให้คนจีนยิ่งเชื่อว่า จนท.ไทยมีเอี่ยวกับแก๊งจีนเทามิจฉาชีพ จนเกิดกระแสเที่ยวไทยไม่ปลอดภัย และแห่ยกเลิกทริป สร้างความสูญเสียหลายพันล้านบาท ขณะที่นายกฯ ไม่เข้าใจปัญหาเชิงระบบ ยังอ้างว่าเป็นข่าวปลอม
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 17 มกราคม 2568 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีของนาย “หวัง ซิง” หรือ “ซิงซิง” ดาราจีนที่ถูกหลอกลวงและกักขังโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ซึ่งต่อมาได้รับการช่วยเหลือจากฝ่ายไทย แทนที่ประเทศไทยจะเป็น “ฮีโร่” ที่ช่วยเหลือเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับกลายเป็นกระแส คนจีนหวาดกลัวประเทศไทย ยกเลิกทัวร์ช่วงตรุษจีนกันอย่างมากมาย คนจีนจำนวนมากเชื่อไปแล้วว่าเจ้าหน้าที่ไทยหลับตาข้างหนึ่ง สมคบ "จีนเทา"
ทั้งนี้ แฟนสาวของนายหวังซิงได้โพสต์ขอความช่วยเหลือลงใน “เวยป๋อ” สื่อสังคมออนไลน์ของจีนเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา นายหวังซิงได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว จากการประสานงานของสถานกงสุลใหญ่จีน ประจำเชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ของไทย โดยใช้เวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น และขณะนี้นายหวังซิงก็ได้เดินทางกลับประเทศจีนไปแล้ว
การช่วยเหลืออย่างรวดเร็วของเจ้าหน้าที่ไทยน่าจะแสดงถึงความจริงจังของฝ่ายไทย แต่ว่าสถานการณ์กลับตาลปัตรกลายเป็นว่าชาวจีนจำนวนมากหวาดกลัว ไม่กล้าเดินทางมาเมืองไทย ในโลกออนไลน์ของจีนขณะนี้เต็มไปด้วยการค้นหา เช่น “ยกเลิกทัวร์มาเมืองไทย” , “เมืองไทยแดนอันตราย” ฯลฯ....
และที่สำคัญก็คือ คนจีนจำนวนมากเชื่อไปแล้วว่าเจ้าหน้าที่ไทยสมคบ และเอื้ออำนวยความสะดวกให้ "กลุ่มจีนเทา" ในการก่ออาชญากรรมต่างๆ โดยใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน
มีความคิดเห็นในโลกออนไลน์ของจีนที่น่าสนใจ เช่นว่า
-“พอได้ยินเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ฉันกลัวเมืองไทย 100% แต่พอเห็นรัฐบาลไทยเข้าแทรกแซงและช่วยเหลือหวังซิงได้ในไม่กี่วัน ความกลัวเมืองไทยของฉันเพิ่มเป็นล้าน%"
-“ตำรวจไทยแค่โทรศัพท์กริ๊งเดียวก็ช่วยหวังซิงได้ จะให้เชื่อจริงๆ หรือว่า ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกัน”
-“มีชาวจีน 70,000 รายถูกขายจากประเทศไทยไปยังเมียนมาทุกปี หรือตกเฉลี่ยวันละ 200 คน จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้หรือ จะให้ฉันรักแผ่นดินไทย หรือรักรัฐบาลไทย ที่ไร้ความสามารถกันแน่ !?!"
ก่อนจะเดินทางกลับประเทศจีน นายหวังซิงถูกทางการไทยขอให้พูดว่า “ประเทศไทยปลอดภัย ถ้ามีโอกาสจะเดินทางกลับมาใหม่”....แต่พอเดินทางถึงสนามบินเซี่ยงไฮ้ ดาราจีนรายนี้กลับโพสต์ข้อความผ่านเวยป๋อทันทีว่า “ขอบคุณมาตุภูมิ ที่ช่วยเหลือผมในครั้งนี้”
บรรดาชาวจีนต่างบอกว่า ทางการไทยทำการประชาสัมพันธ์สุดห่วย “ไม่เคารพสิทธิของเหยื่อ” นำตัวนายหวังซิง ที่อยู่ในสภาพอิดโรย ออกมาพูดต่อหน้ากล้องเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของประเทศไทย แทนที่จะได้ผลดี กลับให้ผลในทางตรงกันข้าม เหมือนภาษิตที่ว่า “ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด” ยิ่งตอกย้ำว่า ทางการไทย ทำได้แค่ลูบหน้าปะจมูก
ชาวจีนต่างเชื่อว่านายหวังซิงถูกช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วเพราะว่าเป็นคนดัง แต่ว่ายังมีเหยื่ออีกหลายร้อยหลายพันคน ที่เป็นชาวบ้านคนธรรมดา กลับไม่ได้รับการช่วยเหลือ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา มีพ่อแม่ชาวจีนจากมณฑลซานตงคู่หนึ่งถึงขนาดไปคุกเข่าที่หน้าสถานทูตจีน ในกรุงเทพฯ ขอร้องให้ช่วยเหลือลูกชายที่หายตัวไปหลังจากเดินทางมาทำงานที่เมืองไทย และคาดว่าจะถูกหลอกลวงไปโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์
นอกจากนี้ ยังมีครอบครัวชาวฮ่องกงเดินทางไปยังสถานกงสุลไทย ประจำฮ่องกง ขอร้องให้ช่วยเหลือลูกชายที่ถูกหลอกลวงไปเช่นเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้ ครอบครัวนี้ก็เคยมาขอความช่วยเหลือกับสถานกงสุลไทยแล้ว แต่ถูกปฏิเสธว่า “ผู้เสียหายไม่ใช่คนไทย ช่วยเหลือไม่ได้”
แต่ว่าหลังจากเห็นกรณีของนายหวังซิงแล้ว ชาวฮ่องกงครอบครัวนี้ก็เชื่อว่าทางการไทยมีอิทธิพลต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงอยากให้ช่วยเหลือลูกของพวกเขา
สำหรับผลกระทบจากกรณี “หวัง ซิง” และกระแสเชิงลบในหมู่ชาวจีนที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย เช่น
- Eason Chan หรือ เฉิน อี้ซวิ่น นักร้องดังระดับท็อปชาวฮ่องกง ประกาศยกเลิกคอนเสิร์ตของเขาที่จะจัดขึ้นวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ณ อิมแพ็ค อารีน่า ทั้งๆ ที่เป็นการกลับมาพบแฟนเพลงในไทยในรอบ 12 ปีของเขา และบัตรคอนเสิร์ตขายหมดล่วงหน้าไปแล้วหลายเดือน
- "จ้าว เปิ่นซาน" ผู้กำกับชื่อดังชาวจีน ประกาศเลื่อนการพาคณะนาฏศิลป์พื้นเมืองมณฑลเหลียวหนิง มาแสดงในไทยเพื่อฉลองเทศกาลตรุษจีน ออกไปอย่างไม่มีกำหนด โดยระบุว่า เพราะ "คำนึงถึงปัญหาความปลอดภัย
- นักท่องเที่ยวจีนพากันยกเลิกตั๋วเครื่องบิน และแผนการมาเที่ยวเมืองไทย คิดเป็นสัดส่วนอย่างน้อยๆ 20% ของยอดจอง โดยประเมินกันว่าคนไทยจะสูญรายได้มากกว่า 5,000 ล้านบาท
- ยอดการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยในแพลตฟอร์มของจีนลดลงมากกว่า 40%
- สถานทูตจีนประจำประเทศไทยออกประกาศเตือนพลเมืองจีนให้ระวังการหลอกลวงไป “ทำงานรายได้สูง” และการใช้ช่องทาง ฟรีวีซ่า เพื่อเดินทางมาทำงานอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทย
แม้ว่า นางฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จะพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกจดหมายเป็นภาษาจีน เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน โดยใช้วาทะยอดนิยมที่ว่า “จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” (จงไท่ อี้เจียชิน) บอกว่า จะดูแลนักท่องเที่ยวจีนเหมือนดั่งคนในครอบครัว ขอให้มั่นใจในความปลอดภัยในการมาเที่ยวเมืองไทย
แต่ว่าคนจีนได้เห็นตำตาจากกรณีของนายหวังซิง และกรณีอื่นๆ อีกมากมายที่ตอกย้ำว่า แต่ละปีมีคนจีนหลายหมื่นคนถูกล่อลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีต้นทางหรือทางผ่านจาก....ประเทศไทย
ไทยอ้างว่า “ไม่เกี่ยวข้อง” ได้จริงหรือ?
ต่อกรณีนี้ คนไทยหลายคนบอกว่าเรื่องนี้คนไทยไม่เกี่ยว เพราะเป็นเรื่องของ คนจีนหลอกคนจีน, ไทยตกเป็น “แพะรับบาป” แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะว่า
1. ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด (สถิตินักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีที่แล้ว 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยมากกว่า 35 ล้านคน อันดับที่ 1 คือ นักท่องเที่ยวจีน มากกว่า 6 ล้าน 7 แสนคน)
2. มีคนไทยถูกหลอกลวงด้วยเช่นกัน
3. ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นเส้นทางค้ามนุษย์, เป็นทางผ่านของขบวนการหลอกลวง
4. แก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทษเพื่อนบ้านล้วนแต่ใช้ อินเทอร์เน็ต, ไฟฟ้า, เส้นทางการเงินจากประเทศไทย, คนขับรถที่พาเหยื่อไปชายแดนก็เป็นคนไทย
การ “ปัดสวะให้พ้นตัว” อ้างว่า “จีนหลอกจีน” ก็เหมือนกับเหตุเรือล่มที่ จ.ภูเก็ต เมื่อปี 2561 มีผู้เสียชีวิต 47 รายส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ในครั้งนั้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า "เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนจีนทำนักท่องเที่ยวจีนเอง สร้างเรือเอง ไม่ทำตามกฎของเรา แล้วจะให้เราเรียกอะไร ก็มันเป็นเรื่องของเขา"
ภายหลังการให้สัมภาษณ์คนจีนจำนวนมากแสดงความไม่พอใจ ยกเลิกแผนท่องเที่ยวเมืองไทยในทันที จนพลเอก ประวิตรได้ออกมาขอโทษในท้ายที่สุด
หนังสือพิมพ์ Global times และสื่อของทางการจีนหลายรายระบุว่า ในช่วงเดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว ที่ทางการจีนปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในเขตโกกั้งของพม่า ฝ่ายไทยได้ตัดไฟฟ้าที่ส่งไปยังพม่า ทำให้ขบวนการอาชญากรรมถึงกับต้องปั่นไฟใช้เอง แต่พอไม่นาน ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่อีหรอบเดิม
สื่อมวลชนจีนบอกว่า ถ้าหากไทยตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต ปิดพรมแดนไม่ให้อุปกรณ์ก่อสร้าง อาหาร-เครื่องดื่ม และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ส่งข้ามจากฝั่งไทยไปยังฐานทำการของกลุ่มอาชญากรรมในประเทศเพื่อนบ้าน ขบวนการคอลเซ็นเตอร์จะอยู่ได้อีกไม่นานอย่างแน่นอน
รัฐบาลบอก “ข่าวปั่น” แต่ประจักษ์พยานเห็นตำตา
นายกฯ แพทองธาร สั่งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มอนิเตอร์ "ข่าวเท็จ" ในอินเทอร์เน็ต, จับตาการปั่นกระแส “หวาดกลัวเมืองไทย” ในโลกออนไลน์ของจีน
ท่าทีของนายกฯ ที่ออกมาว่า “เมืองไทยถูกใส่ร้าย” ก็เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ที่มีภาพยนตร์จีนชื่อว่า No More Bets ที่เปิดเผยเรื่องขบวนการคอลเซ็นเตอร์ จนทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดกลัว และไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย....แต่ว่า นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แก้ปัญหาด้วยการสั่งห้ามภาพยนต์เรื่องดังกล่าวฉายในประเทศไทย
ประชาชนชาวจีนยังเชื่อมโยงข่าว ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยนายกฯ อุ๊งอิ๊ง รวมถึงนายกฯ ตัวจริง นายทักษิณ ชินวัตร คุยโวโอ้อวดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวเจริญเติบโตอย่างมาก และ GDP สูงขึ้นอย่างมาก
แต่ชาวจีนกลับวิจารณ์ว่า การมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายจะยิ่งทำให้ประเทศไทยน่ากลัวมากขึ้น ไทยอยากมีกาสิโนเป็นเหมือนกับสิงคโปร์ แต่ทำไปทำมาอาจจะเหมือนกับ บ่อนปอยเปต ที่เป็นแหล่งซ่องสุมของขบวนการผิดกฎหมาย
สรุป ประเทศไทยไม่สามารถจะปัดความรับผิดชอบได้ว่า ขบวนการอาชญากรรมอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้อยู่ในบ้านเรา เพราะว่าประเทศไทยและคนไทยก็ “รับเคราะห์” เช่นเดียวกัน การตัดรากถอนโคนปัญหา ถึงจะเป็นการกอบกู้ชื่อเสียงของเมืองไทยได้ดีที่สุด และปกป้องคนไทยเองด้วย
- รัฐบาลไทยจะต้องคุยกับฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า กองกำลังชนกลุ่มน้อย รวมถึงทางการจีนอย่างจริงจังในเรื่องนี้
- เจ้าหน้าที่ไทยต้องเลิกสมคบคิด รับผลประโยชน์จากจีนเทา เมื่อพบคนจีนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการสีเทา ก็จับตัวส่งให้ฝ่ายจีน
- เข้มงวดในการตรวจตราที่พรมแดน หรืออาจต้องจำกัดการข้ามแดนจากไทยไปยังพื้นที่เสี่ยงในประเทศเพื่อนบ้าน
- ตัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ส่งไปยังขบวนการคอลเซ็นเตอร์ ทั้งไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต สาธารณูปโภคต่างๆ
- ธนาคารและบริษัทโทรคมนาคม ต้องตรวจสอบธุรกรรมที่ผิดปกติ, บัญชีม้า, ซิมผี
ที่ผ่านมาทางการจีนรายงานข่าวมาตลอดว่า ได้มีการส่งตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการหลอกลวงในพม่า, ลาว, กัมพูชา กลับไปดำเนินคดีในประเทศจีนมากเกือบ 1 แสนคนแล้ว แต่เหยื่อที่ถูกหลอกลวง ถูกกักขัง ทรมาน หรือกระทั่งเสียชีวิต ยังมีอีกมากมาย, คนไทยเราก็ยังได้รับ SMS-โทรศัพท์จากแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่เป็นประจำ
วันนี้ เราได้เห็นพ่อแม่ชาวจีนไปคุกเข่าร้องไห้ที่หน้าสถานทูตจีน ขอให้ช่วยเหลือลูก ไม่แน่ว่า สักวันหนึ่ง พ่อแม่ของเหยื่อคนไทยอาจต้องไปคุกเข่าขอร้องที่ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาลไทยด้วยเหมือนกัน
กระแสยกเลิกทริปเที่ยวไทย เกลื่อนโซเชียลจีน!
หลังจากเกิดเหตุการณ์ดาราจีน “ซิงซิง” ถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกฯ ในแพลตฟอร์มโซเชียลจีนยอดนิยม เช่น “เสี่ยวหงซู” มีคำถาม “ยังเดินทางไปไทยได้ไหม?” มากถึง 37,870,000 กระทู้!!!
เปิดต้นปี 2568 มา ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ (ตรุษจีนปีนี้ ตรงกับวันที่ 29 มกราคม 2568) เมื่อกระแสความกังวลด้านความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการยกเลิกการเดินทางจำนวนมาก ทั้งแพกเกจทัวร์และการจองตั๋วเครื่องบิน สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงเทศกาลที่เคยคึกคักมากที่สุด
ในจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทย 35.54 ล้านคนในปีที่แล้ว ปี 2567 ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดถึง 6.73 ล้านคน (หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 19-20% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเมืองไทยทั้งหมด)
หรือถ้าคิดเป็นจำนวนเม็ดเงินที่ไทยได้จากนักท่องเที่ยวจีนในปี 2567 ก็ตกประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท
ประเด็นก็คือ ในช่วงต้นปี 2568 สองสัปดาห์ที่ผ่านมาการเดินทางมายังไทยของนักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทท่องเที่ยว และแพลตฟอร์มจองการท่องเที่ยวผ่านระบบออนไลน์หลายแห่งรายงานว่ามียอดยกเลิกการจองแพกเกจทัวร์และตั๋วเครื่องบินในปริมาณมาก เนื่องจากปมปัญหาเรื่องประเด็นความปลอดภัย โดยเฉพาะจากกรณีนายหวัง ซิงถูกหลอกลวงไปยังบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา และมีการช่วยเหลือกลับมายังประเทศไทยได้ในที่สุด
ชาวเน็ตในเสฉวนคนหนึ่งเผยว่า เขาและเพื่อนร่วมทริป 20 คนได้ยกเลิกแผนการเดิทางมาเที่ยวไทยในช่วงตรุษจีนนี้
จากกรณีดังกล่าว บริษัทท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้รายงานว่ายอดการยกเลิกแพกเกจทัวร์ไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บางบริษัทระบุว่าสัดส่วนการยกเลิกสูงถึง 30% ของจำนวนการจองทั้งหมด
ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีนหลายคนแสดงความเห็นว่าพวกเขาเลือกยกเลิกการเดินทางแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินที่ไม่ได้รับคืนเต็มจำนวน ค่าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือค่าซิมการ์ด รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1,650 หยวน (ประมาณ 8,212 บาท) ต่อคน พวกเขายอมรับว่าความปลอดภัยสำคัญกว่า บางคนระบุว่าได้เปลี่ยนจุดหมายปลายทางการเดินทางจากไทยไปยังซานย่า เมืองชายทะเลในจีน
หลังเกิดเหตุการณ์ ซิงซิง ถูกแก๊งค้ามนุษย์หลอกไปยังชายแดนพม่า กระแสชาวจีนยกเลิกการเดินทางท่องเที่ยวไทย ปรากฏเป็นข่าวบนหน้าสื่อจีนท่วมท้น ในภาพ : ชาวเน็ตจีนกลุ่มหนึ่งโพสต์ข้อความแบ่งปันประสบการณ์การยกเลิกทริปเดินทางไปไทย เช่น ยกเลิกทริปเที่ยวไทย!! ปลอดภัยไม่ปลอดภัยก็ไม่ไปแล้ว!!
จากข้อมูลของแพลตฟอร์มจองตั๋วเครื่องบิน พบว่าราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทาง เซี่ยงไฮ้-กรุงเทพฯ ที่เคยสูงถึง 4,000 หยวน (ประมาณ 19,900 บาท) ลดลงเหลือเพียง 2,500 หยวน (ประมาณ 12,500 บาท) คิดเป็นการลดราคาถึง 40% เนื่องจากการยกเลิกจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา
ในขณะที่ตั๋วเรือสำราญซึ่งเคยเป็นที่นิยม เช่น เส้นทางจากสิงคโปร์ไปยังจุดหมายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย และมาเลเซีย ก็ประสบปัญหาผู้โดยสารยกเลิกการเดินทาง ทำให้เรือต้องเปิดขายตั๋วเพิ่มเติมในราคาลดพิเศษ
ปัจจัยหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนตัดสินใจยกเลิกการเดินทาง มาจากเหตุการณ์เชิงลบที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวจีนในไทยถูกเผยแพร่ผ่านสื่อและโซเชียลมีเดีย เช่น การถูกโกง การตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น พม่า
โซเชียลมีเดียในจีนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขยายกระแสความกังวลนี้อย่างรวดเร็ว โดยนักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางไปไทยโพสต์ความคิดเห็นและประสบการณ์ของตนเองในเชิงลบ ซึ่งยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวไทยเสียหายมากขึ้น
แม้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะออกแถลงการณ์ในวันเสาร์ที่ 11 มกราคม ยืนยันว่าจะเพิ่มมาตรการความปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ความคิดเห็นจากโซเชียลมีเดียจีนระบุว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อการท่องเที่ยว”
ขณะที่นายกรัฐมนตรี “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่รู้เรื่องรู้ราว หรือเข้าใจปัญหาในเชิงระบบของเรื่องนี้ โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันที่ 10 มกราคม ยังออกมาแถลงอยู่เลยว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความเข้าใจผิด และเป็นข่าวปลอม
“คุณอุ๊งอิ๊งครับ ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความเข้าใจผิดหรือข่าวปลอมแต่อย่างใด เพราะเป็นปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทุนจีนสีเทาที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน และเป็นฐานในการหลอกลวงพวกเดียวกันเอง รวมทั้งคนไทย ชาติไทย ชาติอื่น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง คุณอุ๊งอิ๊ง เป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง เป็นระบบ
“แล้วท่านรองนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ท่านพูดไม่ใช่หรือ 6 เดือนไม่ใช่หรือ 6 เดือน ท่านจะแก้ปัญหายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ท่านคงพูดโดยที่ท่านไม่ได้คิดใช่ไหมว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ผมเห็นใจท่าน สงสารท่าน และสมน้ำหน้าท่านด้วย พูดอะไรไม่คิดเลย ถ้าท่านบอกว่าท่านจะลงไปแก้ไขที่ระบบพวกนี้ ยังน่าฟังหน่อย ท่านพูดลอยๆ อีก 6 เดือน จบแน่นอน คอลเซ็นเตอร์
“ผมมีลูกน้องคนหนึ่งชื่อ คุณวิเวียน เป็นคนจีน คนเมืองอู๋ซี ทำงานกับผมมายี่สิบกว่าปีแล้ว เพิ่งจะกลับไปเยี่้ยมแม่ที่เมืองจีน เขาเล่าให้ฟังว่า เขานั่งแท็กซี่ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร ขึ้นรถไม่ถึงนาที โชเฟอร์ก็พูดถึงข่าวว่าเมืองไทยไม่ปลอดภัย น่ากลัวมาก โชเฟอร์ยืนยันว่าลูกสาวเพิ่งไปเที่ยวมาเมื่อสองเดือนก่อน ลูกสาวยืนยันว่าจะไม่ไปอีกแล้ว วิเวียนก็เลยบอกว่า อยู่ไทยมาสามสิบกว่าปีแล้ว เพิ่งจะกลับมาที่จีน ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าโชเฟอร์พูดว่าอย่างไร ? มันพูดด้วยน้ำเสียงตกใจเลยว่า พี่หนีกลับมาใช่มั้ย โชคดีนะที่พี่หนีทัน
“คุณอุ๊งอิ๊งครับ คุณภูมิธรรมครับ และท่านนายกฯ ตัวจริงครับ ทักษิณ ชินวัตร ท่านหยุดบ้าบอคอแตกเรื่องเกี่ยวกับเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สักพักได้มั้ย ท่านมาสัมผัสความเป็นจริงหน่อย
“รัฐบาลไทยต้องคุยกับจีน พม่า กองกำลังกะเหรี่ยงที่คุมแถวเมียวดี แม่สอด ฉ่วยก๊กโก ว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปอย่างนี้ไม่ได้ เพราะประเทศไทยได้รับความเสียหาย เสียชื่อ เพราะเท่าที่ทราบ ตรุษจีน คนจีนแคนเซิลทริปไปแสนทริปแล้ว คิดเป็นเงินไทยก็หลักหลายพันล้าน ถ้าพูดไม่รู้เรื่อง ต้องใช้กองกำลังพม่าผสมกองกำลังไทยบีบให้จัดการเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแก๊งค้ามนุษย์ แต่แทนที่รัฐบาลเพื่อไทยจะคุยกับรัฐบาลพม่า พ่อนายกฯ ไทยดันทะลึ่งไปคุยกับชนกลุ่มน้อย สร้างความขัดแย้งและไม่พอใจแก่รัฐบาลพม่า
“เวลาคนจีนนั่งเครื่องมาไทยต้องได้รับการแจกใบปลิว 2-3 หน้า ให้ความรู้เรื่องขบวนการจีนเทาหลอกว่าจะได้เงิน อย่าไปเชื่อ เพราะในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนไม่ค่อยดีเหมือนแต่ก่อน ทำให้คนมีความหวัง มาขุดทองในภูมิภาคนี้มาก แต่หลายคนกลับเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์
“ตำรวจ และ ตม.ต้องจัดการจีนเทาเด็ดขาด จีนเทาอยู่ได้ในประเทศไทยเพราะตำรวจ พวกที่ซื้อบ้านแถวนั้นรอรับแขกแถวชายแดน พวกตำรวจภูธรภาค 6 กับพวกผู้กำกับฯ แม่สอด นั่นล่ะตัวดี” นายสนธิกล่าว