xs
xsm
sm
md
lg

หมอเจดเตือนปวดแสบบริเวณลิ้นปี่อย่านิ่งนอนใจ ระวังอาจเสี่ยงเป็นมะเร็ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นพ.เจษฎ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เตือนมีอาการปวดแสบๆ บริเวณลิ้นปี่ โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร หากอาการมันไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจกลายเป็นมะเร็งได้ แนะรีบตรวจหาเชื้อ

วันนี้ (12 ม.ค.) เพจ “หมอเจด” หรือ นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้โพสต์ระบุข้อความว่า "วันนี้อยากมาเล่าเคสหนึ่งให้ฟัง เป็นเรื่องของชายวัย 45 ปี ผู้ชายคนนี้ทำงานเป็นเซลส์ขายของ วันหนึ่งเขามาพบผมเพราะมีอาการปวดแสบๆ บริเวณลิ้นปี่ โดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร เขาเล่าว่าเคยซื้อยาลดกรดมากินเองอยู่หลายครั้งเพราะคิดว่าเป็นโรคกระเพาะธรรมดา แต่ปัญหาคือ อาการมันไม่หายสักที ซึ่งเรื่องนี้เจอได้บ่อย หลายคนเวลาเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ มักจะซื้อยากินเองเพราะคิดว่ามันแค่โรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน ซึ่งแนะนำว่าถ้าอาการมันไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ หรือปวดบ่อยๆ แบบเรื้อรัง

แนะนำให้ตรวจหาเชื้อที่ชื่อว่า Helicobacter pylori หรือ H. pylori ซึ่งเชื้อตัวนี้เป็นแบคทีเรียที่ชอบอยู่ในกระเพาะอาหาร มันทนกรดได้ดีมาก แถมยังทำลายเยื่อบุผิวกระเพาะ ทำให้เกิดการอักเสบ บางคนอาจมีแผลในกระเพาะ และยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง และถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจกลายเป็นมะเร็งได้ เดี๋ยวนี้มีหลายวิธี เช่น ตรวจลมหายใจ (Urea Breath Test) หรือวิธีง่ายๆ อย่างการตรวจจากอุจจาระด้วยตัวเอง ซึ่งสะดวกและไม่ยุ่งยาก

หลังจากที่เขาตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจก็พบเชื้อ H. pylori จริงๆ ครับ เลยรักษาต่อ โดยการรักษานั้นจะใช้ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) คู่กับยาลดกรดชนิดพิเศษ
ยาฆ่าเชื้อ (Antibiotics) ที่ใช้บ่อยๆ เช่น Amoxicillin และ Clarithromycin สองตัวนี้ช่วยกำจัดเชื้อ H. pylori
ยาลดกรดชนิดพิเศษ เช่น Proton Pump Inhibitors (PPIs) ที่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะ เพื่อให้เยื่อบุฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่ข้อควรระวังคือการกินยาฆ่าเชื้อ ต้องกินตามคำสั่งหมอให้ครบ ถ้ากินไม่ครบ เชื้ออาจดื้อยาและรักษายากขึ้นไปอีก

ถึงเชื้อตัวนี้จะน่ากลัว และทำให้เสี่ยงมะเร็ง แต่มันมีวิธีป้องกันการติดเชื้อ แค่ทำตามนี้นะครับ
ดูแลเรื่องอาหารและน้ำดื่ม
1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และหลีกเลี่ยงอาหารดิบ เช่น ยำที่ไม่ผ่านการปรุงสุก
2. ดื่มน้ำสะอาด หลีกเลี่ยงน้ำดื่มที่ไม่ผ่านการกรองหรือการฆ่าเชื้อ
3. ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน

รักษาสุขอนามัยส่วนตัว
1. ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
2. ใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
3. หลีกเลี่ยงการใช้จานชามหรือแก้วน้ำร่วมกับคนอื่น
หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำร้ายกระเพาะอาหาร
4. งดสูบบุหรี่ เพราะสารพิษในบุหรี่ทำให้เยื่อบุกระเพาะอ่อนแอ
5. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร
6. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด เช่น เผ็ด เค็ม หรือเปรี้ยวเกินไป

ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
7. หากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์และตรวจหาเชื้อ H. pylori

การจัดการความเครียด
1. ความเครียดส่งผลต่อการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เยื่อบุกระเพาะอ่อนแอ
2. หาเวลาพักผ่อนและออกกำลังกายเพื่อคลายเครียด

อาการปวดท้องแสบๆ ที่หลายคนคิดว่าเป็นแค่โรคกระเพาะธรรมดา อาจจะเป็นอะไรที่อันตรายกว่าที่คิด ถ้าเราปล่อยให้เชื้อ H. pylori อยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานานจะเพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีอาการปวดแสบที่ลิ้นปี่ อย่าลืมตรวจหาเชื้อที่พูดมา อีกเรื่องที่สำคัญคือ อย่าลืมป้องกัน และดูแลตัวเองตามที่ผมบอกด้วยนะครับ ใครมีคำถามคอมเมนต์ไว้ได้เลยนะ"


กำลังโหลดความคิดเห็น