อดีตพระพุทธะอิสระโพสต์สั่งสอนแฟนคลับ อ.เบียร์ คนตื่นธรรม หลังไม่พอใจที่บอกว่าปากพล่อย ย้อนถาม เปรียบเทียบพระเถระที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อยกับหมาแมวที่ตาย ถือว่าปากพล่อยไหม อุตส่าห์ชื่นชมว่าเผยแผ่ธรรมะได้ดีกว่า 2 มหาวิทยาลัยสงฆ์ แต่กลับไม่อ่าน มาสำเหนียกแค่คำว่าปากพล่อย
จากกรณีก่อนหน้านี้ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรือเดิมเรียก "พระพุทธะอิสระ" หรือ "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึง อ.เบียร์ คนตื่นธรรม ระบุว่า
"อ.เบียร์แกอย่างน้อยก็ยังมีผลงานการเผยแพร่มากกว่าพวกนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง ที่ใช้งบประมาณหลวงมาเป็นร้อยๆ ปี แต่ไม่มีนิสิตรูปใดหรือคนใดที่เผยแผ่ธรรมจนทำให้ผู้คนสนใจได้เท่ากับ อ.เบียร์ได้เลย แม้ อ.เบียร์แกจะปากพล่อย เจ้าอารมณ์ อวดฉลาด อีโก้มากไปสักหน่อย แต่ก็ทำให้ผู้คนหันมาสนใจ ใส่ใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้มากมาย โดยไม่พึ่งงบประมาณของหน่วยงานใด"
ก่อนที่จะมีแฟนคลับของ อ.เบียร์เข้ามาวิจารณ์อดีต "หลวงปู่พุทธะอิสระ" ว่า "ผมเคารพศรัทธาหลวงปู่เสมอมาครับ แต่ทำไมหลวงปู่ว่าอาจารย์เบียร์ปากพล่อยครับ ผมว่าไม่ใช่นะครับมันไม่น่าใช้กับอาจารย์เบียร์ เขาเป็นคนตรงพูดตรงคิดเร็วพูดเร็ว ใช้คำว่าปากไวดีกว่าครับหลวงปู่ ปากพล่อยไปว่านักการเมืองชั่วๆ ที่พูดทำร้ายบ้านเมืองดีกว่าไหมครับ หลวงปู่ก็รู้ดีว่าปัจจุบันนี้มีนักการเมืองปากพล่อยเต็มบ้านเต็มเมือง ทำแต่เรื่องเลวๆ เพื่อตนเองและพวกพ้อง ส่วนอาจารย์เบียร์ทำเพื่อส่วนรวมและพระพุทธศาสนานะครับ"
ล่าสุดวันนี้ (4 ม.ค.) อดีตพระพุทธะอิสระได้ออกมาโพสต์ข้อความถามกลับแฟนคลับ อ.เบียร์ โดยได้ระบุข้อความว่า
"ฉันเขียนบทความตั้งหลายบรรทัด มีทั้งชมและติ ถึงขนาดเอาผลงานของอาจารย์คุณไปเปรียบกับผลงานของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่ง ว่าอาจารย์ของคุณมีผลงานที่สังคมรับรู้ จับต้องได้ในการเผยแผ่ธรรม แต่คุณก็ไม่อ่าน หรืออ่านแล้วก็ไม่สำเหนียก แล้วก็มาสำเหนียกแค่คำว่า ปากพล่อย หรือคุณคิดว่าอาจารย์ของคุณเป็นผู้บริสุทธิ์ วิเศษดังอรหันต์ ทำ พูด คิด ไม่ผิดพลาดเลยงั้นหรือ
แต่ไม่ว่ายังไงพุทธะอิสระต้องขอขมาอภัยที่เขียนว่าอาจารย์ของคุณว่า ปากพล่อย มันล้วนมีที่มาจากเหตุหลากหลายดังตัวอย่างเช่น สิ่งที่อาจารย์คุณตอบคำถามแก่ผู้ถามว่า มีพระเถระบางรูปตายแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย เช่นนี้ถือว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษใช่หรือไม่ (ถามประมาณนี้)
อาจารย์ของคุณก็ตอบโพล่งออกมาเลยว่า จะวิเศษอะไร หมามันตายแล้วศพยังไม่เน่าก็มี
แล้วคุณคิดว่า ตอบแบบนี้ปากพล่อยไหม?
หากคุณเป็นผู้ที่เคารพ ศรัทธาพระเถระรูปนั้น การที่มีผู้ที่มากล่าวเหยียดหยาม ดูหมิ่น เปรียบเปรยอาจารย์เขา ไม่ต่างอะไรกับหมาแบบนี้ เป็นคุณคุณจะคิดอย่างไร?
มันก็เหมือนกับนักบวชหัวโล้นห่มเหลืองบางคน ที่พูดสอนลูกศิษย์ออกสื่อว่า ถวายข้าวพระพุทธ ได้บุญไม่เท่ากับให้ข้าวให้น้ำหมากิน แบบนี้คนพุทธทั้งโลกเขาจะรู้สึกอย่างไร? เช่นนี้แหละ ที่เขาเรียกว่า ปากพล่อย พูดไม่คิด
ส่วนประเด็นที่พระเถระ มรณภาพ แล้วร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย และมีเหตุการณ์คล้ายๆ กันก็เคยมีมากแล้วในครั้งพุทธกาล เช่น
พระอานนท์เถระ ดำรงอายุสังขารอยู่นานถึง ๑๒๐ ปี พิจารณาเห็นว่าสมควรที่จะปรินิพพานได้แล้ว ท่านจึงเชิญญาติทั้งฝ่ายศากยะและฝ่ายโกลิยะ ไปที่ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ ก่อนที่จะปรินิพพาน ท่านเหาะขึ้นไปบนอากาศได้แสดงธรรมสั่งสอนเทวดาและพระประยูรญาติทั้งสองฝ่าย ตลอดทั้งพุทธบริษัทอื่นๆ เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้วท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า
“เมื่ออาตมานิพพานแล้ว ขอให้อัฐิธาตุของอาตมานี้จงแยกออกเป็น 2 ส่วน จงตกลงที่ฝั่งกรุงกบิลพัสดุ์ ของพระประยูรญาติฝ่ายศากยวงศ์ ส่วนหนึ่ง และจงตกที่ฝั่งกรุงเทวทหะของพระประยูรญาติฝ่ายโกลิยวงศ์ส่วนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้พระประยูรญาติทั้งสองฝ่ายทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งอัฐิธาตุ”
ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน ณ เบื้องบนอากาศ ในท่ามกลางแม่น้ำโรหิณี นั้น เตโชธาตุก็เกิดขึ้น เผาสรีระของท่านเหลือแต่กระดูกและแยกออกเป็น 2 ส่วน แล้วตกลงบนพื้นดินของสองฝั่งแม่น้ำโรหิณีนั้นสมดังที่ท่านอธิษฐานไว้ทุกประการ
อีกสักตัวอย่างหนึ่ง ก็คือ
พระมหากัสสปเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานในการทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง 120 ปี ก่อนที่ท่านจะนิพพาน 1 วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวันเดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอนภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจต่อการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท
แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิตขอให้ภูเขาทั้ง 3 ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง 3 ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น
ท่านยังอธิษฐานขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสดาพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิดขึ้นเผาสรีระของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้านั้น
เหล่านี้คือตัวอย่างของผู้ที่กายไม่เน่า หลังมรณภาพแล้ว ไม่รู้ว่าอาจารย์ของคุณเคยศึกษามาไหม?
พุทธะอิสระ"