เมื่อเวลา 10.56 น. วันที่ 4 ธันวาคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน บางคอแหลม ได้รับแจ้งอุบัติเหตุ เรือชนกันกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงก่อนถึงสะพานกรุงเทพ ทิศทางจาก สน บางคอแหลม มุ่งหน้าสะพานกรุงเทพ จึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมด้วยชุดปฎิบัติการกู้ภัยทางน้ำ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร กรมเจ้าท่า ร่วมตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นช่วงก่อนถึงสะพานกรุงเทพมหานคร พบเรือที่เสียหาย 1 ลำ ชื่อ เจ้าพระยาปริ้นเชส 7 ด้านข้างตัวเรือ และด้านท้ายเสียหาย และอีก 1 ลำ ส่วนเรือลำทีจม 1 ลำ 40 ที่นั่ง ชื่อ เจ้าพระยาปริ้นเชส นอกจากนี้ ยังมีเสียหายอีก 3 ลำ ชื่อเรือ รอเยลปริ้ส และ ไวลออคิต1และ2 รวมทั้งหมด 6 ลำ
ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสสอบถาม นาย ธงชัย ประดิษฐ์ศิลป อายุ 61 ปี คนขับเรือ ได้เล่าว่า ตน บรรทุกถ่าน มุ่งหน้าพระนครศรีอยุธยา เจอกระแสน้ำเชี่ยวแรงและเชือกจูงเรือฝั่งซ้ายเกิดขาด 1 เส้น (ปกติจะมี 2 เส้น) ทำให้ไม่สามารถควบคุมเรือได้ เสียหลักชนเรือที่ยอมรับจอดเรียงกันอยู่ริมแม่น้ำ ตนเองยอมรับว่าดื่มสุรา (ลุงบอกกินตอนจอดเรือ ตอนขับเรือไม่ได้กิน) แต่ตำรวจตรวจแอลกอฮอล์แล้ว ไม่เกินปริมาณที่กำหนด เบื้องต้นตำรวจได้นำตัวมาให้ปากคำเพิ่มเติมที่สน.บางคอแหลม
ทางด้านคนบนเรือ สินค้า นางพิมพิมล ฐานธงชัยสกุล อายุ 61 ปี เล่าว่า เล่าว่าจะหวะลากอยู่นั่น เชือกเรือขาดทำให้เสียหลักทำให้นำตะแคงเข้าเรือพัดไปทางเรือที่เสียหาย ตอนนั่นตนเองอยู่ในครัว ได้ยินเสียตะโกนว่าเชือเรือขาดกำลังชน โดยเรือลากมาจากเกาะสีชัง มุ่งหน้าอำเภอนครหลวง อยุธยา ตนเองมองว่าเป็นอุบัติเหตุ ความรู้สึกก็ตกใจ ใจสั่น นี่คือครั้งแรก ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ส่วนอีกคนที่อยู่บนเรือ คุณเจี๊ยบ คนที่อยู่บนเรือสินค้า บอก เห็นเหตุการณ์ตอนเรือใกล้จะชนกับเรือที่จอดอยู่ริมแม่น้ำ แต่ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากน้ำเชี่ยว เชือกลากจูงก็ขาด ยืนยันไม่มีเหตุไฟไหม้และก๊าซรั่วไหล
ด้านคนเห็นเหตุการณ์ นายฐานพัฒน์ งามไพบูลย์ทรัพย์ ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ตอนเวลาประมาณ 10.00 น. ได้ยินเสียงดังคล้ายเรือชนกันริมแม่น้ำ ตนจึงวิ่งออกมาดู เห็นเรือบรรทุกสินค้าชนกับเรือที่จอดอยู่ริมแม่น้ำประมาณ 5-6 ลำ มีบางลำ ลอยกระเด็นไปชนกับสะพานกลางแม่น้ำ และมีเรือ 1 ลำ ที่จมลงไปในน้ำทั้งลำ เบื้องต้นไม่มีผู้บาดเจ็บเนื่องจากช่วงเวลาเช้ายังไม่มีพนักงานหรือคนมาใช้บริการเรือที่อยู่ริมแม่น้ำ
ด้านชาวบ้านบอก ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดตอนช่วงประมาณ 14.00-15.00 น. คงเป็นเรื่องใหญ่เพราะช่วงนั้นจะเริ่มมีพนักงานขึ้นไปดูแลบนเรือ อีกทั้งคาดการณ์ว่า สาเหตุอาจมาจากช่วงเช้าน้ำค่อนข้างเชี่ยวแรง ทำให้เรือขนส่งสินค้าไม่สามารถบังคับทิศทางได้ จึงเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น