ย้อนวีรกรรม “อ้วน ภูมิธรรม” เอาตัวเข้าแลก รับใช้นายใหญ่ ตีหน้าเศร้าอ้าง “ทักษิณ” ป่วยหนักเอ็นเปื่อยยุ่ย ต้องรักษาตัวที่ชั้น 14 กินข้าวเน่าโชว์ หวังฟอกขาวให้ “ยิ่งลักษณ์” เกียร์ว่างไม่ส่งตัว ส.ส.เพื่อไทยให้ศาลจนคดีตากใบหมดอายุความ เป็นวอลเปเปอร์ให้ “อุ๊งอิ๊ง” พูดมั่วๆ เรื่อง MOU 44
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์เรียกร้องให้ตนนึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการชุมนุม โดยอ้างว่า วันนี้ประชาชนเดือดร้อนค่อนข้างมาก การปิดเมืองหรือการชุมนุมเหมือนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ใครถูกหรือผิดยังไม่ต้องพูดถึงก็ได้ แต่ผลเสียหายกับประเทศชาติมันรุนแรงเหลือเกิน อยากให้คำนึงถึงตรงนี้ไว้มากๆ
นายสนธิกล่าวว่า ตนยังไม่ทันได้ประกาศนัดชุมนุมอะไรเลยก็เริ่มตีตนไปก่อนไข้กันแล้ว ไม่รู้ว่านายภูมิธรรมพูดแบบนี้จงใจหมายความว่าอะไร แต่สังคมน่าจะดูออก อยากให้นายภูมิธรรมย้อนวันที่นำประชาชนในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นายภูมิธรรมกล่าวว่าให้ว่าไปตามกฎหมาย ถ้านายภูมิธรรมเคารพกฎหมายย่อมรู้ว่าศาลพิพากษายกฟ้องการชุมนุมที่สนามบิน
ในทางกลับกัน นายทักษิณ ชินวัตร ถูกระบุในราชกิจจานุเบกษาชัดเจน สารภาพผิดว่าทำผิดอะไรบ้างกับประเทศชาติ ทำความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองจากคดีทุจริต 3 คดี ได้แก่ คดีทุจริตปล่อยกู้ EXIM BANK คดีหวยบนดิน และคดีแก้ไขสัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ปฯ แม้ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี นายทักษิณยังไม่ยอมติดคุกสักวัน ทำไมนายภูมิธรรมไม่พูดถึงบ้าง?
ถ้าคนที่เห็นการทุจริตไม่ออกมาเรียกร้อง ชาติบ้านเมืองจะเสียหายขนาดไหนจากการโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองที่อ้างคะแนนเสียงเลือกตั้งบังหน้า แล้วย่ามใจว่ารัฐบาลมาจากเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้โดยไม่สนว่าจะผิดกฎหมาย
“อ้วน เอ็นเปื่อย” ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเรื่องนายใหญ่ชั้น 14
ที่ผ่านมานายภูมิธรรมรับใช้นายทักษิณตลอดชีวิตแทบจะเอาตัวเข้าแลกสุดลิ่มทิ่มประตู แต่สิ่งที่ทำเหมือนตัวตลก ไม่ว่าจะเป็น
- กรณีที่นายทักษิณไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว ตั้งแต่เดินทางกลับมาประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 แต่ใช้อภิสิทธิ์เดินทางออกจากเรือนจำ ขึ้นไปพักที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ กระทั่งผ่านไป 180 วัน ได้พักการลงโทษ ออกไปพักที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่เข้าเรือนจำ สังคมไม่เชื่อว่าป่วยจริง
- ทีแรกถามถึงท่าทีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของพรรคก้าวไกล ที่ทำให้คนที่อยู่ชั้น 14 จะได้รับอานิสงส์ด้วย นายภูมิธรรมก็ทำไขสือว่า “ท่านทักษิณอยู่ชั้น 14 หรือ ผมไม่ทราบคุณพูดถึงอะไร” ก็ถูกนำไปล้อเลียนทำนองว่า เขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่าชั้น 14 หมายถึงที่ไหน ใครอยู่ที่นั่น มีแต่นายภูมิธรรมคนเดียวที่ไม่รู้
พอนายทักษิณได้รับการพักโทษ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 (หลังจากกลับมาเมืองไทย ต้องโทษจำคุก 1 ปี แต่กลับไม่ได้จำคุกจริงเลยแม้แต่วันเดียว แต่นอนอยู่ห้อง VIP โรงพยาบาลตำรวจราว 5 เดือนเศษ) นายภูมิธรรมก็อ้างว่า “ทักษิณไม่ป่วยจริงได้ยังไง เส้นเอ็นไหล่ขาด คนอายุ 60 ปี ใช้ชีวิตอยู่มานานเส้นเอ็นจะขาด ตัวเองก็เป็น ต้องผ่าตัด มันยุ่ยไปหมด ต้องอยู่โรงพยาบาลห้อยแขน 6-7 เดือนกว่าจะกลับมาได้ และยังบอกว่าคนเจ็บป่วยให้กำลังใจเขาบ้างเถอะ อย่าไปมองแต่เขาจะสร้างภาพ”
“คุณรู้ไหมว่าที่คุณพูด หรือบริวารนายทักษิณพูดว่า นายทักษิณ “เส้นเอ็นเปื่อยยุ่ย” สังคมเขาล้อเลียนแบบคนนินทาหมาดูถูก เพราะอะไร เพราะตอนที่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจใหม่ๆ มีการใส่เฝือกอ่อนที่สังคมเรียกว่าปลอกคอ
“แต่หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ตอนออกจากบ้านไปเชียงใหม่ ก็ใส่ๆ ถอดๆ แล้วตอนไปปล่อยปลา ปลูกต้นรวงผึ้งที่อ่างเก็บน้ำหนองเขียวห้วยหยวก เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 กลับเดินปร๋อ คุกเข่าปลูกต้นไม้ได้คล่องเหมือนไม่ใช่คนป่วย ภายหลังไม่มีแล้ว เฝือกอ่อน ปลอกคอ เหมือนกับว่าคงรำคาญ ก็ทำตัวเหมือนคนปกติ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมามีคนพูดถึงอาการของนายทักษิณ 3 คน แต่ไปกันคนละทิศคนละทาง คนหนึ่งบอกว่า ป่วยวิกฤตจนไม่มีเสียง อีกคนว่ากระดูกหัก อีกคนว่าเอ็นเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว ที่คนไม่เชื่อว่าป่วยจริง เพราะขนาดข้อมูลการรักษาของนายทักษิณ แค่สังคมถามว่าป่วยเป็นอะไรยังไม่เปิดเผย ตามรายงานของกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นอกจากโรงพยาบาลตำรวจจะอ้างว่าเป็นข้อมูลที่ต้องปกปิดเป็นความลับแล้ว นายทักษิณยังเซ็นเอกสารลงวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ไม่ยินยอมให้เปิดเผยข้อมูล ส่งข้อมูล หรือสำเนาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล แต่ความจริงก็ไม่น่าจะต้องทำให้มันลึกลับซับซ้อนจนสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงทุกวันนี้
ทุ่มทุนหม่ำ “ข้าวเน่า” ฟอกขาวให้ “ยิ่งลักษณ์”
เรื่องต่อมาคือการที่นายภูมิธรรมพยายาม “ฟอกขาว” ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าว ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 5 ปีไม่รอลงอาญา ด้วยการนำสื่อมวลชนไปที่โกดังเก็บข้าว 10 ปีที่จังหวัดสุรินทร์ แล้วนำข้าวที่เก็บไว้ 10 ปีมาหุงแล้วโชว์กินต่อหน้าสื่อ กินนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้กินหมดจาน หวังการันตีว่าข้าวเก็บ 10 ปีกินได้ ก่อนเปิดประมูลข้าว 2 โกดังสุดท้าย เหมือนแสดงนัยว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้เกิดความเสียหาย และอาจเป็นการปูทางให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับประเทศไทย ตามรอยพี่ชายนายทักษิณหรือไม่?
ทั้งที่ความจริงโครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหายให้กับวงการข้าวอย่างมหาศาล จากปริมาณข้าวกว่า 44 ล้านตัน มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท แล้วรัฐบาลถัดมา ต้องตั้งงบประมาณเพื่อทยอยใช้หนี้หลายปี ส่วนข้าวที่เก็บไว้นานมีสภาพเหลือง ผ่านการอบยา กำจัดมอดทุก 2 เดือนมาเป็นสิบปี เคยจัดประมูลไปแล้วก็ไม่เอา คนก็เริ่มสงสัยว่าข้าวปลอดภัยหรือไม่ เพราะคนทั่วไปแค่ข้าวเก่าเหม็นสาบก็ไม่กล้ากินแล้ว แต่วันนั้นต้องมีการซาวข้าวถึง 15 น้ำ ถึงจะเอามาหุงได้ !
ด้วยเหตุนี้ สื่อสำนักหนึ่งเอาข้าวไปให้ “อาจารย์อ๊อด” ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ ที่ ม.เกษตรศาสตร์พิสูจน์ ก็พบว่าข้าวดังกล่าวมีสารก่อมะเร็ง ไม่ควรรับประทาน แต่เจอประเด็นการเมืองลุกลาม ทางแล็บของ ดร.วีรชัยเลยประกาศขอยุติตรวจสอบข้าว แล้วต่อมาก็มีสื่ออีกสำนักหนึ่ง (ช่อง 3) เอาข้าวไปตรวจแล้วอ้างว่าไม่พบสารอะฟลาท็อกซิน และสารพิษตกค้างจากการรมควัน ต่อด้วยผลแล็บจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็บอกว่าข้าว 10 ปี ทำความสะอาด เอามอด แมลงออก กินได้ คุณค่าทางโภชนาการไม่ต่างจากข้าวใหม่ นอกจากจะสับสนแล้วสังคมยังไม่เชื่อ
นายภูมิธรรมก็กล่าวว่า “ผมกินก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เอาให้ทุกคนสบายใจและคิดว่าอย่าคิดอะไรมากไปกว่านี้เลย เพราะเอาของที่อยู่ในโกดังซึ่งเป็นของรัฐบาลมาจัดการให้ได้เงินกลับมาให้มากขึ้น อยากให้การประมูลเกิดขึ้น ยังไงก็ดีกว่าตอนประมูล 5 บาทเป็นของเน่า ข้าว 10 ปียังทำได้ก็ต้องกลับไปทบทวนและไปคิดกันใหม่”
ขอถามว่ากินแล้วไม่มีปัญหา กินแค่กี่คำ และที่บอกว่าอย่าคิดอะไรไปมากกว่านี้ ผู้บริโภคเขาคิด เพราะข้าวสภาพแบบนี้ เม็ดเหลืองอ๋อยแบบนี้ คนดีๆ ที่ไหนเขากินกัน?
แต่ที่ตลกยิ่งกว่าก็คือ การประมูลข้าว 10 ปี พบว่าบริษัทที่ให้ราคาสูงสุด 3 รายไม่ผ่านคุณสมบัติ หนึ่งในนั้นเป็นบริษัทเล็กๆ ทุนจดทะเบียนแค่ 2 ล้านบาท แต่ชนะประมูลข้าวไปได้ในมูลค่าเกือบ 300 ล้านบาท พอองค์การคลังสินค้า (อคส.) ไปตรวจสอบเชิงลึกพบว่าทั้ง 3 รายเกี่ยวข้องกับบริษัทที่มีคดีค้างเก่า เคยทำความเสียหายและถูก อคส.ฟ้องในศาลปกครอง คำถามก็คือ จะจัดการประมูลทั้งทีทำไมไม่ตรวจสอบคุณสมบัติตั้งแต่ต้น เอาบริษัทนอมินีที่มีประวัติด่างพร้อยมาแข่งกัน ปาหี่หรือไม่?
ป้องจำเลยคดีตากใบ ถ่วงเรื่องจนหมดอายุความ
เมื่อเร็วๆ นี้ยังมีเรื่องที่ตลกไม่ออก ก็คือ คดีสลายการชุมนุมที่สถานีตำรวจภูธรตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 85 ราย แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะจ่ายเงินเยียวยาไปแล้ว แต่ชาวบ้านในพื้นที่ต้องการหาคนที่รับผิดชอบมาดำเนินคดี ก็ไปฟ้องต่อศาลจังหวัดนราธิวาสให้เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วศาลประทับรับฟ้องพร้อมกับออกหมายจับ หนึ่งในจำเลยก็คือ พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในขณะนั้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 พอศาลประทับรับฟ้องก็หนีคดีไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งที่คดีจะขาดอายุความ
ปรากฏว่า วันที่ 15 ตุลาคม 2567 ก่อนคดีจะหมดอายุความเพียง 10 วัน นายภูมิธรรมก็ออกมาแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล โชว์ใบลาออกของ พล.อ.พิศาล พร้อมกับยิ้มออกมาหน้าชื่นตาบาน เสมือนว่าไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยแล้ว บอกว่า พล.อ.พิศาลได้ส่งตัวแทนมายื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย เหมือนเป็นการไปตบหน้าญาติผู้สูญเสียที่เขาต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม แทนที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะกระตือรือร้น กดดันให้คนในพรรคที่ถูกกล่าวหาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม
ที่ยิ่งตลกไม่ออกก็คือ พอคดีขาดอายุความ วันที่ 25 ตุลาคม 2567 ปรากฏว่าหนึ่งในจำเลยคดีตากใบ อย่าง นายวิษณุ เลิศสงคราม ปลัดอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม กลับโผล่มาทำงานเหมือนเดิม ทั้งที่ก่อนหน้านี้หายตัวไร้ร่องรอยช่วงถูกออกหมายจับ แถมพบว่าขาดราชการแค่ 6 วัน ยังไม่ถึง 15 วัน ไล่ออกไม่ได้อีก
รัฐมนตรีไทย หัวใจเขมร?
มาถึงปัญหาการอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (OCA) ระหว่างไทย-กัมพูชา เพราะปี 2515 กัมพูชาไปขีดเส้นผ่าเกาะกูดออกครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีพระบรมราชโองการของรัชกาลที่ ๙ ในปี 2516 ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย หากมีการเจรจาให้ยึดหลักกฎหมายทะเลสากล แต่ต่อมารัฐบาลทักษิณได้ทำ MOU 2544 เอาไว้ และในปีนี้ นายทักษิณมีแนวคิดที่จะแบ่งผลประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติกับกัมพูชาครึ่งต่อครึ่ง กระทั่งกำลังจะมีการตั้งคณะกรรมการด้านเทคนิค หรือ JTC ขึ้นมา เพื่อจัดสรรผลประโยชน์ร่วมกันทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา
นายภูมิธรรมก็อ้างว่า “MOU 2544 ไม่เกี่ยวกับเกาะกูด ยืนยันเกาะกูดยังเป็นของไทย ไม่ต้องไปเจรจา MOU 2544 ไม่ได้ไปตกลงอะไรกับใคร แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่จบ ยังค้างไว้ แล้วมาคุยกัน ถ้าจะคุยเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล ต้องมาคุยเรื่องดินแดนควบคู่กันไปด้วย
“มีปัญหาว่าเส้นแบ่งเดิมเป็นพื้นที่ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าของเกาะกูดอยู่แล้ว แต่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่เข้าไปอยู่ตามรอยหยักของเกาะ ดังนั้นการพูดคุยที่ค้างอยู่ อยากจะลากเส้นตรงไม่ต้องไปวกเข้าเกาะกูด
“ส่วนข้อเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 2544 นั้น มันจะไปยกเลิกอะไร ยกเลิกสิ่งที่ไม่มี ถ้ายกเลิกว่าไม่ให้เสียเกาะกูด เกาะกูดก็เป็นของไทยอยู่แล้ว จะให้ไปยกเลิกอะไร?”
แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มีข่าวว่านายทักษิณมีดีลลับกับสมเด็จฮุน เซน นายภูมิธรรมกลับมีท่าทีฉุนเฉียว บอกไม่มีดีลลับอะไรทั้งนั้น คนไม่มีบทบาท ไม่มีหน้าที่จะเข้าไปดีลลับได้อย่างไร คณะกรรมการยังไม่ตั้งเลย และยังโต้กลับประชาชนที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า มีไม่กี่ส่วน พูดจนกระทบคนเกาะกูด กระทั่งวันต่อมายังกล่าวว่าการเจรจากับกัมพูชาต้องทำตามกรอบ MOU 2544 อ้างว่าทำให้ข้อขัดแย้งเรื่องดินแดนจบโดยสันติวิธี แต่หากไม่เดินตามกรอบนี้ก็จะเกิดสงคราม
"ที่หนักกว่านี้ คุณภูมิธรรมครับ ในฐานะคุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กลับเป็นวอลเปเปอร์ให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร บอกว่ากองทัพเรือยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย นายกฯ อุ๊งอิ๊งก็กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา เส้นที่กัมพูชาขีด กับเส้นที่ประเทศไทยขีด ไม่เหมือนกัน แต่ที่กัมพูชาขีดไว้อ้อมเกาะกูดเราแล้ว นายภูมิธรรม เสริมว่ามันเป็นขนมครก มันตลกนะ ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่แล้ว คุณภูมิธรรมดูแผนที่แล้ว ไม่รู้สึกตลกเหรอ เกาะกูดอยู่ตรงนี้ เส้นล้อมรอบเกาะกูด นี่มันเป็นการขีดเส้นแบบไหน ในโลกนี้ไม่มีใครเขาขีดกันแบบนี้"
“ที่สำคัญ น่าสงสัยว่าใครสั่งใครสอนท่านนายกฯ อุ๊งอิ๊งพูดแบบนี้ นี่คือวีรกรรมของคุณ คุณภูมิธรรม ผมจับตาดูคุณอยู่ ประชาชนอีกจำนวนไม่น้อยก็จับตาดูคุณอยู่ คุณอายุก็มากแล้วนะ อำนาจที่คุณถืออยู่ ผมไม่เชื่อว่าอยู่ได้นาน เรื่องฝันเฟื่องอยู่ถึง 4 ปี คุณฝันมากเกินไปแล้ว รอคุณลงจากตำแหน่งเมื่อไร แล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่คุณทำเอาไว้ ที่พูดเอาไว้นั้น มันจะย้อนกลับมาหาตัวคุณเองอย่างสาหัสสากรรจ์” นายสนธิกล่าว