xs
xsm
sm
md
lg

“นายกฯ ไอแพด” เสียโอกาสประเทศไทย!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ฉายานายกฯ ไอแพดไม่ได้มาเพราะโชคช่วย “อุ๊งอิ๊ง” ทำขายหน้าประเทศไทย ทั้งบนเวที “ฟอร์บส์” ถามม้าตอบนก พุูดตามที่นึกได้ ไม่สนใจคำถาม เสียโอกาสโชว์ศักยภาพประเทศต่อหน้านักธุรกิจนานาชาติ ย้อนกลับไปเดือน ต.ค.หารือกับ รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ เรื่องความร่วมมือระหว่างกันแต่กลับไปพูดเรื่องน้ำท่วมเชียงใหม่ จนบันทึกการสนทนาต้องวงเล็บว่า inaudible หรือจับความไม่ได้ ส่วน MOU 44 ก็พูดมั่วๆ ตามประสาคนสักแต่พูด



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการ ได้กล่าวถึงการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งที่ผ่านมาตนไม่ค่อยได้พูดถึงเลย วันนี้จึงขอรวบรวมทุกเรื่องมาพูดถึงสักครั้ง ทั้งนี้ ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศ น.ส.แพทองธารก็ได้รับฉายาว่า “นายกฯ ไอแพด” เพราะในการตอบคำถามนักข่าว และสนทนากับแขกบ้านแขกเมืองมักอ่านโพยจากไอแพดอยู่ตลอดเวลา ล่าสุดได้ไปให้สัมภาษณ์บนเวที Forbes Global CEO Conference โดยโชว์ทักษะพูดภาษาอังกฤษ และไม่ได้ใช้ไอแพดเลย แต่กลับเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วบ้านทั่วเมือง


ทั้งนี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567 “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ได้เข้าร่วมเวทีสนทนาของ Forbes Global CEO Conference ณ โรงแรม The Ritz Carlton กรุงเทพ โดยให้สัมภาษณ์แก่ นางมอร์รา ฟอร์บส์ รองประธานบริหาร Forbes Media

นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่นายกฯ จะได้โปรโมตประเทศไทยต่อนักลงทุนต่างชาติหลายร้อยคนที่เข้าร่วมงาน เพราะแต่ละคำถามที่พิธีกรถามนั้นต้องถือว่า "ชงหวาน" คือ คำถามดีมาก ช่วยคนตอบให้โชว์วิสัยทัศน์ แต่ว่า “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” กลับทิ้งโอกาสในการพิสูจน์ภาวะผู้นำของตัวเองไปเสียสิ้น เพราะเธอกลับพูดตามที่อยากจะพูด ไม่ได้ตอบสิ่งที่ผู้บริหารใหญ่จาก Forbes ถาม จนเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย


ยกตัวอย่างความเห็น เช่น

- Thailand deserves better! ประเทศไทยควรจะหาคนที่ดีกว่านี้ได้!

- ฉลาดล้ำ ถามวัว ตอบนก 🤣

- No more trying! She didn’t realize she killed herself by her answers. (อย่าพยายามอีกเลย! เธอไม่รู้ตัวเลยว่าได้ฆ่าตัวเอง ด้วยคำตอบของตัวเอง)

- This is so embarrassing for her, and for Thailand. She's so clearly out of her depth that I wonder if she's genuinely unaware of how ridiculous she sounds (นี่มันน่าอายมากสำหรับเธอและสำหรับประเทศไทย เธอดูไร้ความสามารถอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเธอฟังดูไร้สาระขนาดไหน)

- if she knows she's unqualified but still has to go through with it anyways (in which case it's a pity, yes for her but more for Thai people.) --- ถ้าเธอรู้ว่า เธอไม่มีคุณสมบัติแต่ยังฝืนทำอยู่ (น่าเสียดายสำหรับเธอ และน่าเสียดายสำหรับสำหรับคนไทยมากกว่า)


เหล่านี้คือความคิดเห็นส่วนหนึ่งจากช่องยูทูบ “ไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล” ซึ่งเป็นของรัฐบาลเอง ที่นำคลิปวิดีโอการสัมภาษณ์มาเผยแพร่ โดยภายในระยะเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีคนเข้ามาชมประมาณ 15,000-16,000 ครั้งแต่ความเห็นร้อยละ 99 มีแต่คนแสดงความผิดหวัง หรือกระทั่งก่นด่า


เมื่อลองย้อนดูคลิปการให้สัมภาษณ์ของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” แล้วต้องบอกว่า เหนื่อยจริงๆ ที่จะแปลความ ขนาดใช้ผู้เชี่ยวชาญ ใช้ AI มาช่วยฟัง ช่วยถอดความ ก็ยังจับใจความได้อย่างกระท่อนกระแท่น

ทั้งนี้ ขอย้ำว่าภาษาอังกฤษไม่ใช่ปัญหาของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เพราะพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร เนื่องจากจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ University of Surrey ประเทศอังกฤษ

แต่ว่าปัญหาใหญ่คือ “พูดไม่รู้เรื่อง” จับความแทบไม่ได้ เพราะเธอนึกอะไรได้ก็พูดออกมา เหมือนไม่ได้เรียบเรียงความคิด แต่พูดแบบ beat around the bush หรือ พูดวกไปวนมา ไม่ตรงประเด็น


ยกตัวอย่างเช่น

หนึ่ง

เมื่อพิธีกรถามว่า : จะนำพาประเทศไทยไปข้างหน้ายังไร?

นายกฯ อุ๊งอิ๊งก็เริ่มต้นด้วยการตอบว่า : ตัวเธอเองจะสานต่อนโยบายของอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่จะดึงดูดการลงทุนมายังประเทศไทย เช่น Google และ Microsoft เธอได้พบกับผู้นำประเทศ และ CEOs ของบริษัทต่างๆ และได้รับการตอบรับที่ดี

เธอบอกว่า เคยทำธุรกิจโรงแรมของครอบครัวมาก่อน จึงเข้าใจภาคเอกชนว่า ต้องเผชิญความยุ่งยากในเรื่องของเอกสาร และเรามีคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ที่จะสนับสนุนเรื่องนี้

แต่ที่หลายคนแปลกใจก็คือ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” กลับพูดต่อว่า สิ่งแรกที่ขอกับนักลงทุนต่างชาติ คือขอให้จัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมพนักงานเป็นภาษาไทย เพราะว่าคนไทยพูดภาษาไทย และยังบอกว่าจะปรับปรุงการศึกษาของประเทศไทย จากนั้นยังพยายามเปรียบเทียบด้วยว่าเราไม่สามารถทำเรื่องเรื่องเดียว แล้วจะแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่เราต้องทำหลายๅ อย่าง เหมือนกับการประกอบนาฬิกาหนึ่งเรือน ?!?

สอง

พอพิธีกรถามว่า : แผนเศรษฐกิจ 10 เรื่องที่รัฐบาลเคยแถลงไว้มีอะไรบ้าง?

นายกฯ อุ๊งอิ๊งก็ตอบว่า : ประเทศไทยมีซอฟต์เพาเวอร์ ร่ำรวยวัฒนธรรม อาหารอร่อย รัฐบาลได้เพิ่มวันหยุดสงกรานต์ เพื่อเชื่อมโยงเทศกาลในจังหวัดต่างๆ ให้ต่อเนื่องกัน อุ๊งอิ๊งยังบอกด้วยว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้เพิ่มขึ้น 28%, การลงทุนเพิ่มขึ้น 40% เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี พร้อมย้ำว่า ถ้าการเมืองมีเสถียรภาพ นักลงทุนก็จะมีความมั่นใจ และบอกว่า จะสนับสนุน SMEs ด้วยการให้เงินกู้พิเศษ และปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัย

ประเด็นก็คือ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ไม่ได้ตอบตรงกับคำถามแผนเศรษฐกิจ 10 เรื่องที่รัฐบาลเคยแถลงไว้แต่อย่างใด !?!

สาม

พิธีกรถามว่า : จะทำอย่างไรเพื่อสร้างโมเมนตัมในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และเป็นผู้นำในการคว้าโอกาส ให้กับประเทศไทย?

นายกฯ อุ๊งอิ๊งตอบว่า : โชคดีที่ตัวเองเป็นนายกฯ ผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุด จากนั้นพูดว่า โครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญ แล้วก็พูดเรื่องการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี, แจกเงิน 1 หมื่นบาท และก็วนกลับไปพูดเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ว่ามีคณะกรรมการ 11 สาขา พร้อมกับบอกว่าได้คุยกับ Disney Netflix Amazon ว่าจะเพิ่มส่วนลดเงินสดถ้าหากมาถ่ายภาพยนตร์ในเมืองไทย ซึ่งบริษัทบันเทิงต่างๆ ดีใจมาก ???


สี่

พิธีกรถามว่า : เมื่อมีโอกาสพบกับผู้นำประเทศต่างๆ และ CEOs พวกเขาถามถึงความคาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยอย่างไร?

นายกฯ อุ๊งอิ๊งตอบว่า : คำถามที่ได้รับมากที่สุดคือ พ่อเป็นยังไงบ้าง และต่อมาคือ อาเป็นยังไงบ้าง (Note : เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้จากนายกฯ ไทย พิธีกร มอร์รา ฟอร์บส์ รองประธานบริหาร Forbes Media ถึงกับอึ้ง และบอกว่า “ที่ผ่านมาฉันไม่เคยได้ยินว่ามีการถามแบบนี้เลย”)

หลังจากนั้น “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ก็วกกลับไปพูดเรื่อง ซอฟต์เพาเวอร์ อีก โดยยกตัวอย่างการทำนาฬิกาปาเต๊กฟิลิป ที่ขายและได้กำไรมากมาย แต่ว่างานฝีมือของไทยกลับได้เงินแค่น้อยนิด และบอกว่า เธอสวมใส่ผ้าไทยไปทั่วโลกด้วยความภาคภูมิใจ ผสมผสานผ้าไทยกับแบรนด์เนม เพื่อโปรโมตประเทศไทยตามแบบที่เธอคิด

ห้า


เมื่อพิธีกรถามว่า : หลังจากที่คุยกับว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในเอเชีย แต่ตอนนี้คำถามมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศจีน คุณคิดว่าการกลับมาของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลอย่างไรต่อประเทศไทย

นายกฯ อุ๊งอิ๊งตอบว่า : เมื่อได้พบกับผู้แทนของสหรัฐฯ และจีน เธอจะเน้นย้ำว่าประเทศไทยเป็น “ผู้สนับสนุนที่แข็งขันต่อสันติภาพ และความรุ่งเรืองร่วมกัน” เธอคิดว่าทรัมป์จะมีมุมมองต่อเศรษฐกิจเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย แต่นั่นจะไม่เป็นปัญหา เพราะว่าเราส่งออกไปสหรัฐฯ เพียงแค่ 10% ของ GDP ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิด

นอกจากนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งยังพูดด้วยว่าจะเพิ่มการส่งออก เพราะประเทศไทยมี “วัว” มากมาย และหลายประเทศติดต่อซื้อวัวจากประเทศไทย เธอรู้ว่าผู้คนกังวลเกี่ยวกับนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ว่าเราเพียงแค่ “ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเท่านั้น” ก็พอแล้ว

ซึ่งคำตอบเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ที่ผู้ถามต้องการได้รับคำตอบเลยแม้แต่น้อย !?!

นี่ก็คือตัวอย่างคำถาม-คำตอบบางส่วน ของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บนเวที Forbes Global CEO ซึ่งเมื่อมีการถอดความ และใช้ทักษะของบรรดาผู้สื่อข่าวทั้งในและต่างประเทศมาช่วยจับใจความ เรียบเรียงประเด็นด้วยแล้ว สร้างความงุนงง และผิดหวังให้แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง


ทั้งนี้ จะเห็นได้ชัดว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งๆ ที่ทางฟอร์บส์ได้ส่งแนวทางคำถามให้ล่วงหน้าแล้ว แต่นายกฯ กลับพูดแค่สิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด วนเวียนอยู่แต่เรื่องซอฟต์เพาเวอร์, เสถียรภาพทางการเมือง โดยลืมไปว่ากำลังสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่หาเสียงกับชาวบ้านคนไทย

ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะนายกฯ ไม่เข้าใจนโยบายของรัฐบาลอย่างถ่องแท้ ได้แต่จำสิ่งที่บรรดาทีมงานบรีฟให้ฟัง และยังขาดความรอบรู้ เช่น พอพิธีกรถามถึงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความซับซ้อน เช่น สถานะของประเทศไทยในภูมิภาค หรือความเห็นต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ นายกฯ ก็ถึงกับ “ไปไม่เป็น” เช่น

- บอกว่า ประเทศไทยส่งออกไปสหรัฐฯ เพียงแค่ 10% ของ GDP (ซึ่งถ้า 10% ของ GDP ก็ต้องถือว่าไทยมีการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เยอะมาก)... อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ถูกต้องจริงๆ ก็คือสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย มีมูลค่ามากกว่า 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีที่แล้ว และคิดเป็น 17.2% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย (ไม่ใช่ของ GDP)

- ที่สำคัญคือ นายกฯ อุ๊งอิ๊งยังบอกด้วยว่าจะเพิ่มการส่งออก “วัว” ไปทั่วโลก... ซึ่งตรงนี้บรรดาผู้คนในโลกออนไลน์แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองจนต้องย้อนฟังหลายๆ ครั้ง และพบว่านายกฯ พูดว่า Cows จริงๆ 

- นายกฯ อุ๊งอิ๊งยังบอกด้วยว่า การกลับมาของทรัมป์ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะประเทศไทยเพียงแต่ปรับเปลี่ยนนโยบายแค่นิดหน่อยก็พอ !?!

- นายกฯ วนเวียนอยู่แต่เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวเองริเริ่มขึ้นมา ...แต่นายกฯ รู้หรือไม่ว่าทุกประเทศบนโลกที่มีซอฟต์เพาเวอร์ที่เข้มแข็งจะต้องมี Hard power ที่เข้มแข็งเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ทั้งหมดล้วนแต่สร้างอุตสาหกรรม เร่งพัฒนาเศรษฐกิจ และยกระดับสถานะของประเทศบนเวทีโลกขึ้นมาได้สำเร็จก่อน ถึงจะสร้างซอฟต์เพาเวอร์ ตามมาได้

- นอกจากนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งยังแสดงออกถึงปมในใจเรื่อง “เสถียรภาพทางการเมือง” จนพูดถึงเป็นประจำ ทั้งๆ ที่ช่วงที่พรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตรสูญเสียอำนาจทางการเมืองนั้น ประเทศไทยก็ไม่ได้ “ขาดเสถียรภาพ” ซ้ำยังมีรัฐบาลหลังการรัฐประหารที่แทบจะไม่มีฝ่ายไหนท้าทายเสถียรภาพได้ด้วยซ้ำ แต่ว่าปัญหาของประเทศไทย คือโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนมา 30-40 ปี และศักยภาพการแข่งขันที่ถดถอยลง ไม่ใช่เรื่องเสถียรภาพทางการเมือง


- ส่วนที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งบอกว่าบรรดาผู้นำการเมือง และ CEOs ที่ได้พบ ล้วนแต่ถามว่า “พ่อเป็นยังไงบ้าง, อาเป็นยังไงบ้าง”.....นี่ก็แสดงว่าทั่วทั้งโลกต่างรู้ว่าผู้นำตัวจริงของเมืองไทยไม่ได้ชื่อว่า “แพทองธาร ชินวัตร” !?!

บลิงเคนงง? อุ๊งอิ๊งพล่ามแต่เรื่องน้ำท่วม

นอกจากการสัมภาษณ์ที่ต้องเรียกได้ว่า “น่าอับอายอย่างยิ่ง” ของ “นากยฯ อุ๊งอิ๊ง” บนเวที Forbes Global CEO เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว อีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมากก็คือ การพบปะหารือกับ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิต ที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งนายกฯ อุ๊งอิ๊งเอาแต่พูดเรื่องน้ำท่วม จนนายบลิงเคนงงเป็นไก่ตาแตก


ประเด็นคือ ในบันทึกถอดคำสนทนาอย่างเป็นทางการที่เผยแพร่โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นายบลิงเคนได้พูดถึงความร่วมมือในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ, การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด รวมถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ภาษาอังกฤษเขาว่าอย่างนี้

SECRETARY BLINKEN: - whether it’s dealing with climate change, the clean energy transition, in all of these areas the partnership that we have is really designed to produce results for our people, and that’s what we’re determined to do.
But particularly between us, our countries have such an extraordinary history together, and we simply want to build on that.


แต่ว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งกลับตอบว่า ตอนนี้ภาคเหนือของประเทศไทยมีน้ำท่วมทุกวัน
PRIME MINISTER SHINAWATRA: Yes, indeed. I believe that USA and Thailand has a very long-term good relationship, and of course, like, anything you want to do, and we just can talk and then - but (inaudible) have something together just very, like, future-forward, something like that. And so we can invest or we can just do some project together that can help a lot of people (inaudible). The problem right now that Thailand is facing, the main - the main problem that we - like, in the country, so the north of Thailand is flooding every day.

เมื่อเจอคำตอบแบบนี้ นายบลิงเคนถึงกับ “ไปไม่เป็น” และตัดบทว่า “ไว้คุยกันเรื่องอื่นๆ ในวันหลัง ขอบคุณ”

นอกจากนี้ เมื่ออ่านเนื้อหาคำพูดของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะพูดอะไร จนในบทถอดคำสนทนาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงกับต้องถอดความโดยใส่วงเล็บคำว่า inaudible ซึ่งแปลว่า จับความไม่ได้


ทั้งนี้ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าฝ่ายไทยได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้สหรัฐฯ ลบข้อความ (inaudible) แต่ว่าฝ่ายสหรัฐฯ ไม่ได้ทำตาม เหมือนจะบอกว่า "ก็มันฟังไม่เข้าใจจริงๆ นี่นา"

สำหรับบันทึกคำสนทนาระหว่างนายบลิงเคนกับนายกฯ แพทองธาร มีอยู่ในเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

นายสนธิกล่าวอีกว่า นับจากวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ซึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มาถึงวันนี้ ระยะเวลาผ่านมาประมาณ 3 เดือนครึ่ง ตนพยายามไม่กล่าวออกรายการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวของนายกรัฐมนตรีเท่าใดนัก อย่างมากก็แค่พูดเตือนสติ ทั้งผ่าน “รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือผ่าน “รายการสนธิ เล่าเรื่อง” ว่า จริงๆ เรื่องอายุไม่สำคัญ, นายกฯ จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่สำคัญ เมื่อมานั่งในตำแหน่งนี้แล้วต้องทุ่มเทสุดชีวิต ทำงานเพื่อชาติ เพื่อประชาชน เพื่อส่วนรวม ซึ่งถ้าหากทำงานจริงๆ ก็จะสามารถล้างบาปให้กับพ่อได้


นายสนธิกล่าวว่า ในรายการ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567 ตนประกาศว่า อีกไม่นานจะมีเรื่องใหญ่เทียมฟ้าที่จะทำ ทุกคนก็คิดกันต่างๆ นานา ส่วนใหญ่ก็คิดไปในแนวว่าคงจะลงถนนไล่นายกฯ แต่ในความเป็นจริงวันนั้นตนประกาศว่ามี 3 เรื่องที่จะทำ คือ

หนึ่ง เรื่องขอความเป็นธรรมจากกรณีที่ตนโดนลอบสังหาร เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 โดนยิง 200 นัด บาดเจ็บสาหัส ผ่านมา 15 ปีจะ 16 ปีแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้คดีความไม่ไปไหน

สอง ปัญหาเรื่องแรงงานต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมือง และปริมาณผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่เข้ามาในเมืองไทยเยอะเหลือเกิน และส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อประชาชนคนไทยในทุกๆ ด้าน

สาม จะติดตามการทำงานของนายกฯ แพทองธารตลอดเวลา ถ้าทำถูกต้องจะให้กำลังใจ แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกต้อง มีการฉ้อราษฎร์บังหลวง ที่สำคัญมีการขายชาติ ขายแผ่นดิน ยกเกาะกูด ยกอาณาเขตทางทะเลของไทยให้กับเขมรโดยมีวาระซ่อนเร้น เพื่อแลกกับผลประโยชน์บางสิ่งบางอย่าง

“ซึ่งท่านนายกฯ แพทองธารก็ต้องรู้ว่า ตระกูล "ชินวัตร" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อของท่าน มีความสนิทสนมกับสมเด็จฮุน เซนมาก แล้วเรื่องเกาะกูดกับเรื่องพื้นที่ทับซ้อนในทะเลนั้น มีการคุยกันระหว่างคุณพ่อคุณ กับสมเด็จฮุน เซน และฮุน มาเนต ซึ่งเป็นลูกชายของสมเด็จฮุน เซน ที่เป็นนายกรัฐมนตรีทุกวันนี้


"ตรงนี้ถ้าท่านนายกฯ ไม่ลงมาจัดการ หรือระมัดระวังตัว แล้วเราต้องยกชาติยกแผ่นดิน ยกพื้นที่ให้กับเขมร ขโมยพื้นที่เกาะกูดไป รวมเบ็ดเสร็จ รวมทั้งฉ้อราษฎร์บังหลวง ช่วยเหลือผู้คนในเครือข่ายตัวเอง ผมบอกว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ผมจะขอลงถนนเพื่อที่จะไล่ท่าน

ในช่วงที่ผ่านมาการที่ท่านออกมาแถลงข่าวแล้วแบบพูดมั่วๆ ซั่วๆ ตามประสาสักแต่พูด แต่ไม่ได้ใช้สมองคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ บอกว่า
“จะได้เห็นว่าเส้นปี 2515 ที่กัมพูชาขีด และ 2516 ที่เราขีดไม่เหมือนกัน ทางกัมพูชาขีดเว้นอ้อมเกาะกูดของเราชัดเจน ทางเขาไม่มีปัญหา การที่ไปพูดคุยกันเขาก็พูดเรื่องเดียวว่าคณะกรรมการจะเสร็จเมื่อไหร่ จึงบอกไปว่ากลางเดือนพฤศจิกายน ฉะนั้นเรื่องเกาะกูดไม่มีปัญหาแน่นอน เขาขีดเส้นข้ามไปเลย เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นปัญหาเหมือนกัน ...!?!”

นอกจากนี้ ยังมีความพยายามอธิบายแบบผิดๆ ถูกๆ ต่อด้วยว่า “ทำไมถึงต้องมี MOU 2544 โดยอ้างว่าเพื่อให้รู้ว่าข้อที่ไม่เห็นด้วยให้เอามาคุยกัน ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ถอยเพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งผลประโยชน์กัน ... ก็เอามาแบ่งกัน !?!”"


นายสนธิกล่าวต่อว่า ประเด็นที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้อธิบายไปในงานความจริงมีหนึ่งเดียว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า เรื่องเขตแดน เรื่องพรมแดน เรื่องแผนที่นั้นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คนอย่างนายกรัฐมนตรีจะมาพูดแบบมั่วซั่วไม่ได้ เพราะคำพูดทุกคำ สิ่งที่ให้สัมภาษณ์สื่อ กัมพูชาจะบันทึกเอาไว้หมด และเอาไปอ้างอิงในการต่อสู้ได้

“ด้วยเหตุนี้ ผม อาจารย์ปานเทพ จึงจำเป็นต้องยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ไม่ได้มาชี้แจงนะ แต่กล่าวหาท่าน และรัฐบาลชุดนี้ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเล โดยรอบเกาะกูด จังหวัดตราด หลังจากที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อ้างว่าเกาะกูดยังเป็นของไทย และ MOU ไทย-กัมพูชา 2544 ไม่สามารถถอดถอนได้

ผมขอท้านายภูมิธรรมมาออกรายการโทรทัศน์สาธารณะ ซึ่งฝั่งผม กับอาจารย์ปานเทพ จะอธิบายหรือคัดค้านด้วยหลักฐานและข้อเท็จจริง ซึ่งท่านนายกฯ หรือคุณภูมิธรรม ไม่ต้องมาเองก็ได้ ส่งตัวแทนมาก็ได้ จะส่งเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศปากดี ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงแล้วมาให้ข้อมูลกับท่าน



คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร และคุณอ้วน ภูมิธรรม ถ้าคุณแน่จริง มาเจอ มาดีเบตกัน เพื่อประโยชน์ให้กับคนไทยทุกคนในประเทศนี้ จะได้ประโยชน์ ได้ข้อมูล ได้ข้อเท็จจริง ได้ความกระจ่างอย่างแท้จริง ว่าจริงๆ แล้วถ้าตกลงไปในแนวทางคุณ นั่นคือการยกแผ่นดินไทยให้กับเขมร ใช่หรือเปล่า

อย่าลืมนะครับ วันที่ 9 วันจันทร์ ผม อาจารย์ปานเทพ จะไปยื่นหนังสือกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊ง คุณภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐบาลชุดนี้ กำลังจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งเป็นสิทธิของประเทศไทย ด้วยการไปร่วมมือ สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายเขมร จะไปยื่นที่สำนักงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ ท่านผู้ชมท่านใดจะไปร่วมเป็นสักขีพยานในการยื่นเอกสารประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ไปเจอกันได้ สิบโมงเช้า”
นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น