สถานการณ์การขยายตัวของธุรกิจต่างชาติที่ดำเนินการในรูปแบบที่อาจไม่สอดคล้องกับระเบียบการลงทุนในประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร เช่น ย่านห้วยขวาง รัชดาภิเษก เยาวราช และสัมพันธวงศ์
ปัญหาสำคัญที่พบคือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายผ่านการจัดตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นหรือกรรมการบริษัท ในขณะที่การบริหารจัดการและเงินทุนที่แท้จริงมาจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวพบในหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่การให้บริการด้านการท่องเที่ยว การขนส่ง บริษัทนำเข้า-ส่งออก สถานบันเทิง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ ไปจนถึงร้านค้าปลีกประเภทต่างๆ รวมถึงร้านหนังสือ
จากบทความใน MGR Online* ที่ได้สัมภาษณ์ รศ.ดร.อัทธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ระบุว่า การดำเนินธุรกิจในลักษณะดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยในวงกว้าง เนื่องจากผู้ประกอบการมักใช้วัตถุดิบและแรงงานจากต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ไม่หมุนเวียนในระบบ
เศรษฐกิจไทย อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการแข่งขันทางธุรกิจของผู้ประกอบการท้องถิ่น
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในกรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่ได้แพร่กระจายไปยังเมืองท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ ทั้งพัทยา ภูเก็ต รวมถึงจังหวัดในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่และเชียงราย โดยมีการตรวจพบการจดทะเบียนธุรกิจในลักษณะที่อาจเข้าข่ายการอำพรางความเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสถานการณ์นี้ส่วนหนึ่งมาจากการปราบปรามการทุจริตอย่างเข้มงวดในประเทศต้นทาง ส่งผลให้มีการย้ายฐานการดำเนินธุรกิจมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19
แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง จะมีความพยายามในการตรวจสอบและปราบปรามการดำเนินธุรกิจที่อาจไม่เป็นไปตามกฎระเบียบอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในรูปแบบของการจดทะเบียนธุรกิจที่อาจมีความไม่โปร่งใสในเรื่องความเป็นเจ้าของและแหล่งที่มาของเงินทุน
คำถามที่น่าสนใจคือ หากปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมและการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจของผู้ประกอบการไทย จะลุกลามบานปลายไปถึงจุดใด และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ
*อ้างอิง: https://mgronline.com/specialscoop/detail/9670000077671