xs
xsm
sm
md
lg

“โจ๊ก” ฝันสลาย ศาลปกครองสูงสุดปัดคำร้อง แถมฟ้าเปลี่ยนสีที่ ป.ป.ช.จ่อชี้มูลความผิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความฝัน “โจ๊ก” กลับมานั่ง ผบ.ตร.แทบสูญสลาย หลังศาลปกครองสูงสุดไม่รับคำร้อง คงหาทางฟ้องช่องอื่น สมมติผ่านได้กลับ สตช.ก็ยังมี “บิ๊กต่าย” นั่งเก้าอี้อยู่อีก 2 ปี หลังจากนั้นเลือก ผบ.ตร.ใหม่ “โจ๊ก” ก็หมดสิทธิ์ แม้มีอาวุโสสูงสุด แต่ติดคดีที่ ป.ป.ช.มีปัญหาความเหมาะสม ที่สำคัญ ยุคนี้ ป.ป.ช.ฟ้าเปลี่ยนสี คนใหม่เข้ามาเช็ดล้างภาพลักษณ์เก่าๆ อย่างน้อยคดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ กุเรื่องเช่าพระทิพย์ปกปิดแหล่งที่มาเงิน 11 ล้าน ก็ใกล้ชี้มูล



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีเมื่อวันพุธที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ศาลปกครองสูงสุดมีการนำคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.), นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1-3 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด


ภายหลังการประชุมตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่เข้าร่วมการประชุมส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธที่จะเปิดเผยผลการประชุม โดยให้เหตุผลว่าการประชุมเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ต้องรอให้องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดเจ้าของสำนวนดำเนินการออกเป็นคำสั่ง หรือคำพิพากษาต่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวเท่านั้น

“เท่าที่ผมทราบ องค์คณะเล็กมีมติทั้ง 5 คน ว่าการปลดออกนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะว่าหลักสำคัญที่อ้างคือว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั้นดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่มีอำนาจ เพราะยังไม่ได้เป็นผู้บัญชาการ

“เรื่องนี้ในแวดวงนักกฎหมายเขาหัวเราะกันลั่น ว่าเกิดอะไรขึ้นกับศาลปกครอง แล้วเผอิญมันก็มีข่าวกระฉ่อนเลยทุกวงการ ว่ามีคนทำเงินตก 100 ล้านบ้าง 200 ล้านบ้าง 250 ล้านบ้าง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน แต่มีผลทำให้ท่านประธานศาลปกครองสูงสุดเรียกประชุมองค์คณะใหญ่ทันที และเอาเรื่องที่องค์คณะเล็กพิจารณาแล้วเข้าเลย ก็มีการยืนยันอย่างมั่นคงภายในที่ประชุมศาลปกครองสูงสุดด้วยว่า ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมีมติไม่รับคำร้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล แล้วมิหนำซ้ำ อีกนัยหนึ่งก็คือว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากตำรวจนั้น เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง เพียงแต่ว่ามารยาทของศาลปกครองนั้นจะไม่ออกมาแถลง ต้องให้เจ้าของสำนวนคดีเป็นผู้ออกมาแถลงเองว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง ก็ค่อนข้างจะแน่ชัดแล้ว รอเพียงการแถลงอย่างเป็นทางการขึ้นมาเท่านั้นเอง”
นายสนธิกล่าว


ทั้งนี้ ถือว่าหนทางที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จะได้กลับมาเป็น ผบ.ตร.นั้นยากมากแล้ว แม้แต่สมมติว่าศาลปกครองสูงสุดองค์คณะใหญ่มีมติออกมาอย่างเป็นทางการว่าคุ้มครองตัวเขาก็ตาม หากกลับมาก็มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ หรือ "บิ๊กต่าย" ที่ยังจะเป็น ผบ.ตร.อีก 2 ปี

เมื่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐหมดวาระ การเลือก ผบ.ตร.คนต่อไป แม้จะมีหลักอาวุโสอันดับ 1 ก็คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล แต่ ก.ตร.ใช้เกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ที่ไม่ได้เอาอาวุโสอย่างเดียว


มาตรา 78 การคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77(1)(2)(3)(4)(5)(6) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อพนักงานตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77(1) โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน เพราะตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ต้องการให้การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คำนึงถึงความอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน หมายความว่า ให้น้ำหนักอาวุโส 50% ความรู้ความสามารถ 50%

ก็คือ พ.ร.บ.ตำรวจใหม่ห้อยติ่งไว้ว่า นอกจากอาวุโสก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย การที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล โดนหมายจับ คดียังค้างอยู่ที่ ป.ป.ช. แม้ว่า ป.ป.ช.ยังไม่ขยับอะไร ถือได้ไหมว่ามีตำหนิแล้ว ถึงแม้ว่าอาวุโสอันดับหนึ่ง ก็อาจจะไม่ถูกเลือก เป็นสิทธิ์ของ ก.ตร.ที่จะข้ามไปอาวุโสลำดับที่สอง ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็อาจจะฟ้อง

“แต่ผมคิดว่าการฟ้อง ถ้าเกิดในกรณีแบบนั้นนะ ผมคิดว่าไม่สำเร็จ เพราะว่า พ.ร.บ.ตำรวจชัดเจนนี่ครับ นอกจากอาวุโสแล้ว ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม "เหมาะสม" นี่สำคัญมากนะ คุณเอาตำรวจซึ่งถูกคดีอาญา ถูกหมายจับจากศาล แล้วมีคดีที่อยู่ใน ป.ป.ช. ถึงแม้จะยังไม่มีการชี้มูลว่าผิดหรือไม่ผิด แต่มีการกล่าวหาไปแล้ว ส่งเข้าไปให้ ป.ป.ช.พิจารณา แค่นี้ก็เป็นตำหนิที่สำคัญมากแล้ว คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ (ก.ตร.) ก็ต้องคำนึงถึง "ความเหมาะสม" ตรงนี้ด้วย” นายสนธิกล่าว


นอกจากนี้ ถ้า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้กลับ ตร.จริงก็ไม่มีอำนาจ พวกลูกน้องที่หวังตำแหน่งก็ต้องรอไปอีก 2 ปีจนกว่า ผบ.ตร.คนปัจจุบันจะหมดวาระ และเมื่อมีการเลือก ผบ.ตร.คนต่อไป พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ยังไม่ได้เป็นเพราะยังมีเรื่องถูกร้องอยู่ที่ ป.ป.ช. 3-4 คดี ก็ให้อาวุโสอันดับ 2 ขึ้นมาเป็นก่อน เพราะฉะนั้น ตำรวจสาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ก็จะถูกแช่แข็งต่อไปอีก 2 ปี รวมแล้วถูกแช่แข็งอย่างน้อย 4 ปี

“ตำรวจซึ่งเป็นลูกน้อง สุรเชษฐ์ หักพาล รวมไปถึงสื่อมวลชนที่ยืนข้างสุรเชษฐ์มาตลอด ก็คือคุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ตีปี๊บขยับปีก ดีอกดีใจจังว่านายกูจะกลับมาแล้ว แต่พวกนี้ลืมไปอยู่ 2 อย่าง อย่างแรก คุณกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ท่านเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แน่นอน ในการโยกย้ายตำแหน่งต่างๆ ผมไม่เชื่อว่าเขาจะพิจารณาเด็กของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เป็นกลุ่มแรก เพราะมีคนอีกหลายกลุ่มที่มีคุณสมบัติเหนือกว่า และอาวุโสมากกว่า สรุปง่ายๆ ก็คือเขาจะต้องแช่แข็งเด็กสาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ลูกน้องคุณสุรเชษฐ์ หักพาล ฟังให้ดีๆ นะ 2 ปีนี้เขาต้องแช่แข็งคุณแน่นอน

“และผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าหน่วยงานที่จะต้องรื้อถึงรากถึงโคนเลยก็คือ สตม. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพราะนั่นเป็นฐานอำนาจของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เดี๋ยวนี้ตำรวจนายไหนซึ่งเป็นทีมสุรเชษฐ์ หักพาล นั้น ทุกคนรู้หมดแล้วว่ามีใครบ้าง อย่างน้อยก็มีผู้กำกับฯ โรงพักบางซื่อคนหนึ่งล่ะ ที่เห็นได้ชัด ซึ่งผมทำนายได้เลยว่า
การโยกย้ายแต่งตั้งระดับนครบาลครั้งนี้ไม่รู้จะโดนย้ายไปที่ไหน”


นอกจากนี้ ตัวแปรสำคัญคือ ขณะนี้ฟ้าเปลี่ยนสีที่ ป.ป.ช.แล้ว ประธาน ป.ป.ช.คนเก่าอย่าง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ, นายนิวัติไชย เกษมมงคล อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช.ไม่อยู่แล้ว ขณะที่เลขาธิการ ป.ป.ช.คนใหม่ก็อยู่ฝั่งตรงกันข้าม และถูก พล.ต.อ.วัชรพลกดดันไม่ให้มีงานทำเป็นเวลานานแล้ว คนคนนี้เป็นคนดี ซื่อตรง เป็นลูกหม้อ ป.ป.ช. และรักองค์กร ป.ป.ช. และไม่เกินธันวาคมนี้ก็จะมีการเลือกกรรมการ ป.ป.ช.ใหม่ แทนกรรมการ ป.ป.ช.เก่าหลายคนที่หมดวาระ

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ - นายนิวัติไชย เกษมมงคล
“แล้วท่านผู้ชมไม่คิดหรือว่าคนที่เข้ามาใหม่ ท่านประธาน ป.ป.ช. แล้วคนที่เพิ่งได้รับเลือกแล้วเข้ามา เขาไม่ต้องการจะล้างภาพลักษณ์เลวๆ ของ ป.ป.ช.ออกหรือ เขาต้องการเช็ด ทำความสะอาด ป.ป.ช. และท่านเลขาฯ ป.ป.ช.คนใหม่ ท่านเป็นคนลูกหม้อของ ป.ป.ช. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.คนไหน ส่วนไหนที่เป็นคณะอนุกรรมการคอยพิจารณาเรื่องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แล้วก็เก็บเรื่องเอาไว้ ช่วยเหลือเอาไว้ ผมถามว่าท่านเลขาฯ ป.ป.ช.คนใหม่ ท่านจะไม่รู้หรือว่าเป็นใครบ้าง ท่านรู้ ท่านรู้หมด ผมถึงกล้าพูดว่านี่คือฟ้าเปลี่ยนสี” นายสนธิกล่าว

เมื่อฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ไม่เกิน 2 ปี (2568-2569) จะเริ่มเห็นคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่กระทำความผิด อย่างน้อยที่สุดก็คือการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ กรณีที่อ้างว่าได้ค่านายหน้าจากการแนะนำอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดคนหนึ่งอายุ 90 ปีแล้ว ให้เช่าพระแก่ “เฮียอั๊ง เมืองชล” 11 ล้านบาท เป็นที่มาของเงินซื้อปืน 200 กระบอกมูลค่า 11 ล้านบาทพอดี โดยอดีตผู้ว่าฯ ได้แจ้งความที่ สน.ตลิ่งชันแล้วว่าไม่เคยรู้จัก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่วนเฮียอั๊งก็ไม่ได้สนิท เคยมาขอเช่าพระ 1 องค์มูลค่าหมื่นกว่าบาทเท่านั้น ซึ่งอดีตผู้ว่าฯ ได้ให้การต่อ ป.ป.ช.แล้ว


“คุณสุรเชษฐ์ ไม่เกิน 2 ปีนี้ชีวิตคุณจะเปลี่ยนแปลงไปเยอะเลย เพราะว่าถ้ามีการเอาเรื่องแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จขึ้นมา เพราะว่าได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ใน ป.ป.ช.ปิดบังข้อเท็จจริงและไม่ยอมพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วมีความผิด เขาชี้มูลความผิดเลย เมื่อเขาชี้มูลความผิด ถ้าท่านยังเป็นรอง ผบ.ตร.อยู่ ถูกชี้มูลความผิด ต้องให้ออกจากราชการเช่นกัน

แล้วกระบวนการก็คือว่า เมื่อชี้มูลความผิดแล้ว ก็ส่งไปอัยการ อัยการพิจารณาแล้ว มีข้อมูลข้อเท็จจริง หลักฐานที่ฟ้องได้ ก็จะฟ้อง ถ้าอัยการถูกวิ่งเต้น จะโดยใครก็ตาม ไม่ยอมฟ้อง เรื่องก็กลับไปที่ ป.ป.ช. ป.ป.ช.ก็จำเป็นต้องฟ้องเอง

นี่คือภาพรวมทั้งหมดที่ผมตีแผ่ให้ดู ว่าชีวิตคุณจากนี้ไปไม่ใช่สนุกสนาน คุณฟ้องผม 4-5 คดี เดี๋ยววันหน้าวันหลังผมจะเอาคดีที่คุณฟ้องผมมาว่ามีอะไรบ้าง แล้วคุณจงใจไปฟ้องผมที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณรู้จักกับผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่นหรือเปล่า ไม่เป็นไรครับ หนังเรื่องนี้ยังต้องดูกันอีกยาวนาน แต่อันหนึ่งที่แน่นอน ผมไม่ยอมแพ้คุณหรอก”
นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น