“อัจฉริยะ” บอก “สายหยุด” เลิกเป็นทนายให้ “ตั้ม” เพราะดีเกินไป สิ่งที่เคยทำมาจะด้อยคุณค่า ควรถอนตัวแล้วให้ “เดชา” เป็นแทน หยันพยานเด็ด แค่เห็นแชตแล้วบอกจะพลิกคดีจากหน้ามือเป็นหลังตีน ไม่มีทาง ซัด “ทนายจุ๊กกรู้” สุดมั่ว จะเอาอะไรกับคนแบบนี้ วันที่ทนายตั้มจะถูกออกหมายจับยังบอก “กูกลับข้างดีกว่า”
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 ที่สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 7 จังหวัดสมุทรสงคราม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เข้ายื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้ากรณีอัยการคดีทุจริตภาค 7 นำสำนวนคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ร่วมกับพวกที่เป็นตำรวจ เรียกรับเงินจากนายธีรวัฒน์ บุญรอด หรือออย ผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 400,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถช่วยเหลือให้นายออยได้ลดโทษ ตามมาตรา 100/2 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ. 2522 ได้ โดยการขยายผลไปจับกุมผู้เกี่ยวข้องยาเสพติดรายใหญ่ต่อไป แต่ท้ายที่สุดนายออยก็ไม่ได้รับการลดโทษ
ซึ่งคดีการเรียกรับเงินดังกล่าวพนักงานสอบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง และดำเนินการตามกระบวนการตามกฎหมาย กระทั่งพนักงานสอบสวนสั่งฟ้องคดีไปยังพนักงานอัยการคดีทุจริตภาค 7 แต่อัยการคดีทุจริตภาค 7 ไม่ดำเนินการสั่งคดีแต่อย่างใดจนเวลาผ่านไป 4 ปี อันมีเจตนาส่อไปในทางทุจริต
ภายหลังจากนายอัจฉริยะยื่นหนังสือได้ออกมาให้สัมภาษณ์ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้สื่อข่าวหลายประเด็นด้วยกัน
นายอัจฉริยะกล่าวว่า คดีนี้มีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน มีการสอบพยานหลักฐานอย่างแน่นหนา เพียงพอที่พนักงานอัยการคดีทุจริตภาค 7 จะสั่งคดี แต่ไม่กล้าสั่ง เพราะถ้าสั่งคดีก็ต้องสั่งฟ้องสถานเดียว เนื่องจากมีหลักฐานแน่นหนา แต่ถ้าสั่งไม่ฟ้องตนก็จะฟ้องอัยการผิด ม.157 เขาจึงเอาสำนวนไปซ่อนไว้ดีกว่า เพื่อประวิงเวลา จนกระทั่งตำรวจที่เกี่ยวข้องซึ่งถูกสอบวินัยและถูกไล่ออกจากราชการกำลังทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการอีกเพราะอัยการไม่มีความเห็นทางคดี
“คือต้องเข้าใจว่าพื้นที่ภาค 7 เนี่ยเป็นของตั้มน่ะ ทุกโรงพักในพื้นที่ภาค 7 เนี่ย 80% เป็นของตั้มหมด ที่ตั้มมีอิทธิพลในพื้นที่ภาค 7 นะครับ แล้วก็มีเส้นสายที่เป็นตํารวจระดับผู้ใหญ่ดูแลตั้มในพื้นที่ภาค 7 จํานวนมากนะ โดยเฉพาะ สภ.กระทุ่มแบนเกือบทั้งโรงพักให้การสนับสนุนตั้ม
“ในการตั้งสํานักงานกฎหมายนะครับ ษิทราลอว์เฟิร์มเนี่ยนะ ที่สมัยตั้มเป็นสํานักงานษิทธาเฉยๆ เนี่ย อยู่หน้าโรงพักกระทุ่มแบน แล้วก็ใช้ตัว 100/2 เนี่ยก่อกรรมทำเข็ญกับพี่น้องประชาชนที่เป็นนักโทษยาเสพติดมากกว่า 30 ราย ที่ได้เงินไปมากกว่า 50 ล้านนะ แล้วก็ได้อยู่ 2 ราย นอกนั้นไม่ได้นะ นอกนั้นถูกหลอกหมด” นายอัจฉริยะกล่าว
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า อัยการก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป เมื่อประพฤติไม่ชอบ ตนก็ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญฟ้องอยู่แล้ว ไม่สนใจว่าจะเป็นอัยการ หรือจะเป็นเทวดา ฟ้องหมด
“อัยการที่เป็นข้าราชการของแผ่นดิน เป็นอัยการแผ่นดินคุณต้องรับใช้ประชาชนไม่ใช่รับใช้โจร โจรที่วันนี้เนี่ยนะครับมีการออกหมายจับนะ คดี 39 ล้านอีกแล้วนะ แล้วถามว่าวันนี้คดีทําลายกระบวนการยุติธรรมร้ายแรงเนี่ย คดียาเสพติดเนี่ย แล้วคุณยังจะอุ้มอีกเหรอ”
“ผมไม่ได้อยากเปิดศึกอัยการ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของความอัปยศนะครับ ของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ที่เกี่ยวข้องกับการทําลายกระบวนการยาเสพติด ในการหลอกศาล ในการหลอกอัยการ เอา 100/2 เท็จไปยื่นศาล แล้วธีรวัฒน์ ออย บุญรอด ไม่ได้ (ลดโทษตาม) 100/2 นะครับ แล้วก็เสียเงิน” นายอัจฉริยะกล่าว
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะยังกล่าวถึงทรัพย์สินของทนายตั้ม ว่าไม่ได้มีบ้านหลังที่ถูกอายัดแล้วเพียงหลังเดียว มีอยู่หลายหลัง ตนเคยเข้าบ้านทนายตั้มมาแล้ว รู้ว่า มีบ้านกี่หลัง และทรัพย์สินซ่อนไว้ที่ใคร โยกไปไว้ที่ใคร ซึ่งเป็นคนใกล้ตัวที่เป็นญาติหมด เพราะทนายตั้มไม่ไว้ใจคนนอก
ในส่วนของคดีที่ทนายตั้มถูกนางจตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย ฟ้องข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชาอ้างว่ามีพยานที่จะทำให้ทนายตั้มรอดและจะพาไปให้ตำรวจกองปราบปรามสอบสวนนั้น นายอัจฉริยะกล่าวว่าตนได้บอกนายสายหยุด เพ็งบุญชู แล้ว ให้เลิกเป็นทนายความให้นายษิทรา แล้วให้นายเดชาเป็นแทน
“ให้เลิกเถอะ ผมบอกทนายสายหยุดให้เดชาไปทําเองเลยนะ เพราะว่าเดชาเนี่ย รัชพลเนี่ย รู้ทุกเรื่องนะ ให้เดชากับรัชพลไปเป็นทนายความให้ตั้มดีกว่า เพราะว่าสายหยุดเนี่ยเขาเป็นคนดีเกินไป เป็นคนตรงเกินไป สายหยุดไปทําเนี่ย สิ่งที่ทํามาตลอดชีวิตเขามันก็จะด้อยคุณค่า
“ผมแนะนําไปแล้วว่าน้องถอนตัวไม่สายหรอก เพราะยังไงผมเชื่อว่าทั้ง 71 ล้าน 39 ล้าน หรือ 9 ล้าน หรือตัว 13 ล้าน มันเป็นการฉ้อโกงหมด ไม่ใช่ทํามาเป็นลักษณะของคดีแพ่งนะครับ
“ไอ้แชตไลน์แค่นั้น มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอก มันต้องดูพฤติการณ์แห่งคดีนะครับ การสอบปากคําเนี่ยนะครับ เขาไม่ได้สอบปากคําแค่เพียงแชตนะ เขามีการสอบปากคําพยานบุคคล พยานสิ่งแวดล้อม พยานนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ มาประกอบ ไม่ใช่ว่ามีคนเห็นแชตแล้วจะบอกว่าพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน ไม่ใช่หรอก ผมพูดตรงๆ เลยไม่ใช่
ผมยืนยันว่าผมก็รู้ ไม่ใช่ไม่รู้นะ ดังนั้นผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่ไปดูแชตแล้วก็บอกว่าเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่
เขาก็ต้องเอาของเขามาแหละ วันนั้นผมก็ถามอาจารยยิ่งศักดิ์ว่า อาจารย์ยิ่งศักดิ์เห็นแชตตั้มไหม แกก็บอกว่าพี่จะไปเห็นอะไรวะ ให้ดูพี่ก็ดูไม่รู้เรื่องหรอก”
นายอัจฉริยะกล่าวอีกว่า พยานที่ทนายเดชาอ้างถึง ตนรู้ว่าใคร เป็นคนใกล้ตัวทนายเดชานั่นเอง และจะไม่มีผลต่อคดีเลย
“คือแชตเนี่ย ตํารวจเขาก็มีอยู่แล้ว เอา ผมพูดตรงๆ กองปราบฯ เขาก็มีอยู่แล้ว แชตทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าแชตตั้ม แชตพี่อ้อย มีหมดทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ดังนั้นมันไม่ได้มีผลหรอก เพราะว่าถ้ามีผล ศาลจะออกหมายจับทําไม
คุณจะสู้อะไร คุณจะสู้ว่า หนึ่ง เสน่หาคุณก็ไปไม่ได้แล้ว คุณก็มาสู้เรื่องแพ่งถูกไหม ว่าเป็นการเอาเงินมาลงทุน โดยที่ตั้มเนี่ยเป็นคนลงทุนฝ่ายเดียวนะ มันไม่ใช่น่ะ
เจตนารมณ์ของกฎหมายดูให้ดี ปกปิดข้อความอันเป็นเท็จ ในการหลอกลวงเพื่อวัตถุประสงค์อะไร ต้องการทรัพย์สินของผู้อื่น คุณบอกว่ามีโควตาลอตเตอรี่ มีโควตาลอตเตอรี่ไหม ไม่มี
คุณบอกว่าท่านสมศักดิ์นะ มีโควตาลอตเตอรี่ไหม อย่างนี้ พาไปเจอท่านอนุทินอย่างนี้ แล้วคุณบอกว่าพรรคการเมืองจะให้โควตาลอตเตอรี่ มันก็ไม่มีจริง หรือบุคคลใดก็ตาม ไม่มีจริงอยู่แล้วนะครับ
สอง แพลตฟอร์มก็ไม่มีการจ้างจริง ถูกไหมล่ะ อันนี้คืออะไร มันคือรายละเอียดที่เป็นสาระสําคัญในคดี เป็นรายละเอียดในสาระสําคัญในคดี ที่ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่ว่ามีแชตแล้วก็มาบอกว่าจะพลิกหน้ามือเป็นหลังตีน อย่างนี้ไม่ใช่
ผมยืนยันว่าอาจารย์เดชามั่ว มั่ว” นายอัจฉริยะกล่าวย้ำ
"มันไม่มีหรอกผมพูดตรงๆ เดชามันก็มั่วไปอย่างนั้น ผมเป็นคนบอกมันเอง วันที่มีการจับทนายตั้ม ผมเป็นคนบอกมันเอง ตอนบ่ายโมง ผมโทร.ไปบอก อาจารย์เดี๋ยวเขาจะจับทนายตั้มแล้ว พรุ่งนี้นะ ก่อนจับวันหนึ่งนะ
แล้วอาจารย์เดชาก็อ้างดาว 8 แฉก ว่าโทร.ไปบอกเขาเหมือนกัน แล้วอาจารย์เดชาบอกอย่างนี้ “กูกลับข้างดีกว่า กูเลยมาอยู่ฝั่งตรงข้ามทนายตั้มเลย” เอาอะไรกับคนแบบนี้นะ เอาอะไรกับคนแบบนี้"
"แล้วมาบอกว่าเนี่ย เดี๋ยวจะเอาพยานมายืนยัน เป็นหน้าที่ของเดชาเหรอ เป็นหน้าที่ของสายหยุด สายหยุดเป็นทนายความที่ตั้มแต่งตั้งมา ไม่ใช่เดชา
ผมก็ไม่เข้าใจว่าเดชามายุ่งเกี่ยวในคดี คุณต้องให้เกียรติสายหยุดครับ เพราะสายหยุดเป็นเจ้าของสํานวนคดี โดยมารยาทแล้วต้องให้สายหยุดเป็นคนพาพยานไปให้เจ้าหน้าที่กองปราบปราม เป็นผู้ทําการสอบสวน ไม่ใช่เดชามาออกข่าวนะ ว่าผมจะพาพยานไปให้กองปราบฯ สอบ
แล้วผมถามว่าแล้ววันนี้สายหยุดทําไงอะ เป็นทนายความ แต่มีคนไม่รู้ จะเอาพยานของสายหยุดไปให้กองปราบฯ ทํา มันถูกต้องแล้วเหรอ ผมถามหน่อย ถูกไหม สายหยุดมีหน้าที่เป็นทนายความของตั้ม วันนี้สายหยุดยังไม่รู้เลยว่าจะเอาพยานคนไหนไปสอบ เพราะยังไม่ได้คุยกับตั้มเลย ถูกไหมล่ะ เราต้องดูให้ดีนะ
คือเดชาเนี่ย ผมเห็นมาหลายครั้งแล้ว คือจะเข้ามา เข้ามาแบบนี้ แล้วก็พยายามจะข้ามคนที่เป็นทนายความเจ้าของสํานวนที่เป็นผู้รับผิดชอบ โดยมารยาทเขาไม่ทํากัน ผมยืนยันว่าโดยมารยาทเขาไม่ทํากัน เอาไว้ตั้มตั้งเดชาเป็นทนายความ เดชาจะทําไรจะไม่มีใครว่าเลยนะครับ จะไม่มีใครว่าเดชาเลย” นายอัฉริยะกล่าว
เมื่อถามว่าข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ไม่เคยมีลักษณะนี้มาก่อนเลย ทนายเดชาบอกว่าอาจจะใช้มาต่อสู้ ในที่สุดคดีจะหยุดที่ชั้นพนักงานสอบสวนไม่สั่งฟ้อง นายอัฉริยะกล่าวว่า คดีนี้ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระ แต่เป็นกฎหมายที่จะนํามาใช้กับทนายตั้มเป็นคดีแรกของประเทศไทย ที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ตรงนี้ไม่ได้ฉ้อโกงประชาชน เพราะว่าไม่ได้มีการโฆษณาทางสื่อออนไลน์
“การที่ตํารวจทําคดีนี้เป็นฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ก็ได้มีการปรึกษาทางอัยการ จนกระทั่งมีการเสนอศาลออกหมายจับ หากตัวบทกฎหมายฉบับนี้มันไม่ถูกต้อง หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผมเชื่อว่าท่านองค์คณะผู้พิพากษาคงไม่มีทางที่จะออกหมายจับให้หรอกครับ เพราะมันจะต้องผ่านการกลั่นกรอง ตั้งแต่พนักงานอัยการที่ไปปรึกษาแล้ว จนกระทั่งมีการเสนอต่อศาลไป แล้วศาลก็อนุมัติออกหมายจับแล้ว ตรงนี้ไม่ต้องมาพูดหรอก เพราะว่ามันจบไปแล้ว ทุกอย่างมันจบไปแล้วครับ” นายอัจฉริยะกล่าว