จับพฤติกรรม “ทนายเดชา” ให้ความเห็นคดี “ทนายตั้ม” แบบอีแอบ เลียบๆ เคียงๆ จุดกระแสหาทางรอดให้ “ทนายตั้ม” สุดท้ายก็ยอมรับว่าเป็นคนเล่นพวก ไม่กระทืบพวกเดียวกัน ตอกย้ำจุดยืน พวกพ้องมาก่อนความถูกต้อง แถมด่ากราดสภาทนายความฯ ที่ประกาศจะจัดระเบียบทนายโซเชียลฯ ทนายหิวแสง อ้างพวกตนไม่ใช่แม่ค้าหาบเร่ที่ต้องไปจัดระเบียบ และศาลยังไม่ได้ตัดสิน ไม่มีสิทธิลบชื่อ “ทนายษิทรา”
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ได้ออกมาปกป้องนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ที่ตกเป็นจำเลยในคดีฉ้อโกง “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ โดยไลฟ์สดทางเพจที่ชื่อว่า “ทนายคลายทุกข์” อ้างว่าเป็นการให้ความรู้ทางกฎหมาย แต่แฝงไว้ด้วยการปกป้องทนายตั้มว่าไม่มีความผิด
ทั้งนี้ ในช่วงแรกๆ ที่มีข่าวทนายตั้มถูก “พี่อ้อย” แจ้งความดำเนินคดี ทนายเดชา หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่า “ทนายจุ๊กกรู๊” ได้โพสต์ข้อความทำนองว่าคดีพี่อ้อย “ผมบอกทนายตั้มไปแล้วว่า สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพพอประมาณ” ทำนองว่า เรื่องนี้ “ทนายตั้ม” แพ้แน่ๆ
อีกวันก็ออกมาแอ็กท่ากับทนายรุ่นน้องก๊วนเดียวกัน “ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์” ทำไม้ทำมือเป็นรูปกากบาทให้นักข่าวถ่ายรูป ทำนองว่า เรื่องคดีฉ้อโกง “ทนายตั้ม ษิทรา” กับ “พี่อ้อย จตุพร” นั้นตัวเองจะไม่ยุ่งเกี่ยว นักข่าวอย่ามาถาม
ถัดมาอีกวันก็ออกมาพูดกับรายการโทรทัศน์รายการโน้นนี้ว่าได้คุยกับทนายตั้มตลอด เพราะสนิทกัน ไปเที่ยวเล่น กินไวน์ด้วยกัน พร้อมบอกว่าทางทนายตั้มตั้งทีมกฎหมายมาสู้คดีเรียบร้อยแล้ว ไม่หวั่นเกรงต่อข้อกล่าวหา โดยข้อต่อสู้ “ทนายตั้ม” นั้นไม่แน่ว่าจะแพ้ เป็นอย่างนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ ... แล้วก็อ้างว่าที่พูดนี่ “ไม่ได้ชี้นำสังคม” แต่ “เป็นการให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน”
“แต่เผอิญประชาชนกับคนที่ได้ฟัง ผมดูแล้ว 90-95% ที่ติดตามข่าวเรื่องนี้มาตลอด เขากินข้าว เขาไม่ได้กินหญ้า เขาไม่ได้โง่ ไม่ได้ถูก “ทนายจุ๊กกรู้” นี้จูงจมูก หรือ ชักนำได้ง่ายๆ เขาก็ออกมาทักท้วง ยกตัวอย่างเช่น ว่า
- ทนายคลายทุกข์, ทนายเพื่อประชาชนไม่มีจริง … ของจริง คือ ทนายเพื่อ …
- ผมให้ความรู้ทนายครับ เงินที่โอนให้ไปลงทุน การลงทุนไม่ได้ใช้เวลาแค่วันเดียว และเขาเชื่อว่าการลงทุนดำเนินการอยู่แต่มารู้ทีหลังว่าถูกฉ้อโกง ...ผมไม่ต้องอ่านก็รู้กฎหมายได้ ไม่ต้องรู้มาตราก็ได้
- ตอนแรกชื่นชอบพี่เด มาดูคลิปนี้ หมดศรัทธาเลย
- พูดไปพูดมาช่วยเพื่อนกันเอง พยายามงัดกฎหมายมาแก้ต่างให้กัน
- จบแล้วครับ ... ทนายสายโจรมันช่วยหาทางออกกันเอง 555 ... ผมไม่ได้เอ่ยชื่อใครนะ อย่าร้อนตัวนะครับ 555
- ถ้าพี่อ้อยจ้างพี่เดเป็นทนาย พี่เดจะพูดอีกอย่าง
“เพราะฉะนั้น แม้ “คุณเดชา” หรือ “ทนายจุ๊กกรู๊” ปากจะพูดปาวๆ บอกว่าแค่ให้ความรู้ด้านกฎหมายธรรมดาทั่วไป แต่เนื้อแท้แล้วก็คือการสอดแทรกการเชียร์ “ทนายตั้ม ษิทรา” แบบไม่แคร์ข้อเท็จจริง ด้วยเหตุนี้ กระแสเสียงในโลกโซเชียลจึงเริ่มก่อตัวเข้าไปตั้งคำถามกับจุดยืนของ “ทนายเดชา” ว่าทำไม ทนายอาวุโส อายุ 60 กว่า อ้างว่ามีประสบการณ์ในการว่าความมามากกว่า 20-30 ปี เป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้านกฎหมาย ออกสื่อ ออกโทรทัศน์ช่องโน้นช่องนี้ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้?!?
หลายคนถึงกับบอกว่า “ทนาย” อย่างนี้น่ากลัว และเป็นภัยต่อสังคมอย่างมาก เพราะสามารถ “พลิกขาวให้เป็นดำ-พลิกดำให้เป็นขาว” ได้อย่างง่ายๆ
ด้วยเหตุนี้เมื่อวันจันทร์ (4 พ.ย.) ที่ผ่านมา ผมซึ่งเห็นได้ชัดว่านายเดชาคนนี้พยายามช่วยเหลือ “ทนายตั้ม” ในคดีฉ้อโกง “พี่อ้อย จตุพร” ก็เลยออกรายการสนธิเล่าเรื่อง ไลฟ์สดเตือนถึงพฤติกรรมของคุณเดชาว่า การกระทำของคุณนั้นมันไม่ถูกต้อง
ซึ่งผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน เพราะรายการสนธิเล่าเรื่องเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้นทำสถิติหลายอย่าง คือ
- มีคนเข้ามาชมไลฟ์สดพร้อมๆ กันมากกว่า 35,000 คน
- ภายในเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้น ก็มีคนเข้ามาชมในยูทูบแล้วเกือบ 600,000 ครั้ง
- มีคอมเมนต์หรือความเห็นเข้ามาถล่มคุณเดชามากกว่า 2,300 ความเห็น ซึ่งนับว่าเป็นไฟล์สนธิเล่าเรื่องที่คนดูมาก และแสดงความเห็นมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ยกความเห็นบางส่วน คุณเดชาอาจจะรู้ตัวแล้ว หรือไม่รู้ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของคุณ แต่เขาว่ากันอย่างนี้ครับ
คุณสาโรช เชิดชูวงศ์สันติ - จริงครับผมได้ยินเดชาพูดหลายรอบแล้วว่า ถ้าผิดหมายจับน่าจะออกตั้งนานแล้ว และชอบพูดอีกว่า "ตั้ม" เขามีหลักฐานที่ใช้สู้คดี และก็ทนายพร้อมสู้อยู่แล้ว แต่ผมไม่ใช่ทนายเยา (พูดเหมือน เห็นหลักฐานแล้วมั่นใจว่า ตั้มจะรอด)
คุณฮัน ดิเรกศิลป์ - ขอบคุณที่ตอกหน้าทนายเดชา เหม็นหน้าเหมือนกันครับ ความรู้สึกก็เหมือนลุงเลย สัญชาตญาณความดีมันบอกครับ
คุณอนันต์ บรรจงสวัสดิ์ - คลิปนี้ถูกใจผมจริงๆ ทนายจุ๊กกรู๊ได้ฟังแล้วจะหนาว ขอบคุณคุณสนธิมากๆ เลยครับ ที่จะช่วยปิดปากจุ๊กกรู๊เสียที
คุณยุดา กนก - ท่านลุงสนธิพูดถึงทนายเดชา ถูกทุกประการครับ
คุณเท็ด พุทธี - ขอบคุณคุณสนธิมากเลยครับที่ออกมาพูดความจริงเกี่ยวกับ โจรที่มาเป็นทนาย และสหายจุ๊กกรู ดีครับช่วยสั่งสอนให้พวกนี้รู้ดีรู้ชอบบ้าง
คุณสุดสงวน - คิดอยู่แล้วว่ามันพวกกัน พวกทนายหากิน หิวแสง ทำกันเป็นทีม หลายปีแล้วนะ เพราะเราติดตามมานาน ได้แต่ งง!!!
คุณจินตนา ศิริไพบูลย์ - คุณสนธิคะ ถ้าไม่มีสื่ออย่างคุณสนธิ พวกโจรในคราบนักกฎหมายคงทำงานเป็นแก๊งมาเฟียครองบ้านครองเมืองแน่ ดิฉันได้แต่กราบขอบพระคุณคุณสนธิและทีมงานที่ยึดหลักความถูกเพื่อสังคม และเป็นเสาหลักของความถูกต้อง
คุณสุปราณี - ถูกใจจริงๆ กับคำพูดคำวิจารณ์ของลุงสนธิ...สภาทนายความ...ยุคนี้เป็นยุคเสื่อมเอามากๆ ค่ะ
กลับมาถึงเรื่องพฤติกรรมของ “ทนายเดชา” ที่แสดงความเห็นต่อคดีของ “ทนายตั้ม” นั่นก็คือมาในรูปแบบอีแอบ ค่อยๆ ตอด เลียบๆ เคียงๆ จุดกระแส พยายามจะหาทางรอดให้ “ทนายตั้ม” ไม่ว่าจะเป็นประเด็น เช่น
- ถ้าผิดจริง ตำรวจก็น่าจะออกหมายจับตั้งนานแล้ว ไม่ใช่สอบ “พี่อ้อย” ตั้ง 3-4 รอบ แต่ไม่ออกหมายจับ “ทนายตั้ม” เสียที
- อ้างเรื่องแชตส่วนตัวระหว่าง “ทนายตั้ม” กับ “พี่อ้อย” ว่าให้โดยเสน่หาจริงๆ (เหมือนกับที่ทนายตั้มอ้างผ่านสื่อมาตลอด)
- อ้างว่าคดีอาจจะหมดอายุความ โดยอ้างว่าเจ้าทุกข์ต้องแจ้งความภายใน 3 เดือน ขณะที่คดีนี้พี่อ้อยโอนเงินให้ทนายตั้มไปตั้งแต่ต้นปี 2566 เท่ากับขาดอายุความ ทั้งที่ความรู้ทางกฎหมายระดับเบสิก ใครก็รู้ทั้งนั้นว่าภายใน 3 เดือนที่ว่านั้น คือ 3 เดือนนับจากรู้ตัวว่าถูกโกง ไม่ใช่ 3 เดือนนับจากวันโอนเงิน
- อ้างว่าตอน “พี่อ้อย” ยื่นโนติสให้ “ทนายตั้ม” ไม่ได้ระบุว่า “ฉ้อโกง” ดังนั้นคดีไม่ได้เริ่มต้นที่ “ฉ้อโกง” แต่เป็น “ยักยอก” หรือเปล่า?
- การไปแจ้งความที่ สภ.ปากช่อง กับเมื่อคดีกองปราบฯ นั้น “พี่อ้อย” ให้การขัดกันเองหรือไม่
เมื่อ “ทนายเดชา” ออกมาแสดงจุดยืน แสดงท่าทีชัดเจนอย่างนี้ แม้จะอ้างว่าเป็น “การให้ความรู้” ก็เป็นเรื่องที่ผมไม่อาจรับได้อีกต่อไป จึงพูดเตือนสติทนายเดชาว่า คนเป็นทนายความควรจะ “เห็นใจผู้เสียหาย” ที่ถูกกระทำ มากกว่าไป “เห็นใจคนกระทำ”
นอกจากนี้ผมยังรู้สึกงุนงง สงสัยด้วยว่า ทำไม “คนจบเนติบัณฑิต” ถึงตีความกฎหมายออกมาได้ห่วยแตกเช่นนั้น โดยในรายการเมื่อวันจันทร์ผมยังบอกด้วยว่า ถ้าหาก “ทนายเดชา” ไม่พอใจที่ผมพูด จะฟ้องหมิ่นประมาทก็เชิญเลยตามสบาย แต่ปรากฏว่าคุณเดชากลับออกมาชี้แจงว่าไม่คิดจะฟ้องผม แต่อ้างว่าแค่แสดงความเห็นต่างจากคนอื่น เพราะเขาเป็นคนเล่นพวก ไม่กระทืบพวกเดียวกัน ซึ่งคำตอบนี้ของ คุณเดชาตอกย้ำจุดยืนชัดเลยว่า พวกพ้องต้องมาก่อนความถูกต้องชอบธรรม!?!
ประเด็น : จริงๆ สาระสำคัญในกรณีของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ซึ่งประกอบวิชาชีพเป็น “ทนายความ” กับ “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ ซึ่งเป็น “ลูกความ” นั้น สิ่งที่ผมพยายามชี้ให้เห็นพฤติกรรมของคนที่อ้างตัวว่าเป็น “ทนาย” กลับประพฤติตัวราวกับเป็น “โจร” หลอกลวงฉ้อฉล ฉ้อโกง “ลูกความ” อย่างร้ายแรงที่สุด เพราะฉะนั้น พฤติกรรมของ “ทนายความ” อย่าง “ทนายตั้ม ษิทรา” นั้นจึงกล่าวได้เลยว่า เป็นภัยสังคมร้ายแรง ที่ต้องกำจัดออกไป ไม่ให้มีที่ยืนในสังคมนี้
ทว่า “นายเดชา” กลับประพฤติตัวเป็นผู้เป็น “มิตรแท้ของโจร” ไม่มีจิตสำนึกของความเป็นทนายเลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่พฤติกรรม และเรื่องราวที่เป็นคดีความต่างๆ ของ “นายษิทรา” นั้นชัดเจนว่าผิดกฎหมายถึงขั้นฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ผิดศีลธรรม และขัดต่อมรรยาททนายความอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็น
มรรยาททนายความข้อ 14
“ได้รับเป็นทนายความแล้ว ภายหลังใช้อุบายด้วยประการใดๆ โดยปราศจากเหตุผลอันสมควร เพื่อจะให้ตนได้รับประโยชน์นอกเหนือจากที่ลูกความได้ตกลงสัญญาให้”
มรรยาททนายความข้อ 15
“กระทำการใดอันเป็นการฉ้อโกง ยักยอก หรือตระบัดสินลูกความ หรือครอบครอง หรือหน่วงเหนี่ยวเงินหรือทรัพย์สินของลูกความที่ตนได้รับมาโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องไว้นานเกินกว่าเหตุ โดยมิได้รับความยินยอมจากลูกความ เว้นแต่จะมีเหตุอันควร”
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงกระทำผิดต่อมรรยาทในข้อ 13 อีกด้วย ที่ระบุว่า
“ได้รับปรึกษาหารือ หรือได้รู้เรื่องกรณีแห่งคดีใดโดยหน้าที่อันเกี่ยวข้องกับคู่ความฝ่ายหนึ่ง แล้วภายหลังไปรับเป็นทนายความหรือใช้ความรู้ที่ได้มานั้นช่วยเหลือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นปรปักษ์อยู่ในกรณีเดียวกัน”
ข้อนี้คือข้อที่ครูปรีชาเจ็บปวดหัวใจ เพราะว่าถูกทนายตั้มหลอกว่าตัวเองเป็นดีเอสไอ เข้าไปหา แล้วขอดูโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ดูข้อความแชตต่างๆ เลยทำให้ทนายตั้มรับรู้ว่าคำให้การของครูปรีชาที่ให้ต่อตำรวจนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็เอาอันนี้ล่ะไปให้ ร.ต.ท.จรูญ เพื่อรับว่าความให้เขา
โดยมรรยาททนายความข้อ 13 นี้ หลังมีกรณีของ “พี่อ้อย จตุพร” แดงออกมาเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว ก็มีผู้ที่เคยถูก “ทนายตั้ม” กระทำอย่าง "ปอ" ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ กับ "แซน" วิศาพัช มโนมัยรัตน์ ที่ออกมาเปิดโปงถึงพฤติกรรมของ “ทนายตั้ม” เมื่อหลายปีก่อนตอนเกิดคดีการเสียชีวิตของ ดาราสาวคือ “แตงโม” นิดา พัชรวีระพงษ์
ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้ “ทนายเดชา” จะรู้อยู่แก่ใจว่า “ทนายรุ่นน้องคู่ซี้” อย่าง “ทนายตั้ม” ใช้วิชาชีพทนายไปดำเนินการในทางที่ผิด ผิดทั้งกฎหมาย ผิดทั้งศีลธรรม ผิดทั้งมรรยาททนายความอย่างร้ายแรง จนถึงขั้นสมควรที่จะถูกดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด แต่ “ทนายเดชา” ก็ยังสนุกกับการเล่นลิ้น พลิกโวหารไปมา โดยอ้างหน้าด้านๆ ว่า เป็นการสอนข้อกฎหมาย ให้ความรู้แก่ประชาชน ทั้งๆ ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย
คดี “ทนายตั้ม” เทียบกับ ท่าน ว. กรณี ดิ ไอคอน
ความพยายามวางตัวเป็นกลาง กล๊าง กลาง ด้วยการให้ความรู้ทางกฎหมายเอียงข้างทนายรุ่นน้องของ “นายเดชา” ใน “คดีทนายตั้ม” นั้นช่างแตกต่างมากกับลีลาการรุกไล่บดขยี้ ท่าน ว. วชิรเมธี พระนักเทศน์ชื่อดังเมื่อเดือนก่อน
โดยในตอนนั้น “นายเดชา” รีบส่งทีมงานแบบด่วนจี๋ ไปแจ้งความดำเนินคดีท่าน ว. ข้อหาสนับสนุนการฉ้อโกงประชาชน อ้างถึงหลักฐานคลิปการเทศนา ขณะได้รับนิมนต์จากดิ ไอคอน ทั้งที่แค่คลิปหลักฐานนั้น ยังไม่เคลียร์ว่า ท่าน ว. กระทำผิดกฎหมายจริง ยังต้องตรวจสอบให้รอบด้าน เสียก่อน
ตรงนี้จึงมีการวิจารณ์ว่า นายเดชาหมิ่นเหม่ต่อการทำผิดมรรยาททนายความ ข้อที่ 9 โทษฐาน “ยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกัน ในกรณีอันหามูลมิได้” หรือไม่? เพราะมุมมองของนายเดชาคงคิดว่า งานนี้ต้องจัดหนัก ไม่ให้ท่าน ว. วชิรเมธี มีที่ยืน เหมือนสร้างภาพว่าตัวเองเป็น “นักกฎหมายตงฉิน”
ทว่าคล้อยหลังไม่กี่วัน พอมีคดีฉ้อโกง “พี่อ้อย จตุพร” จากฝีมือทนายรุ่นน้องทีมเดียวกัน อย่าง “ทนายตั้ม” ซึ่งรูปคดีชัดแจ้งแดงแจ๋ยิ่งกว่ากรณีของ พระ ว.ร้อยเท่า คนทั้งประเทศมองเห็นถึงเล่ห์ฉ้อฉลของโจรที่เป็นทนาย แต่ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ กลับขยันตีความกฎหมายให้เข้าทางโจรเสียอย่างนั้น!?!
ถึงเวลา “สภาทนายความ” เช็กบิล ล้างบาง “ทนายหิวแสง-โจรในคราบทนาย”
แล้วท่านผู้ชมทราบไหมครับ ความกลับไปกลับมา และความย้อนแย้ง สองมาตรฐานของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ทนายอาวุโส” ประสบการณ์หลายสิบปีอย่างคนที่ชื่อ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ นั้นแสดงออกมา และเผยไต๋ให้เห็นได้อย่างชัดเจนนั้นทำไปเพื่ออะไร?
คำตอบก็คือ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ตอน “ทนายเดชา” ออกรายการถกไม่เถียงทางช่อง 7 กับ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ แล้วกล่าวชัดเจนไปถึง “สภาทนายความ” ที่แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะออกมาจัดการและจัดระเบียบทนายโซเชียลฯ และแก๊งทนายที่ทำตัวเป็นดารา เป็นมาเฟีย แต่เบื้องหลังเน่าเฟะ ทุเรศทุรังอย่างยิ่ง อย่างที่พวกเรากำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ เพื่อรักษาองค์กรสำคัญอย่างสภาทนายความให้สามารถยังได้รับความไว้วางใจ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ต่อไป
เพราะในรายการวันศุกร์ที่แล้วผมบอกล่วงหน้าไปแล้วว่าผมจะไปยื่นเรื่องต่อ “คณะกรรมการสภาทนายความ” ชุดปัจจุบันให้ถอดถอน “ตั๋วทนาย” หรือใบอนุญาตเป็นทนายความของ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมาย และละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายๆ ประเด็นด้วยกัน แม้อาจจะไม่ทันในสัปดาห์นี้ แต่ผมจะไปยื่นเรื่องนายษิทราต่อสภาทนายความด้วยตัวเองเร็วๆ นี้อย่างแน่นอนครับ
ซึ่งการยื่นเรื่องของผมก็จะไปสอดคล้องกับการที่ ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2567 ว่ากำลังประสานความร่วมมือกับประธานกรรมการมรรยาท สภาทนายความ เพื่อตรวจสอบเอาผิดทนายความที่ประพฤติผิดมรรยาทอย่างจริงจัง และเร่งรัดการพิจารณาคดีมรรยาทที่ทนายโซเชียลได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงขององค์กร และสมาชิกทนายความส่วนใหญ่ หากมีข้อเท็จจริงปรากฏตามสื่อต่างๆ สามารถที่จะหยิบยกนำมาเป็นคดีมรรยาทได้ทันที เพราะเป็นเรื่องที่ความปรากฏอย่างชัดแจ้ง
ดร.วิเชียร นายกสภาทนายความ กล่าวด้วยว่า ในการพิจารณาคดีมรรยาท ในเบื้องต้นนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานกรรมการมรรยาท และกรรมการมรรยาทสภาทนายความ เมื่อคณะกรรมการมรรยาทพิจารณาคดีแล้วเสร็จ จึงจะส่งสำนวนคดีมรรยาทให้แก่ “นายกสภาทนายความ” เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสภาทนายความพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่ง คณะกรรมการบริหารสภาทนายความมีอำนาจในการที่จะทำคำสั่ง หรือคำวินิจฉัย โดยมีอำนาจอิสระที่จะจำหน่ายคดี ยกข้อกล่าวหา ลดโทษ หรือเพิ่มโทษได้ด้วย
ทั้งนี้ เมื่อมีการพิจารณาคดีเสร็จ นายกสภาทนายความจะส่งเรื่องคืนไปยังประธานกรรมการมรรยาท เพื่อแจ้งให้คู่กรณีได้รับทราบผลคดี และเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ประธาน กรรมการมรรยาท จะแจ้งคำสั่งลงโทษนั้นไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม และเนติบัณฑิตยสภา เพื่อทราบต่อไป โดย โทษที่จะลงแก่ทนายความที่ประพฤติผิดมรรยาททนายความนั้นมีอยู่ 3 ประการ คือ
1. ภาคทัณฑ์
2. ห้ามการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี
3. ลบชื่อจากทะเบียนทนายความ
กรณีถุงขนมของคุณพิชิต ชื่นบาน นั้น สภาทนายความได้ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
นอกจากนี้ ดร.วิเชียรยังกล่าวด้วยว่า หากทนายความคนใดได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยักยอก ฉ้อโกง หรือตระบัดสินลูกความ หรือประกอบอาชีพ ดำเนิน หรือประพฤติตนอันเป็นการฝ่าฝืนต่อศีลธรรมอันดี หรือเป็นการเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีและเกียรติคุณของทนายความ ถือว่าเป็นเหตุที่จะทำการลบชื่อจากทะเบียนทนายความได้
รวมถึงการเสี้ยมสอนให้พยานเบิกความเท็จ หรือทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ การอวดอ้างว่าตนเองเก่งกว่าทนายคนอื่น หรือ อวดอ้างว่ามีพรรคพวกรู้จักคุ้นเคยกับผู้ใดอันกระทำให้ลูกความหลงเชื่อว่าตนสามารถทำให้ลูกความได้รับประโยชน์พิเศษนอกจากทางว่าความ หรือจะชักจูงใจผู้นั้นช่วยเหลือทางคดีได้ หรือแอบอ้างขู่ว่าถ้าไม่ให้ตนทำคดีนั้นแล้วจะหาทางให้ผู้นั้นทำให้คดีลูกความแพ้ หรือการเรียกรับเงินไปวิ่งเต้นคดี การแย่งคดี หรือจงใจขาดนัดหรือทอดทิ้งคดี เป็นต้น ล้วนแต่เป็นการประพฤติผิดมรรยาททั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ในรายการถกไม่เถียง “นายเดชา” จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก กล่าวพาดพิง และตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีที่ระบุว่าจะจัดการทนายโซเชียลฯ ที่เดินสายออกทีวีเนื่องจากทำผิดมรรยาททนายความ โดย “นายเดชา” อ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาว่า “ทนาย” ทำผิด ถือเป็นการทำตัวเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก หรืออุปนายก มาจากการเลือกตั้ง 3 ปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียลฯ จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดได้?
“คณะกรรมการสภาทนายความไม่ใช่เจ้าหน้าที่เทศกิจ พวกผมก็ไม่ใช่หาบเร่แผงลอยที่ไปขายบนฟุตปาธ จะไปจัดระเบียบเอาอำนาจอะไร ผมไม่สนใจคนพวกนี้อยู่แล้ว ผมเคารพสภาทนายความ แต่การพูดจาเหยียดหยามว่าทนายหิวแสง ทนายโซเชียลฯ เหมาะสมหรือไม่?”
ที่สำคัญ “นายเดชา” ยังพูดถึงกรณีการถอนใบอนุญาตทนายความของ “ทนายษิทรา” ด้วยว่า อย่าไปทำอะไรตามกระแส การจะลบชื่อนายษิทราต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุด เหมือนกรณีทนายถุงขนม ศาลแจ้งไปที่สภาทนายความแล้วก็ลบ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาทำ อย่าบ้าจี้ คนจะมองว่าหิวแสง ทำงานตามกระแส ถ้าเป็นเคสอื่นทำผิดก็ว่ากันไป ไม่ใช่ว่ามีคนไปร้องให้ลบชื่อ ตอนนี้หมายเรียกหรือหมายจับยังไม่มี ลบไม่ได้ ฝากนายก และอุปนายก สภาทนายความ อย่าหิวแสง
ประเด็น : อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในสัปดาห์ที่แล้วว่า แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม
จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้มในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของ สุรเชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชษฐ์ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้นอาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่า เลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย
“ทนายเดชา และคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณ กับแก๊งทนายหิวแสงนั้นยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้น คุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย
“ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ” นายสนธิกล่าว