จับ “ทนายตั้ม” พร้อมเมีย ทำ “ทนายจุ๊กกรู๊” หน้าแตก เคยบอกสอบ 2-3 ชั่วโมงแล้วยังไม่ออกหมายจับแสดงว่าหลักฐานมีปัญหา แถมอ้างมั่วว่าคดีหมดอายุความ “สนธิ” เชื่อมั่น บช.ก.ทำคดีรัดกุมเพราะไม่อยากให้เสียชื่อเสียงและไม่ให้โดนฟ้องกลับ เผยทนายฉาวขอซื้อยานอนหลับ 20 เม็ด แต่หมอไม่ให้หวั่นฆ่าตัวตาย คาดสองคนผัวเมียอยู่คุกยาว ตำรวจค้านประกันด้วย 3 เหตุผล และน่าจะมีหมายจับออกมาอีก
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก” เมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีการจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม กับภรรยา คือนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน จากคดีที่นางจตุพร เลิศอุบล หรือพี่อ้อย ได้แจ้งความไว้ที่พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยจับกุมตัวไว้ได้ขณะที่ขับรถเก๋งปอร์เช่ คาเยนน์ สีน้ำตาล ทะเบียน ธก 999 กรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออก ผ่านอําเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเริ่มต้นจากที่ พี่อ้อย แจ้งความว่าทนายตั้มฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งทนายตั้มก็ออกมาพูดว่าตัวเองไม่ผิด อ้างว่าเงิน 71 ล้านได้มาด้วยความเสน่หา แต่ยังมีกรณีอื่นเช่นเงิน 39 ล้านบาท ที่สองผัวเมียคนใกล้ชิดนายษิทราเอาไป โดยที่นายษิทราอ้างว่าตนไม่รู้เรื่องด้วย
นายสนธิกล่าวว่า ตนไม่เคยสงสัยตํารวจสอบสวนกลางที่พยายามทํางานกันอย่างเข้มแข็ง เพราะชื่อเสียงของตํารวจสอบสวนกลางภายใต้การนําของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช นั้นมีประจักษ์หลักฐานแน่ชัดว่าเป็นคนทํางานตรงไปตรงมา และทํางานละเอียดมาก
การที่ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ซึ่งเป็นคู่หูของนายษิทรา เคยบอกว่าถ้าตํารวจสอบสวนกลางสอบคดีนี้ 2-3 ชั่วโมงแล้วยังออกหมายจับไม่ได้แสดงว่ามีปัญหาในเรื่องหลักฐาน แต่ตนมองอีกมุมหนึ่งว่าหลักฐานเขามีแต่ต้องการที่จะปิดช่องโหว่ต่างๆ ด้วยการสอบเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้มีรูหรือรอยที่สามารถจะเล็ดลอดออกไปได้
“อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของการที่ทนายเดชา แล้วคนอีกหลายคน ซึ่งเป็นเอฟซีหรือไอโอของษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็บอกว่าคดีนี้หมดอายุความไปแล้ว ให้เงินมาตั้งเป็นปีเพิ่งจะมาร้องเรียน อันนี้ถ้าท่านผู้ชมจําที่ผมพูดได้ใช่ไหม ผมพูดยังไง ผมบอกว่าการสอบสวนครั้งนี้ต่างกว่าการไปแจ้งความครั้งแรกที่สถานีตํารวจภูธรปากช่อง เพราะนั่นคือการไปแจ้ง แล้วก็ให้การต่อพนักงานสอบสวน
“แต่ครั้งนี้เป็นการสอบสวนโดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา และคณะกรรมการแต่ละคน ผมดูแค่ประธานผมก็รู้สึก เออถ้าผมเป็นจําเลยในคดีนี้ ผมจะกลัวมาก คณะกรรมการชุดนี้ เพราะว่าประกอบด้วยคนที่มีฝีมือการสืบสวนสอบสวนอย่างสูง อย่างเช่น พลตํารวจตรี สุวัจน์ อดีตผู้การกองปราบฯ หรือแม้กระทั่ง พลตํารวจตรี มนตรี ผู้การกองปราบฯ คนปัจจุบัน ก็เข้าร่วมอยู่ในคณะนี้ด้วย
“เพราะฉะนั้นผมก็เลยพูดออกมาบอกว่า คุณอย่าเที่ยวมาพูดปรามาสคณะกรรมการชุดนี้ หรือตํารวจพวกนี้ เขาผ่านคดีมาเยอะแล้ว ถ้าคดีนี้มันหมดอายุความแล้ว เบาไม่โง่หรอกที่จะทําต่อ เขาก็ต้องแจ้งตัวผู้กล่าวหาว่าคดีนี้หมดอายุความแล้ว ถ้าเขายังสอบอยู่หนัก 30-40 ชั่วโมง แสดงว่าคดีนี้ไม่หมดอายุความ”
นายสนธิกล่าวอีกว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่า ตนอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้กําหนดแผนการ วางแผนการ ทั้งที่ความจริงตนไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว นายษิทรา โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนได้ระบุชัดเจนว่าจากหลักฐานที่มีอยู่ เพราะถ้าไม่มีหลักฐานเขาจะไปแจ้งข้อหาได้อย่างไร
“เพราะฉะนั้นจากหลักฐานที่มีอยู่นี่ เขาอนุมานแล้วเขาประเมินได้ว่า โยงเรื่องราวต่างๆ ได้ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยามีส่วนร่วมกันฉ้อโกง ก็คือตํารวจทําคดีนี้ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทํา แต่ทําเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้
แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เพราะผมเข้าใจว่าตํารวจคงรู้เรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่ามันมีบทพิสูจน์ มันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับทราบรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้าน และก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย”
นายสนธิกล่าวต่อว่า จากการฉ้อโกงส่วนบุคคลกลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็เพิ่มเป็นฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงกันหมดทุกเรื่อง
“ผมทราบมาเลยว่า 2-3 วันที่แล้ว นายษิทราติดต่อหมอคนหนึ่งที่สมุทรสาคร ขอยานอนหลับ ซื้อ 20 เม็ด แต่หมอไม่ให้ เพราะกลัวจะฆ่าตัวตาย เพราะนายษิทราบอกไปว่าช่วงนี้นอนไม่หลับเลย ถ้าตัวเองบริสุทธิ์จริงจะนอนไม่หลับได้ยังไง ถ้าตัวเองมั่นใจในหลักฐานตัวเองมีจะนอนไม่หลับได้ยังไง
“ท่านผู้ชมครับ ตํารวจสอบสวนกลางทั้งคณะ เอาชื่อเสียงของพวกเขามารับประกันการทํางานครั้งนี้ เพราะว่าถ้าขาดหลักฐานแล้ว นอกจากเขาจะถูกนายษิทราฟ้องกลับแล้ว เขาก็อาจจะต้องเสียชื่อเสียเสียงไปเลย ผมถึงมั่นใจ”
นายสนธิกล่าวอีกว่า ในวันที่นายษิทราไปแถลงข่าวที่หน้ากองปราบฯ ท่านศึกษาภาษากาย ศึกษาโหงวเฮ้งหน้าตา จะเห็นว่าตานายษิทราไม่เป็นประกายเลย เหมือนกับคนตาขุ่น พูดจาตะกุกตะกัก ไม่คล่องแคล่วเหมือนแต่ก่อน
และเชื่อว่าไปครั้งนั้นเพื่อไปโยนหินถามทาง เพราะได้ข่าวว่าอาจจะโดนหมายจับ ตัวเองก็เลยต้องไปโชว์ว่าตัวเองไม่หนี แต่ในที่สุดหมายจับก็ออกมา ก็คงอยู่ในภาวการณ์สติแตก คิดได้อย่างเดียวคือต้องหนี จึงขับรถปอร์เช่ คาเยนน์ สีน้ำตาลเข้ม ทะเบียน ธก 999 เป็นรถคันเดียวกับที่ตัวเองขับไปที่กองปราบฯ ขับไปทางฉะเชิงเทรา
ที่น่าสนใจคือภรรยาไปด้วย ส่อเจตนาของการหลบหนี เพราะเส้นทางเส้นทางนั้นก็หนีออกไปทางสระแก้ว เมื่อถึงสระแก้วแล้วก็สามารถที่จะหาเส้นสายตัวเองแล้วก็ข้ามพรมแดนโดยทางช่องทางธรรมชาติ แต่โดนตํารวจจับได้เสียก่อน
นายสนธิกล่าวอีกว่า หากดูกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมายแล้วตํารวจมีหน้าที่กักตัวนายษิทราและภรรยาเป็นเวลา 48 ชั่วโมง เมื่อครบ 48 ชั่วโมงแล้วต้องส่งศาลเพื่อขอต่อเวลา มั่นใจอย่างสูงว่าตํารวจจะคัดค้านการประกันตัวเมื่อถึงศาล นายษิทราก็จะอ้างเหตุว่าตัวเองไม่ได้หนี ตัวเองไปฉะเชิงเทราก็อาจจะไปไหว้พระ และอ้างว่าได้ไปปรากฏตัวที่กองปราบฯ ให้เห็นว่าตัวเองพร้อมจะเข้ามาแล้ว
ส่วนตํารวจจะมี 3-4 ประเด็นที่สามารถคัดค้านการประกันตัวได้ ซึ่งเป็นการอ่านตามหน้าไพ่ ไม่ได้รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังแต่อย่างใด ประการแรก ข้อหาที่ตํารวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่หนัก ไม่ใช่ข้อหาฉ้อโกงธรรมดา แต่เป็นฉ้อโกงเป็นปกติธุระ คือโกงจนเป็นสันดาน ชอบฉ้อโกงตลอดเวลา เมื่อบวกกับข้อหาการฟอกเงินแล้วจึงเป็นข้อหาที่หนักมาก
ข้อที่สอง การที่นายษิทราไปที่หน้ากองปราบฯ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ขณะที่บนตึกข้างในเขากําลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิดอย่างนั้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แล้วเหมือนกับกําลังข่มขู่คนที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กําลังให้ปากคําอยู่
ข้อที่ 3 ก็คือแทนที่นายษิทราจะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนี จะอ้างว่าไปไหว้พระก็อ้างไป แต่พฤติกรรมและการกระทําคือการรู้ว่าตัวเองโดนหมายจับแล้วกําลังจะหนี
ด้วยเหตุ 3 ข้อนี้ตํารวจจะคัดค้านการประกันตัว และมั่นใจว่าศาลก็จะไม่ให้การประกันตัวด้วย
ทั้งนี้ เมื่อศาลไม่ให้ประกันด้วยมูลเหตุที่กล่าวมา ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่ายื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้ เพราะตํารวจมีสิทธิฝากขังได้ 7 ฝาก ฝากละ 12 วัน รวมเป็น 84 วัน ก็อนุมานได้ว่า 84 วันจากนี้ไป นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยาก็จะต้องอยู่ในเรือนจํา โดยนายษิทราก็อยู่ที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพ ส่วนภรรยาก็อยู่เรือนจําหญิงกลาง ข้างคลองเปรม
“มิหนําซ้ำระหว่างที่ฝากขัง และสอบสวนนายษิทราอยู่ เพื่อหาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะว่ามันมีไม่ใช่เฉพาะษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีกซึ่งจะโดนหรือเปล่าผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายนุ แล้วก็ภรรยาชื่อสาซึ่งเกี่ยวข้องใน 39 ล้านหายตัวไปแล้ว ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วยังมีอีก ตอนนี้ตํารวจก็เมื่อจับได้เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องเข้าค้นบ้านละ
“ท่านผู้ชมเชื่อรึยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทําความชั่ว ทําร้ายผู้คนจํานวนมาก จากการหลอกลวงฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมนี่มีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟัง เอาวันนี้ดีกว่าว่าผมสรุปอย่างนี้ แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีกท่านผู้ชมครับ” นายสนธิกล่าว