กระรอกน้อยแสนน่ารัก และกวางมูสสวยสง่า ค่อยๆ ปรากฏร่างขึ้นบนโฟมนมเนื้อเนียนละเอียด
ศิลปะลาเต้อาร์ต (Latte Art) ที่บาริสต้าหนุ่มตรงหน้ารังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน สมบูรณ์แบบ ตอกย้ำกับเราว่าไม่น่าแปลกใจที่เขาคือเจ้าของถ้วยแชมป์ลาเต้อาร์ตไม่น้อยกว่า 15 ใบ
“…แบงค์ไม่เชื่อเลยเรื่องพรสวรรค์ พรสวรรค์คืออะไร เพราะว่าทุกอย่างที่แบงค์ได้มา คือความทุ่มเทของเราล้วนๆ ถ้าแบงค์ไม่ทุ่มเท แบงค์คงไม่ได้มา…”
“…ประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้เรามองเห็นภาพกว้างมากขึ้น มองเห็นตัวเองรางๆ บน stage โลกแล้วก็ชูถ้วยแชมป์ ซึ่งภาพมันจะชัดขึ้นหรือไม่ มันก็อยู่ที่เรา เราแค่มีหน้าที่ทำให้มันชัดขึ้น…”
‘ผู้จัดการออนไลน์’ จิบกาแฟพลางสนทนากับ ‘แบงค์-ศราวุธ หมั่นงาน’
แชมป์ Thailand Latte Art Champion คนล่าสุด และเพิ่งคว้าอันดับ 5 จากเวทีแข่งขันระดับโลก World Latte Art Championship 2024 เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ณ กรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก
เขาชนะใจกรรมการบนเวทีระดับโลก ด้วยคอนเซ็ปต์ Christmas ที่ไม่เพียงสวยงามหากยังแฝงชั้นเชิงของการวาดลวดลายที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างละเอียดลออ
การฝึกซ้อมอย่างหนัก วันละไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง ฝึกเทลาเต้อาร์ตซ้ำแล้วซ้ำเล่าวันละไม่น้อยกว่า 200-300 แก้ว ความมุ่งมั่นทุ่มเท พยายามอย่างไม่ย่อท้อ ประสบการณ์บนหนทางของการก้าวสู่แชมป์ประเทศไทยและก้าวสู่เวทีระดับโลก รวมถึงความรักในวิชาชีพบาริสต้าและความสุขในการทำร้านกาแฟ
ทั้งหมดทั้งมวล ถูกบอกเล่าไว้ผ่านถ้อยคำเหล่านี้
เส้นทางแชมป์
2024 5th World Latte Art Championship
2024 Thailand Latte Art Champion
2023 Thailand Latte Art 3rd
2022 BLC x IVY LKY Leve Up Latte Art Battle Team Battle Champion
2021 Latte Art Rally Thailand Champion
2020 Lampang Coffee x Latte Art Battle Champion
2019 The 1st ACID latte art championship Champion (Princess cup)
2018 PCA latte art grand final Shanghai, China Champion
2018 PCA latte art tournament Penang, Malaysia Champion
2018 Free pour latte art grand prix Osaka Champion
2018 Streamer the battle free pour latte art Osaka Champion
2018 CP-Meiji speed latte art Thailand Champion
2018 Boncafe TCBC Central regions Champion
2018 E-San latte art smackdown Thailand Champion
2018 La Marzocco & ModBar True Artisan Cafe Latte art throwdown Champion
คือถ้วยแชมป์ที่แบงค์คว้ามาครองได้สำเร็จ จริงอยู่ ว่าแต่ละถ้วยรางวัลย่อมมีเรื่องราวระหว่างทางที่น่าสนใจ แต่ในวาระโอกาสที่เขาเพิ่งคว้าตำแหน่ง อันดับ 5 ของโลกมาได้ สาระสำคัญจึงย่อมไม่พ้นพูดคุยกันถึงถ้วยรางวัลที่ว่านี้
‘World Latte Art Championship’
แบงค์เล่าว่า รายการนี้ เป็นรายการในฝันของเขาเสมอมา ซึ่งก่อนนี้ทำได้เพียงแต่นั่งมองหรือดูผ่านหน้าจอ ดูคนอื่นแข่ง
“แบงค์รู้สึกว่าเวทีนี้ Inspire เรามาก เป็นความฝันนึงของเรา คือเราไม่ได้นึกถึงภาพที่ได้ไปยืนบน stage หรอก เพราะมันยาก เราก็เลยมองว่าต้องเริ่มแข่งขันจากระดับประเทศก่อน แบงค์ก็เดินสายแข่งลาเต้อาร์ต”
แบงค์เล่าว่า โดยทั่วไป การแข่งขันมักแบ่งเป็น 2 แบบ แบบแรกคือ ผู้เข้าแข่งขัน 2 คนขึ้นมาเจอกันบนเวที ใครแพ้กลับบ้านเลย ส่วนคนที่ชนะ ก็ได้เข้าไปแข่งในรอบต่อไป อาจแข่งประมาณ 4-7 รอบ ขึ้นอยู่กับว่ารายการนั้น มีคนสมัครเข้ามาเยอะแค่ไหน เราห้ามแพ้ ซึ่งถ้วยรางวัลส่วนใหญ่ที่แบงค์ได้มาเป็นการแข่งประเภทนี้
“อีกแบบคือแบบ National ซึ่งเราต้องคิดลายเอง แล้วเราต้องไป Present ให้กรรมการดู เราก็เทไป Present ไป กรรมการก็จะมีคะแนนเทคนิค เค้ามี Protocol ของเค้า เราก็ต้องเก็บให้ได้ทุกคะแนนเพื่อจะเป็นแชมป์”
แบงค์เล่าว่าการซ้อมรายการนี้ ต้องใช้เวลายาวนานมากกว่า ต้องทำให้การซ้อมเป็น Routine ประจำวัน ทำให้เป็น Muscle Memory หรือความจำของกล้ามเนื้อ ร่างกายจดจำได้ ดังนั้น ทุกอย่างบน stage ต้องออกมา Smooth ที่สุด และเราต้องไม่เครียด
คว้าแชมป์ Thailand Latte Art Champion เพื่อเป็นตัวแทนประเทศ
เมื่อตั้งเป้าจะไป ‘World Latte Art Championship’ แบงค์ต้องคว้าแชมป์ Thailand Latte Art Champion ให้ได้ก่อน เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งระดับโลก
แล้วทำอย่างไรจะได้แชมป์ แบงค์ตั้งคำถามกับตัวเองและตกผลึกได้ว่า ที่ผ่านมา ที่เป็นแชมป์รายการอื่นๆ ได้ เพราะว่าซ้อมเยอะกว่าคนอื่น
“แบงค์ก็ตั้งใจเต็มที่ ซ้อมเยอะมาก แล้วพอไปถึงงานแข่งจริง เราเตรียมตัวดีมากเลยครับ เราเตรียมตัวดีตั้งแต่อุปกรณ์ที่ใช้แข่งเลย สำหรับแบงค์ เราไม่ได้แข่งกับคนอื่นเลย เราต้องแข่งกับตัวเองล้วนๆ"
"เวทีนี้ เมื่อคุณขึ้นไป คุณต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ คนที่เป็นแชมป์ คือคนที่รู้เกมแล้วทำได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น เราต้องอ่านเกมให้ขาด ปีนี้แบงค์ก็ทำเต็มที่มากๆ แล้วก็ปรากฏว่าได้แชมป์จริงๆ ”
“ตอนที่ชื่อเราถูกประกาศว่าเป็นแชมป์ประเทศไทย หัวผม Blank ไปหมดเลยครับ ถามตัวเองว่า ‘จริงเหรอ’ และเราสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่าเราเป็นแชมป์ประเทศไทย ทุกๆ อย่างที่ติดค้างในใจเรามาตั้งแต่เริ่มแข่งหายไปหมดแล้ว คือแบงค์ได้ถ้วยการแข่งขันลาเต้อาร์ตรางวัลใหญ่ๆ เวทีใหญ่ๆ มาหมดแล้ว เหลือแค่รายการนี้ ที่เราทำยังไงก็ไม่ได้สักที ตอนที่เค้าเดินเอาถ้วยมายื่นให้เรา เรารู้สึกว่า ‘เฮ้ย เป็นเราจริงๆ เหรอ’”
แบงค์ถ่ายทอดความรู้สึกในวินาทีนั้นอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่ความรู้สึกยินดีจะชะงักลง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการแข่งในเวทีระดับโลกรอคอยอยู่
ระหว่างทางสู่ World Latte Art Championship
แบงค์เล่าว่า “ดีใจได้ประมาณ 3 วัน แล้วความรู้สึกนี้ก็หายไป เมื่อเพิ่งนึกออกว่า ‘เฮ้ย เราต้องไปแข่งต่อนี่นา’ (หัวเราะ ) เพราะหลังจากได้เป็นแชมป์ระดับประเทศแล้ว แล้ว Goal ต่อไปก็คือระดับโลก"
“ไม่หมูแล้ว เพราะมันเป็นระดับโลกแล้ว เราไม่สามารถคาดได้เลยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นบน stage มีอะไรบ้าง”
ความกังวลเกิดขึ้น เมื่อทราบว่า ปีนี้ การแข่งขัน World Latte Art Championship จะใช้เครื่องชงเรื่องใหม่ เป็นเครื่องชงแบบ Fully Automatic ซึ่งแบงค์ไม่เคยใช้
“เราไปไม่เป็นเลย ใช้ไม่เป็นเลย ก็ยอมรับว่าเครียดและแอบรู้สึกว่า ‘เอ๊ะ หรือว่าปีนี้ไม่ใช่ปีของเรา’ แต่เราก็ทำให้เต็มที่ก็แล้วกัน ไม่ต้องเข้า Final ‘ตกรอบไปก็ไม่มีใครว่าหรอกมั้ง’ ความคิดแบบนี้มันก็แว่บขึ้นในหัวเรา”
แต่แล้ว เมื่อครุ่นคิดอีกสักชั่วโมงนึงผ่านไป แบงค์ก็ค่อยได้สติ ว่าความคิดที่ว่าตกรอบก็ไม่เป็นไรนั้น ผิดกับปรัชญาชีวิตที่ใช้มาตลอด
“เพราะปรัชญาชีวิตเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเป็นคนเต็มที่กับทุกอย่างเลย ไม่ว่าเราจะแข่งกับคนที่เก่งแค่ไหนก็ตามในโลกใบนี้ เราเป็นคนที่ไม่เคยรู้สึกว่าเราอยากแพ้ เราจะเป็นคนที่ขอให้ชนะเท่านั้น อยากชนะ แบงค์ก็เลยตั้งสติ แล้วบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร เราต้องเริ่มด้วยการหาข้อมูล แบงค์ก็หาข้อมูลว่าเครื่อง Fully Automatic นี้มันคืออะไร แล้วก็มีความคิดเกิดขึ้นมาว่า นี่เป็นครั้งแรกของโลกเลยที่มีการใช้เครื่องนี้ในการประกวดเวทีนี้ ดังนั้น ทุกคนที่เข้าประกวด ก็ใหม่เหมือนกันหมดเลย กลายเป็นว่า ทุกคนเท่ากันหมด แม้บางประเทศจะได้เครื่องมาใช้ซ้อมก่อนก็ตาม”
แบงค์มองว่าตัวเองก็โชคดีมาก ที่ได้ Partner ในการแข่ง เป็นผู้ Import เครื่องนี้เข้ามา บังเอิญเขานำเข้ามาได้ก่อนที่แบงค์จะไปแข่งประมาณ 3 อาทิตย์ บริษัทแห่งนี้ติดต่อมาหาแบงค์ ว่าต้องการเครื่องไปฝึกไหม แบงค์จึงได้มีโอกาสซ้อมกับเครื่องนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ แม้เป็นเวลาที่น้อย
แต่แบงค์อยู่กับมันทั้งวัน ฝึกตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม แม้เป็นระยะเวลาเพียง 2 อาทิตย์ แต่นับเป็น 2 อาทิตย์ที่คุ้มค่ากับแบงค์ที่สุดแล้ว
“แบงค์พยายามหาวิธีที่จะ Connect กับเครื่อง ใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ได้ เมื่อทำออกมาไม่ถูก ไม่ดี ต้องคิดแล้วเปลี่ยนแปลง ปรับแก้ จนได้ Solution ที่เหมาะกับตัวเองที่สุด และเมื่อไปถึงหน้างาน ทุกอย่างต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงได้”
มุ่งหน้าสู่โคเปนเฮเก้น : เมื่อวันเดินทางมาถึง
เมื่อถึงวันที่ต้องเดินทางไปโคเปนเฮเกน เดนมาร์ก แบงค์มีทีมงานร่วมเดินทางไปด้วยรวม 5 คน เช่าบ้านหนึ่งหลัง เป็นระยะเวลา 9 วัน แม้ต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวในหลายๆ อย่าง แต่แบงค์ก็ขอบคุณที่สมาคมบาริสต้าไทยและ CP-MEIJI ร่วมสนับสนุนงบประมาณบางส่วน รวมแล้ว ทำให้แบงค์ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก
เมื่อเดินทางไปถึงแล้ว แบงค์ยังได้รับความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ที่โคเปนเฮเก้น ให้ใช้พื้นที่ร้านในการฝึกซ้อมได้
“แบงค์ได้รับความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนเลยครับ เช่น เพื่อนรุ่นพี่ ที่เป็นเชฟที่นู่น เค้าก็บอกว่า ร้านที่พี่เค้าทำงานอยู่ มีบาร์กาแฟด้วย ถ้าแบงค์อยากมาใช้ซ้อมก็ได้ ร้านพี่เค้าเปิดสิบโมง แบงค์ใช้ได้ตั้งแต่หกโมงเช้าเลย แบงค์ก็ไปตั้งแต่หกโมงเช้า ซ้อมถึงเก้าโมงก็เก็บของ นับเป็นสามชั่วโมงต่อวัน ที่คุ้มค่ามากๆ ครับ มันเหมือนเราได้เพิ่มความมั่นใจในตัวเองเข้าไปอีก และทีมของเราก็ support เราอย่างเต็มที่ ทั้งคอยช่วยเก็บของ ล้างของ จัดของ ทำให้เรารู้สึกว่าทุกคนเต็มที่กับเราขนาดนี้ ทีมทำให้แบงค์ทุกอย่าง พวกเค้าทำให้แบงค์ไม่ต้องกังวลอะไรเลย แบงค์มีหน้าที่อย่างเดียวคือไปแข่งและทำให้เต็มที่”
วินาทีแห่งการแข่งขัน บนเวทีระดับโลก
แบงค์เล่าถึงความรู้สึกในวินาทีที่ก้าวเข้าสู่การแข่งขันว่า
“เมื่อไปถึงวันแข่ง ตื่นเต้นมากครับ วินาทีที่แบงค์เหยียบพรมของเวทีแข่ง มันเหมือนกับทุกอย่างในหูเรา ทุกอย่างใน Hall เงียบกริบเลย ทั้งที่มีคนเยอะมาก แต่เมื่อเราเหยียบเวทีแข่งแล้ว ทุกอย่างเงียบเลย ‘นี่เราได้ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ เหรอ’ เราเป็นคนที่ได้เป็นตัวแทนประเทศเหรอ แบงค์รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่นี่คือช่วงเวลาของเราแล้ว สิบนาทีต่อจากนี้ เป็นเวลาที่เราต้องทำให้เป็นสิบนาทีที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา”
“แบงค์ก็ก้าวขึ้นไป และ Perform ทุกอย่างได้เหมือนกับที่ซ้อมเป๊ะเลย อาจจะมีผิดพลาดเล็กน้อย แต่เมื่อลงจากสเตจมา เราก็แฮปปี้สุดๆ จะเข้ารอบรึเปล่าไม่รู้ ไม่มีใคร worry เรื่องเข้ารอบหรือไม่เข้ารอบเลย”
“ทุกคนรู้สึกดีที่เราทำออกมาได้เต็มที่ ส่วนเรื่องเข้ารอบหรือไม่เข้ารอบ ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมการไป ถามว่าลุ้นไหมก็ลุ้นครับ เราก็ทำให้ดีที่สุดและไม่ว่ายังไง แบงค์ก็อยากเป็นคนที่ได้แข่งในรอบสุดท้าย”
ในที่สุด เมื่อผ่านเข้ารอบแรกไปแล้ว กระทั่งถึงรอบ Semifinal แบงค์รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองที่สุดเลย ไม่มีความกดดัน เพราะในการซ้อมทุกๆ ครั้ง ออกมาดีมาก Perform ออกมาค่อนข้างดี อาจมีพูดภาษาอังกฤษติดๆ ขัดๆ บ้าง แต่ก็ถือว่าทำได้ดี
“แล้ววันที่เค้าประกาศชื่อเราเข้ารอบ Final น่ะครับ เราก็รู้เลยว่า ‘นี่แหละ คือที่ๆ เราอยากเข้าไปอยู่’ อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แฮปปี้แล้ว ทำยังไงก็ได้ให้พรุ่งนี้คือวันที่สนุกที่สุดของเรา”
“เมื่อแข่งรอบ Final เราก็รู้สึกว่าเราได้เตรียมทุกอย่างพร้อม แต่ก็มีความผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้นครับ ( หัวเราะเล็กน้อย ) เป็นข้อผิดพลาดที่ตัวเราเองได้เรียนรู้ แล้วแบงค์ก็รู้สึกว่าใจนึงเราก็อยากได้แชมป์แหละ
แต่แบงค์ก็มองว่า เราไม่ได้แพ้ เราได้ที่ 5 กลับมา นั่นหมายความว่า เป้าหมายเรายังอยู่ จากเมื่อก่อน เป้าหมายแค่เป็นแชมป์ประเทศไทยให้ได้"
"ที่ผ่านมา แบงค์ไม่เคยฝัน แบงค์ไม่เคยมองเป้าหมายแชมป์โลกเลย มองแค่แชมป์ประเทศไทย ซึ่งคราวนี้ เมื่อเราได้เข้าไปแข่งรอบ Final ของโลก ตอนนี้ เป้าหมายของแบงค์เปลี่ยนหมดเลย กลับกลายเป็นว่า จากที่มันเคยไกลตัวมากๆ ตอนนี้ เรามองว่ามันใกล้ตัวแล้ว”
แบงค์เล่าถึงเป้าหมายว่า ปีต่อๆไป นับจากนี้ เขาต้องได้แชมป์ประเทศไทย เท่านั้น เพื่อที่จะได้ไปแข่งในระดับโลกต่อ
“ประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้เรามองเห็นภาพกว้างมากขึ้น มองเห็นตัวเองรางๆ บน stage โลกแล้วก็ชูถ้วยแชมป์ ซึ่งภาพมันจะชัดขึ้นหรือไม่ มันก็อยู่ที่เรา"
"เราแค่มีหน้าที่ทำให้มันชัดขึ้น เป็นสิ่งที่เราได้ Inspire ตัวเราเอง คือการได้ทำตามความฝันของเรา นี่เป็นครั้งแรกครับที่ผมรู้สึกว่าความฝันได้รับการเติมเต็มสุดๆ เพราะทุกๆ อย่างที่เคยฝันมา เราทำได้หมดเลย แล้วนี่คือฝันที่ยาวนานมาก แล้วเราทำมันได้จริงๆ จากเด็กที่ทำอะไรไม่ได้เลย ลาเต้อาร์ตมันคือเรื่องยาก แต่ทำให้เรารู้ว่าถ้ามีความพยายาม ก็ไม่ยากเลย ถ้วยรางวัลทั้งหมดคือไม่ยากเลย ทุกคนสามารถมีได้ ถ้าทุกคนมั่นใจและพยายามทำให้เต็มที่”
แบงค์บอกว่า เขาไม่เชื่อในพรสวรรค์ แต่เชื่อมั่นในการฝึกซ้อม ทุ่มเทอย่างเต็มที่
“แบงค์ไม่เชื่อเลยเรื่องพรสวรรค์ พรสวรรค์คืออะไร เพราะว่า ทุกอย่างที่แบงค์ได้มา คือความทุ่มเทของเราล้วนๆ ถ้าแบงค์ไม่ทุ่มเท แบงค์คงไม่ได้มา พรสวรรค์คืออะไรไม่รู้ แต่ว่าแบงค์เชื่อมั่นมากๆ ว่าแบงค์จะทำมันออกมาได้และทำมันออกมาได้ดี”
นับจากนี้… ‘แชมป์โลก’ คือเป้าหมาย
แบงค์กล่าวว่า “จากนี้ ผมจะลงแข่งเพื่อชิงแชมป์โลกทุกปี ตอนนี้ ความฝันนี้เป็นความมุ่งมั่นแล้วครับ เป็นความมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันโดยที่เราได้เห็นภาพความฝันนั้นชัดขึ้นในแต่ละ step ที่เราเดินไปด้วยกันกับทีม วันนี้เราไม่ได้เดินมั่วซั่วแล้ว แบงค์มีภาพรางๆ แล้ว เราแค่ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อเห็นภาพนั้น ให้ชัดขึ้น”
แบงค์เล่าด้วยว่า วันนี้ เขาเริ่ม Plan ตารางเวลาซ้อมสำหรับเป้าหมายคือแชมป์โลกไว้แล้ว
“ปีหน้าคาดว่าจะมีการแข่งระดับประเทศในเดือนมีนาคม แล้วก็แข่งระดับโลกในเดือนมิถุนายน เค้าประกาศแล้วว่าการแข่งระดับโลกปีหน้า แข่งที่สวิตเซอร์แลนด์ครับ ซึ่งปีหน้าแบงค์ต้องแข่งให้ได้แชมป์ประเทศไทย เรามองจุดนี้เป็นจุดที่เราต้องผ่านไป ต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพราะ Goal ของเราคือแชมป์โลก ดังนั้น Step ในการมอง Mindset ในการมองต้องเปลี่ยน ตอนนี้เป้าหมายสูงสุดของเราคือแชมป์โลก” แบงค์บอกเล่าด้วยน้ำเสียงสดใส
Sukhumvit coffee ร้านกาแฟที่ทุกคนเข้าถึงได้
ถ้าหากไม่นับเรื่องการแข่งขัน เป้าหมายอันเรียบง่ายของแบงค์ก็คือการทำกาแฟให้มีความสุข
“ความสนุกของการทำกาแฟคือ มาทำงาน ชงกาแฟให้ลูกค้า คุยกับลูกค้า นี่คือความสนุก ความผ่อนคลายของเรา เพียงแต่ Main หลักของเราคือการแข่ง เราต้องซ้อมอยู่ตลอดเวลา ทำให้แบงค์รู้สึกว่าชีวิตเรามีเป้าหมาย ถ้าเราสูญเสียเป้าหมายในชีวิต เราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี”
อดถามไม่ได้ว่า การมีร้านกาแฟถึง 4 แห่ง ภายใน 2 ปี ( Sukhumvit Street Coffee ที่อ่อนนุช, Sukhumvit Coffee Stand ซ.สุขุมวิท69, Sukhumvit Concept Store จรัญสนิทวงศ์ 91, Sukhumvit Coffee Stand at Asok ) นั้น
มีความเป็นมาอย่างไร
แบงค์เล่าว่า การเปิดร้านของเขาเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยสำคัญคือ ช่วงนั้นเกิดเหตุระบาดของโควิด-19 ทำให้คนรอบตัวแบงค์ไม่มีงานทำ พ่อแม่ขายของ ไม่ได้ น้องชายออกจากงาน แบงค์เป็นคนเดียวที่เป็นจุดศูนย์กลางของครอบครัวและยังมีงานทำอยู่
“ตอนนั้นแบงค์มีเงินเก็บอยู่นิดนึง เมื่อคำนวณดูแล้ว แบงค์ใช้เงินเก็บนี้ได้ถึงสิ้นปี แต่ใช้แบบประหยัดเลยนะครับ แล้วแบงค์ก็เกิดคำถามว่า ถ้าโควิดไม่หายล่ะ เราจะเอาอะไรกิน ก็เลยเอาเงินเก็บอันน้อยนิดนี้ มาทำเป็นร้านกาแฟรถเข็นที่อ่อนนุช ซึ่งย่านอ่อนนุช คือย่านที่เราอยู่กับมันมานาน”
“เพื่อที่จะหาเงินมาให้ครอบครัว มีเงินใช้ และเราไม่รู้ด้วยว่าจะขายดีไหมและมันจะไปได้ไกลแค่ไหน ตอนนั้น แบงค์คิดได้แค่ว่าแบงค์ทำกาแฟมาสิบปี แล้วจะให้เราไปขายอะไร เราทำกาแฟมาเกือบทั้งชีวิต ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำ ก็ต้องเป็นการขายกาแฟสิ แม้ตอนนั้นทุกคนจะปิดร้านกันระนาว แต่เรารู้สึกว่าเราต้องเปิด เมื่อขายมาเรื่อยๆ ก็มีคนชอบรสกาแฟของเรา ชอบ Taste ประมาณนี้ หลังจากนั้น ประมาณ 1 ปีเราเริ่มมีน้องๆ ทีมงานของเราเอง”
แบงค์เล่าว่า ด้วยความที่เขาทำงานเป็นบาริสต้า จึงสนุกกับการที่ร้านเติบโต ดังนั้น การเปิดร้านต่อๆไป ไม่ใช้เพียงเพื่อตัวเอง แต่เพื่อน้องๆ ในทีมด้วย
“ถ้าถามแบงค์ แบงค์ไม่อยากเป็นคนรวยเพราะขายกาแฟนะ เพราะกำไรมันน้อยมาก เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะรวยจากสิ่งนี้เลย แต่เราอยากเห็นทีมงานของเราสนุกกับการทำงาน ดังนั้น เมื่อเราเห็นน้องๆ เราสนุกกับงานนี้ แบงค์โคตรมีความสุขเลย การที่มีสาขามากขึ้น อาจเพราะแบรนด์เติบโตขึ้น
แล้วการที่แบรนด์เติบโตขึ้น อาจหมายความว่าพนักงานสนุกกับการทำงานเพิ่มขึ้นด้วย แบงค์ก็อยากทำสิ่งนี้ต่อไป แบงค์ไม่ปิดกั้นตัวเอง เมื่อมีโอกาสเข้ามาก็อยากลองทำ และอยากให้พนักงานทุกคนมีความสุขกับการทำร้าน”
ถามว่าเมล็ดกาแฟที่ร้านเป็นแบบไหน
แบงค์ตอบว่า เป็น ‘สุขุมวิทเบลนด์’ เมล็ดกาแฟบราซิล, โคลัมเบีย ใช้กับทุกสาขา
สำหรับคาแรคเตอร์กาแฟที่ร้าน แบงค์อยากให้เป็น every coffee สำหรับทุกคนจริงๆ
“คำนี้ ‘every coffee’ มีหลายความหมาย แต่ละคนก็มีไม่เหมือนกัน สมมติว่ามีคนที่ต้องกินกาแฟทุกเช้า ก่อนไปทำงาน แต่ range เงินเดือนของเขา ทำให้เขาไม่สามารถกินกาแฟแก้วละ 100-120 บาทได้ทุกวัน แบงค์เองกินทุกวัน เรายังว่าเปลืองเลย แล้วทำยังไงล่ะที่จะให้ทุกคนสามารถกินกาแฟดีๆ ได้ทุกวัน แบงค์ก็เลยทำกาแฟที่ทุกคนเข้าถึงได้ คือ กาแฟเย็น 65 บาท กาแฟร้อน 55 บาท ด้วยความที่เราเป็นคนทำกาแฟ แบงค์เข้าถึงแหล่งวัตถุดิบได้ดีกว่าหลายๆ คน”
“เราจึงหาเมล็ดกาแฟที่คุณภาพดี ในราคาที่ถูก เพื่อนแบงค์มีโรงคั่ว แบงค์ใช้กาแฟคั่วจากโรงคั่วของเพื่อน เขาเริ่มทำจากโรงคั่วเล็กๆ แล้วเมื่อก่อนเค้าก็คั่วให้แบงค์ในราคาถูกมากๆ เราก็คุยกันว่าเราจะเติบโตไปด้วยกัน
ทุกวันนี้ แบงค์ก็ยังใช้เมล็ดกาแฟของเค้า”
“เราเชื่อว่ากาแฟแก้วนึง ทำให้วันๆ นึงของใครสักคนเป็นวันที่ดีได้ เราก็เลยตั้งใจทำเพื่อลูกค้าทุกคนครับ”
ถามว่า ‘บาริสต้าที่ดี’ ในนิยามความหมายของคุณ เป็นแบบไหน
แบงค์ตอบว่า “ถ้าตอบแบบเร็วๆ ไม่ต้องคิดเลยนะ แบงค์ว่า มันคือความจริงใจ หมายความว่า เราเป็นบาริสต้า เราเป็นคนทำกาแฟ การจริงใจทั้งต่อลูกค้า ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อร้าน ทุกอย่างจะออกมาดีมากเลยครับ”
“ลูกค้าสั่งกาแฟ เค้าอาจไม่รู้หรอก แต่เรารู้ เช่น ตอนที่กาแฟกำลังไหลออกมา มันดีหรือไม่ดี เรารับรู้ได้เลย แล้วเรารู้ด้วยว่า ถ้ากาแฟไม่ได้ที่ เราจะทำใหม่ เสิร์ฟแก้วใหม่ นี่คือความจริงใจ แบงค์เชื่อว่าถ้าเรา delivery สิ่งนึงไปให้คนๆ นึง เค้าย่อมรับรู้ได้ว่านั่นคือสิ่งที่ดีหรือไม่ดี การเป็นบาริสต้าที่ดีจึงต้องมีความจริงใจกับทุกอย่าง”
คือ ‘Double Dose’ ที่ลงตัว
ถามทิ้งท้ายถึงกาแฟแก้วที่ช่วยเรียกความสดชื่นและดับกระหายระหว่างการพูดคุยของเรา
แบงค์อธิบายว่า คือ ‘Double Dose’ ที่นับเป็น signature ตัวแรกของร้าน
“แก้วนี้ เป็นกาแฟและนม แบงค์มีความเชื่อเสมอว่า คนไทยชอบกาแฟที่เข้มข้น และหวานมัน เพราะเมื่อก่อนแบงค์เริ่มจากการไปนั่งสภากาแฟกับพวกคุณปู่ ที่เค้าจะมีกาแฟดำใส่นมข้นแล้วก็ใช้ช้อนคน แบงค์ว่าอร่อยนะ”
แบงค์ใช้นมที่เขาเบลนด์ขึ้นเอง อีกทั้งอยากได้กาแฟที่หวานมัน แบงค์จึงทำไซรัปขึ้นมาเองด้วยเช่นกัน
“แบงค์ไปหากาแฟคั่วสำหรับทำโอเลี้ยง เมื่อก่อนเมล็ดกาแฟมีราคาแพง เขาก็จะใส่เมล็ดข้าวโพด ใส่ลูกเดือยเข้าไปคั่วกับกาแฟแล้วชงเป็นโอเลี้ยง โอยัวะ เพราะเมล็ดกาแฟแพง โอเลี้ยงก็คือกาแฟดำที่เกิดจากกาแฟคั่วที่ว่านี้ แบงค์ก็ไปขอซื้อเมล็ดกาแฟสำหรับทำโอเลี้ยงมา แล้วเอาไปต้มและสกัดออกมาทำเป็นน้ำเชื่อมโอเลี้ยง เป็นน้ำเชื่อมกาแฟโบราณที่ทำขึ้นมาเอง”
“เพราะเราทำทุกอย่างเอง เราจึงขายในราคานี้ได้ เป็นกาแฟที่เป็นโอเลี้ยงไซรัป
ช็อตแรกใส่เอสเพรสโซ่ ช็อตที่สองก็คือใส่โอเลี้ยงนี่แหละครับ กาแฟตัวนี้จึงมีความย้อนยุค มีความโบราณ ผสมกับความเป็นสมัยใหม่ที่ Merge กันลงตัว กลายเป็น ‘Double Dose’ ขึ้นมาครับ”
...บทสนทนาจบลง พร้อมกับกาแฟเข้มข้นปนหวานที่หมดแก้ว
เมื่อร่ำลาและเดินผ่านถ้วยรางวัลมากมายที่เรียงรายบนหิ้งโชว์
อดคิดไม่ได้ว่า สักวันหนึ่ง ถ้วยแชมป์โลกอาจเป็นอีกใบที่ถูกเติมเต็ม
สมดังความวาดหวังของบาริสต้าหนุ่มผู้นี้
………
Text and Photo by : รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล
ภาพบางส่วนเพิ่มเติม by : ศราวุธ หมั่นงาน, Facebook : Sukhumvit Coffee,
IG : Sarawut Manngan (bank sm)
เอื้อเฟื้อสถานที่ : Sukhumvit Concept Store