“พี่อ้อย” หัวใจนางฟ้า ทุ่มกว่า 100 ล้าน พัฒนาโรงเรียนวัขนงพระเหนือ อ.ปากช่อง นครราชสีมา บ้านเกิด จากสภาพเก่าทรุดโทรมกลายเป็นโรงเรียนที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมสำหรับเด็ก อนาคตหวังจะใช้เงิน 2 ล้านยูโรลงทุนเก็บดอกผลนำมาใช้ดูแลโรงเรียนระยะยาว แต่โชคร้ายมาเจอ “ทนายตั้ม”
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรืออ้อย นักธุรกิจชาวไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศฝรั่งเศส ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาท ซึ่งมีคนจำนวนมากอยากทราบว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ นั้นเป็นใคร รวยมาจากไหน จึงมีเงินโอนให้ทนายตั้มจำนวนจมากดังกล่าว โดยรายละเอียดที่นายสนธิเล่าในรายการ มีดังนี้
“พี่อ้อย จตุพร” ทุกวันนี้อายุ 58-59 ปีแล้ว เป็นชาวอำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมาโดยกำเนิด คุณพ่อเป็นตำรวจชั้นประทวน ยศ จ่าสิบตรี ส่วนคุณแม่นั้นเป็นชาวนาชื่อว่า คุณสมพิศ อุบลเลิศ
“พี่อ้อย” เล่าว่า ชีวิตวัยเด็กนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก พ่อแม่แยกทางกัน ส่วนตัวเรียนจบแค่ชั้น ป.6 จากโรงเรียนประถมในอำเภอปากช่อง ก่อนที่จะออกมาทำงาน เร่ขายถั่วต้ม กับเพื่อนสนิท ก็คือ “พี่น้อย” ที่เรียนด้วยกันเล่นด้วยกันมาตั้งแต่ชั้น ป.2
“เมื่อก่อนด้วยความยากจน เราเดินไปโรงเรียนด้วยกันทุกเช้าประมาณ 1 กิโลเมตร เรียนจบมาเราเร่ก็เร่ขายถั่วต้มด้วยกัน ทุกเช้าก็มาต้มถั่ว แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปขาย ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีใบขับขี่เสียด้วยซ้ำ” พี่อ้อย กับ พี่น้อย ซึ่งเป็นเลขาฯ เล่าให้ผมฟัง
หยุดตรงนี้ก่อนท่านผู้ชม ฟังเรื่องราวในอดีต คร่าว ๆ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “พี่อ้อย กับ พี่น้อย เลขาฯ” แล้ว ท่านผู้ชมจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า “ทนายตั้ม” ษิทรา จะไปยุยงให้เพื่อนเขาแตกแยกกันนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ตกทุกข์ได้ยากมาด้วยกัน
หลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้าย “พี่อ้อย” ก็ได้สามีเป็นคนเยอรมัน ไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลินประเทศเยอรมนีตั้งแต่อายุ 21 ปี ส่วน “พี่น้อย” นั้นทำงานเป็นคนคุมบ่อทราย คุมรถเข้าออก ดูเอกสารหลักฐาน ดูบัญชี ซึ่งก็ทำให้ไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดว่า ทำไม “พี่น้อย” เลขาฯ พี่อ้อย เขาจึงเป็นคนไม่ซี้ซั๊ว ทำอะไรละเอียดลออ จดจำวันที่ วัน ว. เวลา ณ., เก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ทั้งการโอนเงิน, เอกสารสัญญา, แชตต่างๆ ไว้ครบถ้วนทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ ช่วงไม่กี่ปีทีผ่านมา พอ “พี่อ้อย จตุพร” เปลี่ยนสถานะกลายเป็นมหาเศรษฐินีขึ้นมา ก็ดึง “พี่น้อย” มาเป็นเลขาฯ ส่วนตัว ไว้ใจมอบหมายให้จัดการเรื่องราวให้ทุกอย่าง
กลับมาถึงเรื่อง “พี่อ้อย” กันต่อ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชื่อของ “พี่อ้อย” จตุพร อุบลเลิศ ออกมาอยู่ในหน้าสื่อ ก็เพราะว่า พอแกร่ำรวยขึ้นมา ก็เกิดความสำนึกรักบ้านเกิด มีจิตสาธารณะ อยากจะช่วยเหลือบ้านเกิดขึ้นมา ก็มีการบริจาคสิ่งต่าง ๆ ให้กับ ชุมชนต่าง ๆ ในอำเภอปากช่อง ถิ่นกำเนิดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น วัคซีนโรคระบาด, รถกู้ภัย, รถพยาบาล ฯลฯ
แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า สิ่งที่ “พี่อ้อย” ทุ่มเทให้มากที่สุดนั้นกลับเป็น โรงเรียนระดับประถมศึกษา ที่ชื่อว่า "โรงเรียนวัดขนงพระเหนือ" จนได้รับฉายาจากชาวบ้าน ครูอาจารย์ ในพื้นที่ว่าเป็น “นางฟ้าเดินดิน”
จุดเริ่มต้นของฉายา“นางฟ้าเดินดิน”ต้องย้อนไปเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ในปี 2563-2564 ซึ่งเป็นช่วงที่โรคโควิดกำลังเริ่มระบาด “พี่อ้อย” จตุพร ปรากฏตัวที่วัดขนงพระเหนือ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในฐานะผู้บริจาคเงินหวังซื้อวัคซีน ให้ชาวบ้าน ได้ฉีดต้านโควิด คนละ 2 เข็ม
ตอนนั้นเอง ผู้ใหญ่ ประดิษฐ์ พรมจันทึก ผู้ใหญ่บ้านขนงพระเหนือ ซึ่งคุ้นเคยกับพี่ชายของ “พี่อ้อย” อยู่แล้ว เลยแย็บ ๆ ขอความช่วยเหลือจาก “พี่อ้อย” ให้ช่วยฟื้นฟูสภาพโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ ซึ่งอยู่ในสภาพทรุดโทรม
ตอนนั้น“โรงเรียนวัดขนงพระเหนือ”อยู่ในสภาพทรุดโทรม หลังคาอาคารซ่อมไว้แบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะขาดงบประมาณ ฝนตกน้ำรั่ว ฝ้าเพดานผุพัง นกบุกไปขี้ใส่จนสกปรกไปหมด
พอ “พี่อ้อย” มาเห็นสภาพจริง ก็ทุ่มเทช่วยเหลือโรงเรียนวัดขนงพระเหนือทันที เนื่องจากพี่อ้อยก็เป็นศิษย์เก่า เรียนจบประถมศึกษาปีที่ 6 ที่นี่ ... พี่อ้อย เล่าอย่างนี้ครับว่า
“สำหรับโรงเรียนวัดขนงพระเหนือนั้นเป็นโรงเรียนเก่าของเรา ที่นี่เป็นบ้านเกิด เราเรียนมาด้วยความยากลำบาก เมื่อก่อนยากลำบากมาก ความช่วยเหลือไม่ค่อยเข้าไปถึง เราจะได้ว่าตอนเด็ก ๆ อยากจะกินอะไรก็ไม่เคยได้กิน ทำให้เรารู้สึกผูกพัน ตอนเด็ก ๆ จำได้ว่า เราย้ายจากในตัวอำเภอปากช่อง ตามแม่ไป เพราะพ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อเป็นตำรวจก็ไม่มีเวลาอยู่ลูกสาว ก็เลยอยู่กับแม่ แม่ก็ทำไร่ทำนา เราก็ไปอยู่ทำไร่ทำนากับแม่
“ความทรงจำสมัยเด็ก สมัยเราเป็นเด็กนักเรียน ก็ฝังใจเรื่องความยากลำบาก เราไม่เคยมี ไม่เคยกิน ไม่มีใครหาอะไรดี ๆ มาให้กิน อาหารกลางวัน ไม่มีใครมาแจกไอติม ไม่มีใครเลี้ยงข้าว เดินเท้าเปล่าไปโรงเรียน ไม่มีใครมาช่วยเหลืออะไรเลย”
สำหรับโรงเรียนวัดขนงพระเหนือนั้นหลายปีก่อน อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก นักเรียนเหลือน้อย จึงมีข่าวว่าโรงเรียนแห่งนี้จะต้องถูกควบรวมกับโรงเรียนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงแทน เมื่อพี่อ้อยได้ทราบจึงตัดสินใจว่าจะเป็นคนสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้ด้วยตัวเอง
นอกจากนี้เมื่อเกิดเหตุการสังหารหมู่ที่จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อ วันที่ 6 ตุลาคม 2565 ที่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลอุทัยสวรรค์ ตำบลอุทัยสวรรค์ อำเภอนากลาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 38 คน (รวมผู้ก่อเหตุ) โดยในจำนวนนี้เป็นเด็ก 24 คน “พี่อ้อย จตุพร” จึงตัดสินใจสนับสนุนทุกอย่าง โดยย้ายศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของตำบลขนงพระ ที่เดิมที่อยู่กับ อบต. ให้มาอยู่ภายใต้สังกัดของ รร.วัดขนงพระเหนือด้วย ให้อยู่ภายใต้รั้วรอบขอบชิด เพื่อความสบายใจของพ่อแม่ผู้ปกครอง และคนในชุมชน
จริง ๆ “พี่อ้อย” เริ่มต้นการสนับสนุนโรงเรียนแห่งนี้ ก่อนที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีด้วยซ้ำ คือ ตั้งแต่ 5 ปีก่อน ในปี 2562 โดยครั้งแรกที่เข้าไปก็คือการให้ความช่วยเหลือเรื่องน้ำกินน้ำใช้ เนื่องจากน้ำภายในโรงเรียนมีขี้โคลนเนื่องจากใช้น้ำบาดาลในการอุปโภคบริโภค
ต่อมา ในช่วงต้นปี 2564 เงินก้อนแรก 4 ล้านกว่าบาท ซึ่งเหลือจากการบริจาคซื้อวัคซีน จึงถูกผันมาให้โรงเรียนแทน
จากนั้น พี่อ้อยก็ส่งเงินช่วยเหลือมาทุกปีต่อเนื่อง จนบัดนี้ร่วม 100 ล้านบาทแล้ว ท่านผู้ชมจะสังเกตได้จากภาพ อาคาร สถานที่ สนามกีฬา รถโรงเรียน จัดเต็มครบครัน รูปโฉมระหว่าง Before คือ ก่อนที่พี่อ้อยเข้ามาให้การสนับสนุน กับ After คือ หลังพี่อ้อยเข้ามาให้การสนับสนุน มีความต่างกันมาก
ท่านผู้ชมลองชมภาพถ่ายทางอากาศ กับวีดิโอ ที่ผมส่ง “คุณนก” นพรัตน์ พรวนสุข กับทีมงาน Sondhi Talk ลงไปเก็บภาพ และสัมภาษณ์คุณครู และคนในชุมชมดูนะครับว่า โรงเรียนแห่งนี้เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน
ท่านผู้ชมจะเห็นว่าจากโรงเรียนวัดบ้านนอก พอพี่อ้อยเข้าไป โรงเรียนวัดขนงพระเหนือก็กลายเป็นโรงเรียนที่ดูหลายๆ โรงเรียนในเมืองยังต้องอาย ไม่ว่าจะเป็น ห้องเรียน ห้องเรียนคอมพิวเตอร์ ศูนย์เด็กเล็ก สนามเด็กเล่น สนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล อาคารหอประชุม บ้านพรรคครู บ้านพรรคนักกีฬา โรงอาหาร ฯลฯ
แล้วก็ไม่ได้แค่บริจาคให้แค่เงินก่อสร้างนะครับ “พี่อ้อย จตุพร” ยังให้เงินค่าอาหารนักเรียนได้รับประทานฟรีตลอด มีทั้งอาหารเช้า-อาหารกลางวัน มีสวัสดิการ มีบ้านพรรคครู โดยในปี 2568 ก็อนุมัติงบฯ ล่วงหน้ามาแล้ว เป็นค่าอาหารนักเรียน 2.7 ล้านบาท
อาจารย์ฐิตินัน ปะวันทะกัง ผอ.โรงเรียนขนงพระเหนือ กล่าวกับผู้สื่อข่าวสนธิทอล์กว่า โรงเรียนแห่งนี้ถือว่ามีบุญมาก ๆ ที่ได้ศิษย์เก่าใจดีแบบ “พี่อ้อย” เพราะจากเดิมนั้น การหาทุนแต่ละปี จะเป็นการทอดผ้าป่าทอดกฐิน ซึ่งก็ได้เงินแค่ประมาณหลักแสนบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ “พลังน้ำใจจากพี่อ้อย” ยังส่งผลให้โรงเรียนที่เคยชำรุดทรุดโทรม มีนักเรียนแค่ 140 คน ตอนนี้พุ่งขึ้นมาเป็น 199 คน และทำท่าจะเพิ่มต่อเนื่อง เพราะโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ กลายเป็นโรงเรียนที่พ่อแม่ผู้ปกครอง อยากส่งลูกหลานเข้ามาเรียนมากที่สุดในพื้นที่ไปแล้ว
ข้อมูลพื้นฐาน รร.วัดขนงพระเหนือ
ก่อตั้งโรงเรียนเมื่อ วันที่ 1 สิงหาคม 2490 ปัจจุบันอายุ 77 ปีแล้ว เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 2 - ประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีห้องเรียนจำนวน 8 ห้อง ถือเป็นโรงเรียนขนาดกลาง
ข้อมูล ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2567 มีนักเรียนทั้งสิ้น 198 คน (ผอ.อัพเดตล่าสุดกับทีมงานบอกว่าเพิ่มเป็น 199 คน) แบ่งเป็น
นักเรียนระดับประถมศึกษา 136 คน
นักเรียนระดับก่อนประถมศึกษา 62 คน
มีครู 16 คน (รวมผู้บริหาร),ธุรการ 1 คน, นักการ 1 คน
นอกจากนี้ พี่น้อย เลขาฯ พี่อ้อย ยังบอกกับผมด้วยว่า“พี่อ้อยให้จ้างครูอัตราจ้างภาษาอังกฤษให้โรงเรียน 2 คน เป็นพิเศษ ทำให้เด็กตอนนี้ก็เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่อนุบาล ก็พูดภาษาอังกฤษเก่ง นอกจากนี้ พี่อ้อยก็ยังซื้อคอมพิวเตอร์ให้เด็ก ๆ ได้ใช้เรียนอีก 20 ตัว”
การทุ่มเท และทุ่มทุนทั้งหมดนี้ เจตนารมณ์ของพี่อ้อย อยากเห็นโรงเรียนเก่าของตัว ที่ ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบ ทั้งคุณภาพชีวิตนักเรียน และคุณภาพการศึกษา มองว่าเด็กบ้านนอก ก็มีสิทธิทัดเทียมโรงเรียนเอกชน เนื่องจาก “พี่อ้อย” รู้ซึ้งดีว่า สมัยเด็กๆ ตัวเองเคยลำบาก เดินเลาะร่องสวนมาเรียน แต่นักเรียนปัจจุบัน ต้องไม่ลำบากเช่นนั้น
ผอ.โรงเรียน เล่าว่า เพื่อตอบแทนน้ำใจอันงดงามของ “นางฟ้าเดินดิน” คณะครูอาจารย์ตกลงกันว่า จะทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ “พี่อ้อย” มุ่งหวัง
ในส่วนของชุมชน ผู้ใหญ่ประดิษฐ์ ก็กล่าวเสริมว่า อยากเห็นเด็ก ๆ ของโรงเรียนวัดขนงพระเหนือ ไปร่ำเรียนสูง ๆ แล้วกลับพัฒนาท้องถิ่นของตัวเอง
วอน “ดนัย หมาแก่” อย่าดิสเครดิต
คณะอาจารย์โรงเรียนขนงพระเหนือ ยังขอใช้สิทธิพาดพิง ขอชี้แจงไปถึงสื่อใหญ่อย่าง “หมาแก่” คุณดนัย เอกมหาสวัสดิ์ เพราะรู้สึกว่า “หมาแก่” ออกข่าวด้อยค่าโรงเรียนอย่างขาดความเข้าใจ
อย่างลีลาทำเป็นตั้งข้อสังเกต ทำไมต้องปูพรมแดงต้อนรับพี่น้อย? ทำไมต้องเกณฑ์นักเรียนให้ใส่ชุดขาวมาต้อนรับ? ซึ่งเป็นเรื่องที่เหล่า ครูและอาจารย์ รร.วัดขนงพระเหนือ คาใจกับวิธีการนำเสนอดังกล่าวมากๆ
ในวันนั้น คณะอาจารย์ชี้แจงว่า ไม่ได้เกณฑ์นักเรียนให้แต่งชุดขาวเป็นกรณีพิเศษ เพราะวันนั้น ตรงกับวันศุกร์และเป็นวันพระด้วย นักเรียนจะแต่งชุดขาวอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องปูพรมแดง ก็เป็นเรื่องไม่ได้ลงทุนอะไร แค่ไปขอยืมพรมจากวัดข้างโรงเรียนมา ทำไปก็เพื่อให้เกียรติผู้บริจาค เท่าที่จะทำได้ แค่นั้นเอง
ทั้งนี้ การให้นักเรียนมารอต้อนรับพี่อ้อย เป็นการสอนให้นักเรียนเห็นเลยว่า คนๆนี้คือตัวอย่างที่ดี นักเรียนเมื่อเป็นผู้รับที่ดี ก็จะเป็นผู้ให้ที่ดี
ไม่เพียงแค่นั้น อนาคตก็อาจจะมี“ป้าอ้อยคนที่ 2”เกิดขึ้น เป็นศิษย์เก่าที่กลับมาดูแลโรงเรียน ดูแลบ้านเกิด
เรื่องนี้เป็น การสอน การฝึก ไม่ใช่การเกณฑ์ อย่างที่หมาแก่ พยายามเสียดสี ด้อยค่า
นอกจากนี้ บนผนังอาคาร มีภาพถ่ายของ “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด สมัยมาร่วมพิธีกับโรงเรียน ทางคณะครูบอกเลยว่า มั่นใจว่าจะไม่ได้เห็นทนายตั้มอีกแล้ว และก็ไม่อยากให้ทนายตั้มกลับมา เพราะสิ่งที่ทนายตั้ม กระทำกับพี่อ้อยนั้น เป็นเรื่องน่าเสียใจที่สุด ทำไมคนดีๆ ระดับ “นางฟ้าเดินดิน” ต้องมาถูกฉ้อโกง จากทนายความ ที่พี่อ้อยให้ใจ และไว้วางใจ !!!
เงิน 71 ล้านบาท กับ โรงเรียนวัดขนงพระเหนือ
คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ครับ ท่านผู้ชมครับ ทราบไหมครับว่า ทำไมผมต้องเล่าถึงเรื่องราวในอดีต และเรื่องราวของโรงเรียนวัดขนงพระเหนือที่ อ.ปากช่อง “พี่อ้อย จตุพร” เข้าไปอุปถัมภ์ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาให้ฟังอย่างละเอียด ไปค้นประวัติโรงเรียน เก็บข้อมูล ส่งนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการ คุณครู รวมถึงผู้ปกครองนักเรียนบางส่วนด้วย
สาเหตุก็เพราะว่า เงิน 71 ล้านบาท ที่ “ทนายตั้ม” ษิทรา อ้างว่า “พี่อ้อย จตุพร” ให้ตัวเองโดยเสน่หานั้นจริง ๆ คุณรู้ไหมว่าเดิมที “พี่อ้อย” เขาเตรียมเอาไว้ทำอะไร พี่อ้อยเขาต้องการกันเงิน 2 ล้านยูโร ส่วนนี้เอามาลงทุน เพื่อสร้างดอกผล สะสมเอาไว้เพื่อสนับสนุนโรงเรียนวัดขนงพระเหนือแห่งนี้ในระยะยาว 20 – 30 ปีข้างหน้า แม้ว่าแกจะตายจากโลกนี้ไปแล้ว แกพูดอย่างนี้ครับ
“เงิน 2 ล้านยูโรตัวนี้ที่ให้เขาไปลงทุน 71 ล้านบาท เราก็คิดมาตลอดว่าเราจะเก็บเอาไว้ให้เด็กนักเรียน เพราะเราก็ไม่รู้ว่าบั้นปลายชีวิตเราจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ ก็เลยจะเก็บเอาไว้ เพราะกว่าเราจะเอาเงินก้อนนี้ออกมาได้ต้องเซ็นกระดาษเป็นร้อยหน้าเลย ต้องย้ายเงินออกจากหุ้น และประกันที่ซื้อไว้ที่โน่น ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เหมือนขาดทุน เพราะเราขายหุ้นกับขายประกัน เอาเงินสดออกมาก็เหมือนขาดทุนเลย เพราะธนาคารที่ฝรั่งเศสเขาจะดูแลเรื่องหุ้นให้เรา
“เราก็บอก ก็ถามเลขาฯ ว่า เฮ้ย! มันแน่ไหม มันชัวร์ไหม จะให้ดีไหม ถ้าให้ไปแล้วเราไม่ได้คืนมาเราวิ่งให้รถชนตายเลยนะ เพราะมันเป็นเงินก้อนที่ไม่น้อย แม้ว่าเทียบกับเงินที่เราบริจาคให้การกุศลไปแล้วจะพอ ๆ กัน แต่เงินก้อนเดียวกันนี้ถ้าโดนอย่างนี้ เราเอาไปให้ส่วนรวมดีกว่า ให้คนทุกคนที่เราดูว่ายากลำบากดีกว่า
“เราคิดมาตลอดว่า ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เขาชวนไปลงทุนแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ เราก็เชื่อใจว่ามันคงไม่หายไปตามที่เขาบอก เพราะเงินก้อนนี้เราตั้งใจว่าจะเก็บเอาไว้บริจาคให้โรงเรียน เพราะเราต้องจ้างครูอัตราจ้างให้มาสอนนักเรียน ไหนจะค่าอาหารเช้า อาหารกลางวันอีก ที่โรงเรียนวัดขนงพระเหนือ ซึ่งโดยเฉลี่ยเราเตรียมเงินเอาไว้ให้ประมาณ 2.5 ล้านบาท (ขณะที่ในปี 2568 ตั้งงบไว้แล้ว 2.7 ล้านบาท)”
ประเด็น : ถ้าไล่ Timeline ร้อยเรียงเรื่องราวตามลำดับตามที่ผมเล่าให้ฟังก็จะเห็นได้ว่า “พี่อ้อย จตุพร” นั้น บริจาคทำบุญ ให้การสนับสนุนโรงเรียนเก่าของตัวเองก่อนที่จะร่ำรวยมีเงินมากมายมหาศาลเสียด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นถึงสำนึกที่ดี จิตใจที่งดงาม ที่เป็นบุญกุศล และผมเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นบุญหนุนส่งให้พี่อ้อยโชคดีขนาดนี้ ก่อนจะโชคร้ายมาเจอ “คุณษิทรา”
“คุณษิทรา” คุณรู้ไหมว่าสิ่งที่คุณทำกับเขา มันไม่ใช่แค่การเนรคุณกับ “พี่อ้อย จตุพร” ผู้ที่เคยไว้ใจคุณ และเคยมีพระคุณกับคุณอย่างมาก แต่คุณยังทำบาปไปถึงเด็กนักเรียนตัวเล็กตัวน้อย คุณครู และชุมชนที่มีคนที่เกี่ยวข้องอีกหลายร้อย หลายพันคนด้วย
คุณเคยรู้ เคยคิด และเคยอายบ้างไหมว่าความโลภของคุณมันได้ทำร้ายตัวคุณเอง แต่ยังทำร้ายผู้คนจำนวนมาก ผมไม่มีอะไรจะสอนคุณ เพราะคุณก็ไม่ใช่เด็กแล้ว มีครอบครัว มีเมียมีลูกตั้งหลายคน คุณต้องหันกลับมาตั้งสติ กลับตัวกลับใจ และทำสิ่งที่ถูกต้องเสีย ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดีเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะฟังหรือไม่ฟังก็แล้วแต่คุณ
“อนุทิน-ทนายตั้ม” เจอกันที่ฮ่องกง แค่บังเอิญแล้วชวนกันกินข้าว จริงหรือ
ในประเด็นที่ “พี่อ้อย” บอกว่า “ทนายตั้ม” ชักชวนให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ โดยอ้างว่ามีแบ็กอัพเป็นนักการเมืองใหญ่ ก่อนที่ “พี่อ้อย” จะโอนเงินให้นายษิทรา 2 ล้านยูโร หรือประมาณ 71 ล้านบาท ให้นั้น ในตอนหนึ่ง “พี่อ้อย” กล่าวว่า ทนายตั้ม เคยเอ่ยถึง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ขณะเป็น รมว.ยุติธรรม มีการโทรศัพท์ไปหาด้วย และพยายามพาพี่อ้อยไปเจอนักการเมืองหลายคน ครั้งหนึ่งหลังเลือกตั้ง 2566 ยังเคยพาไปฮ่องกง ไปพบกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยพักโรงแรมเดียวกัน(ซึ่ง “ทนายตั้ม” เป็นคนจองให้)คือโรงแรมเดอะ เพนนินซูลา ฮ่องกง ก่อนที่นายอนุทินจะพาไปทานข้าว พร้อมกับนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ
อย่างไรก็ตาม หลังปรากฎเป็นข่าวโด่งดัง นายอนุทิน พยายามอธิบายว่า ตนได้พบทนายตั้มจริงที่ฮ่องกงเมื่อปีที่แล้ว (2566) ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง ตนเดินทางไปไหว้เจ้า ท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว พอดีเจอทนายตั้มพักโรงแรมเดียวกัน ก็รู้จักในระดับหนึ่ง ไม่ได้นัด เจอกันโดยบังเอิญ เมื่อเจอกันแล้วมีวันหนึ่งตนไปทานข้าว จึงชวน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี และนายษิทราไปด้วย เป็นการรับประทานอาหารด้วยกันธรรมดา ไม่มีอะไร
เมื่อถามถึงการพูดคุยกันเรื่องหวยออนไลน์ นายอนุทินกล่าวว่า “อันนั้นมั่ว” เพราะตอนที่ไปฮ่องกง ตนยังไม่รู้เลยว่าจะได้เป็นฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ อีกทั้งกำลังเตรียมตัวเป็นฝ่ายค้านแล้ว ไม่มีทางที่จะไปคุย และไม่เคยมีประวัติอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องหวยออนไลน์ ไม่เคยคุมเรื่องพนันเรื่องหวย วันนั้นยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าจะได้มีวาสนามาอยู่กระทรวงมหาดไทย
นายอนุทิน กล่าวว่า เคยรู้จักนายษิทรา เคยมาหาสมัยอยู่กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่สมัยโควิด ไม่มีอะไร ไม่เคยได้คุยกันเรื่องงาน มากับเพื่อนอีกคน เขาก็เป็นคนนิสัยมีโอภาปราศรัย ปกติแล้วไม่ได้ติดต่ออะไรกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกันหรือว่ามีอะไรไม่ชอบกัน เป็นคนรู้จักกัน แต่ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับภารกิจส่วนตัว หรือดำเนินการใดๆ ส่วนตัว เขาไม่ได้มาขออะไรให้ตนช่วยเหลือ ไม่ได้ติดต่อกัน
ส่วน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ทนายตั้มอ้างว่าจะอนุมัติหวยออนไลน์ให้ว่า ตนไม่เคยคุย ไม่เคยซื้อลอตเตอรี่ อาจเคย ซื้อในอดีตหลายปีแล้ว ไม่เคยมีธุรกิจหรือธุรกรรมเกี่ยวข้องกับกองสลากฯ แต่เคยไปเป็นประธานออกสลากกินแบ่งรัฐบาล 2-3 ครั้ง ส่วนตัวรู้จักทนายตั้มในฐานะนักการเมืองที่รู้จักผู้คนทั่วไป เวลามีเรื่องร้องเรียนเข้าไปที่กระทรวง แต่ก็มีหลายคนเข้ามา ไม่ใช่แค่ “ทนายตั้ม ษิทรา”
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่มีชื่อเชื่อมโยงหวยออนไลน์? นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่ได้กังวล ไม่รู้ว่าจะกังวลอะไร ส่วนจะกระทบชื่อเสียงหรือไม่ที่ถูกนำไปแอบอ้าง เห็นว่า ชื่อตัวเองน่าจะเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ จึงถูกนำไปอ้างเยอะ
ข้อสังเกต : อย่างไรก็ตาม เมื่อสื่อมวลชนและประชาชนย้อนกลับไปสืบค้นข้อมูลเก่า ๆ ก็พบว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2566 หรือช่วงหลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ มีภาพที่นายอนุทินโพสต์ไว้ในโซเชียลมีเดีย เป็นภาพบรรยากาศเที่ยวฮ่องกง ระบุว่า
“มาฮ่องกงต้องอย่าลืมแวะกินห่านย่างที่ Yung Kee ภาษากวางตุ้งออกเสียงว่า “หย่งเก” อยู่ที่ Central ฝั่งฮ่องกง เมนูเด็ดคือ ห่านย่างหรือ “ซิ้วหงอ” และหมูแดง ที่เรียกว่า “ช้าซี้ว” เป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิม ไข่เยี่ยวม้า “เผ่ต๋าน” ก็อร่อยมาก เสิร์ฟพร้อมขิงดอง คนไทยที่มาเที่ยวฮ่องกงส่วนใหญ่รู้จักร้านนี้ดีครับ #เสี่ยหนูเมนูอร่อย”
ขณะเดียวกัน ยังบังเอิญมีภาพที่ทนายตั้มโพสต์สตอรี่ เป็นภาพที่ยืนบริเวณหน้าร้านอาหารเดียวกับ นายอนุทิน พร้อมระบุข้อความว่า “ตามรอยคนดัง”
นอกจากนี้ ต่อมานายอนุทินมีการโพสต์ภาพขณะไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วัดแชกงหมิว (วัดกังหัน) และศาลเจ้าหวังต้าเซียน ที่ฮ่องกง พร้อมกับครอบครัว ที่มีลูกชาย เป๊ก-เศรณี ชาญวีรกูล ที่ควงแฟนสาว เพลง-ชนม์ทิดา อัศวเหม ไปร่วมทริปด้วย
และภาพต่อไปขณะร่วมโต๊ะอาหาร กับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีต รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และ นางศุภมาส อิศรภักดี โฆษกพรรคภูมิใจไทย โดยระบุว่า “หัวหน้าพรรค เลขาฯพรรคและลูกพรรค เพิ่งมีเวลาทานข้าวกัน”
ขณะที่ในวันเดียวกัน “ทนายตั้ม ษิทรา” กลับมีการโพสต์ภาพคู่กับภรรยา ลงในสตอรี่ ที่ศาลเจ้าเดียวกับนายอนุทิน ในช่วงวันเดียวกันด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เดือนพฤษภาคม 2566 ที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ อดีตนักการเมืองออกมาโจมตีพรรคภูมิใจไทยเกี่ยวกับนโยบายกัญชา และกรณีที่ดินเขากระโดง ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง “ทนายตั้ม ษิทรา” ได้เคยมีบทบาททำหน้าที่แฉกลับนายชูวิทย์ ทั้งเรื่องถุงเงิน 6 ล้านบาท ของ “สารวัตรซัว” พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล ผู้อยู่เบื้องหลังเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่
ก่อนที่นายชูวิทย์ตอบโต้ทนายตั้ม พุ่งเป้าไปที่ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทั้งกินหรูอยู่แพง แบรนด์เนมทั้งตัว เป็นทนายเซเลบฯ ขับรถหรู เที่ยวต่างประเทศ และยังมีคลิปที่ทนายตั้มมีตำรวจไปรอต้อนรับที่สนามบิน จนทำให้ “ทนายตั้ม ษิทรา” เงียบไปพักใหญ่
มีพรายมากระซิบให้ผมฟัง ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าว่า จากผลงานของ “ทนายตั้ม” ในการเตะสกัดขัดขา นายชูวิทย์ ที่กำลังถล่มพรรคภูมิใจไทยอย่างรุนแรงในช่วงก่อนการเลือกตั้งนั้น แม้ในเวลาต่อมา “ทนายตั้ม” จะถูกถล่มจนเสียศูนย์ไปพักใหญ่ โดยกว่าจะกลับมาได้ก็ใช้เวลาเป็นปี
แต่ด้วยผลงานดังกล่าวนี้เอง ทางภูมิใจไทยจึงได้มีการตบรางวัลให้ “ทนายตั้ม” ก้อนใหญ่ ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร เป็นทรัพย์สิน หรือ โปรเจกต์อะไรกันแน่ เพราะเมื่อผมกับทีมงานไปไล่ดูความเห็นทางโซเชียลเรื่อง “ทริปฮ่องกงโดยบังเอิญ” ของ “ทนายตั้ม”กับ “คุณหนูอนุทิน” แล้ว ที่คุณอนุทิน คนระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อ้างปากแข็งว่าเป็นความบังเอิญ
น่าเสียดาย และ น่าเสียใจที่พี่น้องประชาชน รวมถึงสื่อมวลชนส่วนใหญ่ไม่มีใครเชื่อคุณอนุทินเลยแม้แต่คนเดียว !!!