"ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" เผยกับช่อง 8 มาดามอ้อยเกือบจะรับลูกชายทนายตั้มเป็นบุตรบุญธรรมจริง แต่ลูกชายแท้ๆ ไม่เห็นด้วย เตือนสติคิดให้ดีๆ มีผลทางกฎหมาย เผยทนายดังอ้างคนใกล้ชิดติดหนี้ ขอเงินมาดามอ้อยอีก 39 ล้าน แต่ไม่ติดใจเอาความ ฟ้องแค่เงิน 71 ล้าน พบรถเบนซ์ต้องยื่นโนติส 2 ครั้งกว่าจะได้คืน แถมพบเลขไมล์ใช้ไปมโหฬาร
วันนี้ (28 ต.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือมาดามอ้อย เศรษฐีเจ้าของธุรกิจในประเทศฝรั่งเศส และคุณน้อย เลขานุการส่วนตัว เข้าพบนายสนธิ ลิ้มทองกุล และทีมงาน ที่บ้านพระอาทิตย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ออกอากาศผ่านรายการลุยชนข่าว ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 กรณีโพสต์ข้อความเรื่องบุตรบุญธรรม ว่า มาดามอ้อยมาหานายสนธิที่บ้านพระอาทิตย์เมื่อสัปดาห์ก่อน เล่าข้อมูลทั้งหมด และไปแจ้งความดำเนินคดีนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ทนายความชื่อดัง ในข้อหาฉ้อโกง ที่ สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
มาดามอ้อยยอมรับว่ารู้จักและศรัทธานายษิทราตั้งแต่เรื่องคดีผู้กำกับฯ โจ้ ที่นายษิทราเปิดประเด็น ก่อนจะถึงคดีหวย 30 ล้าน แล้วรู้สึกว่าทนายคนนี้เก่ง หลังจากนั้นจึงติดตามเป็นแฟนคลับ ตอนหลังได้มีโอกาสเจอกัน ให้นายษิทรามาหาถึงจังหวัดนครราชสีมา มีการจ่ายเงินเพื่อปรึกษาเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ เพราะมาดามอ้อยจะมาทำธุรกิจ และเรื่องสัญญาต่างๆ เดือนละ 300,000 บาท เพราะมาดามอ้อยไม่รู้ข้อกฎหมาย หลังจากนั้นจึงโอนให้นายษิทราทุกเดือน แต่ไม่ได้โอนผ่านบัญชี โอนเข้าบุคคลอื่น คือบัญชีญาติของนายษิทรา
ต่อมา เวลาไปเที่ยวมาดามอ้อยออกให้ทุกบาททุกสตางค์ ครอบครัวนายษิทราจะไปเที่ยวไหน ค่าใช้จ่ายออกให้หมด ขณะเดียวกันยืนยันว่าเป็นเพราะมาดามอ้อยศรัทธาในตัวนายษิทรา ขอยืนยันว่าไม่มีเรื่องชู้สาว ส่วนเรื่องลูกบุญธรรม เมื่อปี 2565 นายษิทราจะขอยกลูกชายให้เป็นลูกบุญธรรมของมาดามอ้อย มาดามอ้อยเกือบจะรับปาก ปรากฏว่ามาดามอ้อยขอไปปรึกษาลูกชายก่อน พอไปปรึกษาลูกชายที่ประเทศเยอรมนีแล้ว ลูกชายกล่าวว่าแม่ต้องคิดดีๆ นะ มันมีการหวังอะไรหรือไม่ เพราะมีผลทางกฎหมาย วันข้างหน้าเกี่ยวพันกับมรดก ทำให้แผนจะเอาลูกชายนายษิทรามาเป็นลูกบุญธรรมไม่สำเร็จ
"พี่อ้อยเขามีความไว้วางใจจากทนายตั้มด้วยความศรัทธา จากคดีอื่นๆ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับทนายตั้ม ก็เลยเป็นที่มาของการจ้างเงินด้วย เดือนละ 300,000 บาท แล้วก็ดูแลอย่างดีเวลาไปเมืองนอก แต่ว่าทำอะไรบ้างหรือเปล่า ที่จริงแล้ววันถึงยกเลิกสัญญาที่ไม่ยอมจ่ายเงินเดือนแล้ว ต้องไปถามพี่อ้อยและทนายตั้มว่า เหตุผลที่เขายกเลิกเพราะอะไร ทนายตั้มน่าจะบอกว่าเขามองว่าใช้คุ้มค่าหรือเปล่า แล้วจะเปลี่ยนเป็นรูปของชิ้นงานแทนหรือเปล่า เป็นเรื่องๆ หรือเปล่า และเพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนั้น ก็แปลว่าเขาเจตนาช่วยทนายตั้มใช่หรือไม่ แล้วจริงหรือเปล่าที่ผมตั้งคำถามเพราะเขาแจ้งมา ดูเหมือนทนายตั้มอยากจะต่อสัญญาเดือนละ 300,000 บาทไปอีกมากกว่าที่ไม่อยากให้ยกเลิกให้เร็ว เนื่องจากตัวเองอาจจะต้องการค่าใช้จ่ายไปทำอะไรก็สุดแท้แต่ นั่นก็เป็นเรื่องคู่สนทนาที่เขาเกิดขึ้น"
"แต่ที่น่าสนใจความสัมพันธ์ เขาไว้วางใจกันขนาดไหน ก็คือทนายตั้มเคยคิดจะเอาบุตรชายของทนายตั้ม นี่จากปากคำของพี่อ้อยและทีมงาน จะเอาไปเป็นลูกบุญธรรมของพี่อ้อย ตอนนั้นก็เป็นเรื่องของการศึกษากับภาษาในการเรียนที่ฝรั่งเศส หรือการเดินทาง แต่บังเอิญลูกชายแท้ๆ ของพี่อ้อยคัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะว่าบุตรบุญธรรมมันมีสถานภาพเป็นความสัมพันธ์ในเชิงกฎหมายผูกพัน และอาจจะถูกตีความในอนาคตถึงความสัมพันธ์ หรือความเกี่ยวพันกับมรดกในอนาคตก็ได้ แต่ว่าลูกชายเขาก็คัดค้าน แล้วก็คัดค้านสำเร็จ" นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวว่า มาดามอ้อยไม่ได้ให้เงินนายษิทราเพียงแค่ 71 ล้านบาท อ้างว่าลงทุนทำธุรกิจลอตเตอรี่ออนไลน์ ซึ่งแจ้งความดำเนินคดีแล้ว แต่ยังมีอีกหนึ่งก้อน เป็นเงิน 39 ล้านบาท นายษิทราอ้างว่านำไปใช้หนี้ให้คนใกล้ชิด เคยถามว่าถ้ามาดามอ้อยได้เงินแล้วจะเอาไปทำอะไร มาดามอ้อยบอกว่าจะเอาไปสร้างโรงเรียน และพัฒนาบ้านเกิดที่จังหวัดนครราชสีมา และอยากจะฝากถึงนายษิทราว่าเรื่องนี้มาดามอ้อยยืนยันว่าเงิน 71 ล้านบาทไม่ใช่เงินที่ให้โดยเสน่หา ส่วนเงิน 39 ล้านบาท มาดามอ้อยไม่ติดใจเอาความ และไม่แจ้งความดำเนินคดี เรื่องของเงิน 39 ล้านบาทเกิดขึ้นก่อนจะโป๊ะแตกเรื่องรถเมอร์เซเดสเบนซ์ เพราะตอนนั้นนายษิทรามาขอความช่วยเหลือมาดามอ้อย โดยบอกว่าคนใกล้ชิดติดหนี้ เลยขอเอาเงินไปช่วย
มาดามอ้อยก็ให้ไป 39 ล้านบาท โดยไม่ติดใจเพราะอยากสนับสนุนนายษิทรา มองว่านายษิทราคือครอบครัวที่ดีกับมาดามอ้อยมาโดยตลอด ไม่ว่าลูกชายนายษิทราอยากจะไปเรียนต่างประเทศมาดามอ้อยก็สนับสนุน ซึ่งมาดามอ้อยบอกกับตนว่าเรื่องเงินต่างๆ ที่ให้นายษิทราไปทั้งหมด ทั้งเงินก้อน 39 ล้านบาท เงินที่พาไปเที่ยวต่างประเทศ เงินก้อนที่เลี้ยงลูกชายนายษิทรา ไม่เอาคืน แต่สิ่งที่มาดามอ้อยคาใจที่สุด และต้องมาพบนายสนธิ คือเงิน 71 ล้านบาท ทำไมไม่ไปลงทุนตามที่เขามีการจ่ายนายษิทราไป และประเด็นที่สังคมสงสัย คือบ้านหรูนายษิทรา มูลค่า 40 ล้านบาท น่าจะตรงกับจังหวะเวลาที่เงิน 71 ล้านบาทมาพอดีหรือไม่ ถามว่าเงิน 71 ล้านบาทจะคืนหรือไม่
"สังคมและสื่อควรจะถามประเด็นนี้ เรื่องเกี่ยวข้องกับภาษี ทนายตั้มว่าเป็นเงินเดือนของตัวเอง แต่ทำไมไปโอนเข้าบุคคลอื่น แล้วเท่ากับเป็นการหลบเลี่ยงภาษีหรือเปล่า เพราะว่า 300,000 บาทต่อเดือน 12 เดือนก็เยอะ มันเข้าเกณฑ์ในการจ่ายภาษีไหม อันนี้สื่อก็ควรจะถามทุกครั้ง ถ้าเจอทนายตั้มเรื่องภาษี ประเด็นเงิน 71 ล้านก็มีประเด็นหนึ่ง แต่ผมจะยังไม่เปิด เพราะมันไม่ใช่ประเด็นแห่งคดี แต่ประเด็นที่เขาสงสัยเรื่องเงินประมาณ 39 ล้านบาท ประเด็นนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการตามข่าวที่เขาให้มา ก็คือเป็นเรื่องกับกรณีการช่วยเหลือบุคคลที่มีหนี้รายหนึ่ง ไปช่วยเหลือ แต่ว่าผมจะยังไม่เปิดรายละเอียด เพราะว่ายังไม่ใช่ประเด็นแห่งคดีที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เดี๋ยวสักพักหนึ่งก็คงจะมีข่าวออกมา (เป็นคนที่ทนายตั้มรู้จักอยู่แล้ว) ก็คงเป็นอย่างนั้น ต้องรู้จักสิ ไม่รู้จักจะพาเจอพี่อ้อยได้อย่างไร จะเป็นจริงหรือเปล่าต้องฟังทนายตั้มด้วย"
"คนเราจะให้โดยเสน่หาจริงๆ หรือเปล่า ถึง 71 ล้านบาท หรือ 2 ล้านยูโร อันนี้เป็นคำถามที่เราสงสัยกันมาก เพราะว่าถ้ามันมีคู่สัญญาระหว่างบริษัทที่จัดทำแอปพลิเคชัน กับทนายตั้มขาหนึ่งหรือไม่ และทนายตั้มกับพี่อ้อยหรือไม่ และพี่อ้อยกับตัวบริษัทที่ทำแอปพลิเคชันด้วยหรือไม่ สัญญาความสัมพันธ์เหล่านี้ สัมพันธ์กันอย่างไร" นายปานเทพกล่าว
ส่วนกรณีรถเมอร์เซเดสเบนซ์ รุ่น จี 400 ดี เอเอ็มจี พลัส นายปานเทพกล่าวว่า ทนายความของมาดามอ้อยยื่นโนติส (Notice) ประมาณ 2 ครั้ง ว่าขอทวงคืนรถเบนซ์ ไม่ได้คืนด้วยความง่ายๆ ต้องมีการทำหนังสือทวง แล้วก็รถเบนซ์ที่มาดามอ้อยซื้อ พอได้มาก็ไม่ได้มาได้ง่ายๆ กว่าจะโนติสทวงคืนมา ก็เป็นที่มาของการส่งมอบกันที่ศาลแห่งหนึ่ง ซึ่งบังเอิญเขามีภาระที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ ไม่ได้มีการฟ้องร้อง ข่าวที่ลงไปว่ามีการฟ้องร้อง ยังไม่ฟ้องร้อง อันนี้ขอจะแก้ข่าวเพื่อให้ข้อมูลตรงกัน โดยเฉพาะคนแปลความจากสิ่งที่ตนพูด นึกว่าไปให้กันที่ศาลคือคดีฟ้องร้อง ยังไม่ฟ้อง และส่งมอบกุญแจ แต่ตอนนั้นตามคำบอกเล่าก็คือ ไม่มีกุญแจสำรอง และหนังสือทะเบียนรถ บอกว่าหายไป ก็ทำให้มาดามอ้อยต้องไปตามล่า กว่าจะมาได้ไม่ธรรมดา ก็ใช้เวลานานกว่าจะได้เล่มคืนมาต้องไปตามทางเจ้าของเองในท้ายที่สุด
"กรณีรถเบนซ์จะขัดแย้งกันเรื่องค่าใช้จ่ายว่าสมราคาหรือไม่ กับศูนย์จำหน่ายที่ทางช่อง 8 ไปสืบ ก็ถือว่าชื่นชมที่ไปสืบค้นในเรื่องนี้ ทางเจ้าตัวเขาพูดถึงจำนวนออปชัน (Options) ของรุ่นนี้ ไม่ได้พูดถึงรุ่นเฉยๆ ออปชันที่้เขาสงสัยว่ามันสอดคล้องกับราคาหรือไม่ เนื่องจากไปเช็กที่อื่นด้วย แล้วเขาก็อาจจะมีความรู้สึกว่ามันมีส่วนต่างกันแค่ไหน อันนั้นไม่สำคัญเท่ากับจำนวนไมล์ที่ใช้ไปอย่างมโหฬาร แล้วเขาก็ไปสืบมาได้เลยรู้ว่ามันเกิดบริบท มีคนเอารถไปใช้ ใครบ้าง ประเด็นนี้เดี๋ยวเขาจะทยอยเปิดคลิปกันภายหลัง" นายปานเทพกล่าว
รายงานข่าวจากผู้สื่อข่าวช่อง 8 ระบุว่า โชว์รูมที่จำหน่ายรถเบนซ์ให้ข้อมูลว่าทนายตั้มจ่ายเงินสดเต็มจำนวน สมุดทะเบียนรถขอไม่ตอบ เพราะเป็นความลับของลูกค้า ส่วนราคารถอยู่ที่ 11-13 ล้านบาท