xs
xsm
sm
md
lg

จับตาลับลวงพราง “ดิ ไอคอน” รอดทั้งแก๊ง สังคมไม่ไว้ใจดีเอสไอทำคดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เจาะเกม “ดิไอคอน” หลังเหล่าบอสโดนรวบเข้าเรือนจำ “บอสพอล” กุมคลิปลับ ล็อกคอนักตบทรัพย์-เทวดาให้คุ้มครองช่วยเหลือตัวเองต่อไป จับตาละครลับลวงพราง บริษัทตัดตอนโยนผิดแม่ข่ายคือผู้ชักชวนลงทุน ส่วนแม่ข่ายก็แปลงร่างตัวเองเป็นผู้เสียหายกลายเป็นโจทก์ สุดท้ายหากไม่ฟ้องรวมกันทั้งขบวนการ ทั้งบริษัทและแม่ข่ายจะรอด ยิ่งหากดีเอสไอมารับทำคดีแทนตำรวจ สังคมก็ยิ่งมีข้อกังขา



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีอื้อฉาว “ดิไอคอน กรุ๊ป” ซึ่งถือเป็น “แชร์ลูกโซ่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” ในรอบหลายสิบปี ซึ่งเมื่อวันพุธที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจภ ได้เข้าจับกุมบรรดาผู้บริหาร หรือ บอส ของเครือข่าย “ดิ ไอคอน กรุ๊ป” ไปแล้วทั้ง 18 คน รวมถึงดาราชื่อดังที่เข้ามาส่วนพัวพันด้วย ทั้ง กันต์ กันตถาวร ที่มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยฝ่ายการตลาด “มิน” พีชญา วัฒนามนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร “แซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์


ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลา 50 กว่าปีที่มีคดีแชร์ลูกโซ่รายใหญ่เกิดขึ้นหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นแชร์แม่ชม้อย (ปี 2520-2528) หรือ แชร์ชาร์เตอร์ (ปี 2526-2528) แต่ก็ไม่เคยเห็นตัวเลขจำนวนเหยื่อ - ผู้เสียหายมากมายเท่ากรณีของ “ดิไอคอน” มีดาราชื่อดังเข้าไปเกี่ยวข้องเกี่ยวพัน เป็นพรีเซนเตอร์ รวมถึงมีส่วนในการบริหารจัดการมากมายเท่ากรณี “ดิไอคอน”

สำหรับแชร์แม่ชม้อย นำโดย ชม้อย ทิพย์โส ซึ่งตอนนั้นเป็น “แชร์น้ำมัน” เพราะ ชม้อย ทิพย์โส นั้นเป็น อดีตพนักงานขององค์การเชื้อเพลิง โดยวิธีการหลอกเงินจากเคสนี้ก็คือการรับเงินลงทุนจากประชาชนกว่า 80,000 รายแล้วนำเงินทั้งหมดไปฝากธนาคารกินดอกเบี้ยซึ่งขณะนั้นทางธนาคารเองก็ให้ดอกเบี้ยเงินฝากแก่ลูกค้าสูงมาก แต่ดอกเบี้ยที่แม่ชม้อยจ่ายให้ผู้ร่วมลงทุนกลับสูงกว่า 6.5% โดย จุดขายสำคัญของคดีนี้คือการหลอกล่อผู้ร่วมลงทุนว่าหากลงทุน 160,000 บาท จะได้รับดอกเบี้ย 10,600 บาทต่อเดือน จึงส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากตบเท้ากันเข้ามาร่วมลงทุนจนส่งให้เกิดการกู้ยืมทั้งหมด 23,519 ครั้งรวมเป็นเงิน 4 พันกว่าล้านบาท (4,043,997,795 บาท)


ซึ่งถ้าคิดจากจำนวนเงินความเสียหาย 4 พันกว่าล้านบาท เมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ถ้าคิดเป็นมูลค่าเงิน ณ วันนี้ก็น่าจะคิดเป็นหลักแสนล้านบาท หรือหลายแสนล้านบาท

นอกจากนี้ก็ยังมีแชร์ชาร์เตอร์ (ช่วงปี 2526-2528) โดย นายเอกยุทธ อัญชันบุตร ซึ่งหวังหากำไรส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ยกู้ในต่างประเทศซึ่งอยู่ในระดับต่ำ(ประมาณ 3%)และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากภายในประเทศ(ประมาณ 10 กว่า%)จึงดำเนินการระดมทุนผ่านแชร์ลูกโซ่ และนายเอกยุทธก็นำกำไรที่ได้ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม


ตอนนั้นแชร์ชาร์เตอร์ เกิดเสียหายไปหลักพันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบันก็น่าจะหลายหมื่นล้านบาท

ต่อมาในช่วงหลังก็มีคดีเมจิกสกิน (2561) แชร์ลูกโซ่รูปแบบใหม่ในเวลานั้น ที่แฝงมากับการขายตรงโดยใช้กลอุบายหลอกล่อผู้หวังรวยด้วยยอดขายเพื่อดึงให้เข้ามาร่วมลงทุนตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสน พร้อมข้อบังคับที่ว่าผู้ร่วมลงทุนจะต้องสต๊อกสินค้าถึงแม้ของเดิมจะยังขายไม่หมดทั้งยังระบุแถมบังคับเอาไว้ด้วยว่าห้ามสั่งซื้อสินค้าต่ำกว่ายอด 100,000 บาท ซึ่งมีผู้เสียหายถึง 904 รายเข้าแจ้งความรวมมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 290 ล้านบาท


หลังสุดที่เป็นเรื่องอื้อฉาวโด่งดัง คือคดี Forex 3D โดย นายอภิรักษ์ โกฎธิ ซึ่งทำมาหลายปี แต่เรื่องเพิ่งมาแดงเอาใน ปี 2563 และยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน โดยคดีนี้รวมผู้เสียหายเกือบหนึ่งหมื่นคน และมีการกู้ยืมเงินรวมกันมีความเสียหายหลายพันล้านบาททั้งยังเกี่ยวข้องกับคนมีชื่อเสียง และดารา หลายคนยกตัวอย่างเช่น ดีเจแมน พัฒนพล, ใบเตย สุธีวัน, พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช เป็นต้น ซึ่งผมเคยเปิดเผยเบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้อย่างละเอียดไปในรายการหลายครั้งหลายตอน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา


ปิรามิดหมื่นล้านแชร์ลูกโซ่ “ดิ ไอคอน”

สำหรับกรณีของแชร์ลูกโซ่ “ดิ ไอคอน” นั้นล่าสุดมีการเปิดเผยออกมาแล้วว่า มีการแบ่งลำดับขั้นการบริหาร การจัดการ และการดำเนินการอย่างไร ในรูปแบบปิรามิด ตั้งแต่ บิ๊กบอส คือ “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล เรื่อยลงมาถึง “บอส 10 คน” ที่นายพอล เรียกว่าเป็น “ตัวแทนจำหน่ายติดบริษัท” จำนวน 10 รายก่อนที่กระจายลงไปยังแม่ข่าย ลงไปยังสายต่างๆ อีกเยอะแยะมากมาย

ทั้งนี้ นายพอล วรัตน์พล เปิดเผยแล้วว่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาเครือข่าย The iCon สามารถดึงดูดผู้คนให้หลงเข้ามาเป็น “สมาชิก” ได้มากมายถึง 368,257 ราย ซึ่งนั่นหมายความว่า ดิ ไอคอน ได้กลายเป็นแชร์ลูกโซ่ขนาดมหึมาที่สามารถดึงดูด “สมาชิก” ให้หลงเข้ามาติดกับมากมายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยไปโดยปริยาย !!!(แต่จำนวนเงินหากคำนวณเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้วยังอาจจะยังสู้ แชร์แม่ชม้อยไม่ได้)


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อลงลึกไปในรายละเอียดประเภทของ“สมาชิก”ก็จะพบว่ามีการแบ่งเป็น4 ประเภทใหญ่ ๆด้วยกันคือ

ขายปลีก (Distributor) เปิดบิล 2,500 บาทจำนวน 285,833 ราย
หัวหน้าทีม (Supervisor) เปิดบิล 25,000 บาทจำนวน 43,976 ราย
ตัวแทนจำหน่ายรายเล็ก (Mini Dealer) ซึ่งเพิ่งมีภายหลังไม่นานนี้ เปิดบิล 50,000 บาทจำนวน 6,476 ราย และ
ตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ (Dealer) เปิดบิล 250,000 บาทจำนวน 31,972 ราย


ซึ่งหากเพียง คิดแค่จำนวนเงินขั้นต้นเฉพาะการ “เปิดบิล” ก็ตีเป็นเงินความเสียหายแล้วกว่า 10,130 ล้านบาท (โดยยังไม่นับความเสียหายอื่น ๆ จากการจำหน่ายสินค้า ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นการยิงโฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก และสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อีกจำนวนมาก)

ตัวเลขดังกล่าว ยังไม่นับรวมกับ “บอสลับ” หรือ “บอสแฝง” ในปิรามิด ซึ่งก็คือ พวก “บอสดารา” หรือ “ซูเปอร์แม่ข่าย” ที่คอยรับเปอร์เซ็นต์จากสินค้าที่ขายได้อีกเป็นรายเดือน

ซึ่งจากปากคำของ “พอล วรัตน์พล” นั้นมีดาราอยู่ 3 รายที่เข้าข่าย คือ กันต์ กันตถาวร, มิน พีชญา และ แซม ยุรนันท์


จากหลักฐานทั้งเชิงประจักษ์ การให้ตำแหน่งผู้บริหาร หรือ บอสโน่นนี่ในบริษัท คลิปวีดิโอคำพูดบนเวทีต่างกรรมต่างวาระ ไล่ไปจนถึงหลักฐานทางการเงิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจสอบทั้งหมด ดารา 3 คนนี้ไม่มีทางหนีความรับผิดชอบได้พ้น

นอกจากจะจับกุมเจ้าตัวแล้ว สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ก็ทยอยอายัดทรัพย์สินของคนเหล่านี้ไปแล้วบางส่วน แต่ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยมาก

จริง ๆ แล้ว ควรต้องอายัดทรัพย์เหล่าบอสทั้งหมด ทั้งส่วนบนของปิรามิดเพื่อไม่ให้มีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และทำลายหลักฐาน หรือ ดำเนินการซักซ้อม ตระเตรียมการสู้คดีในหมู่จำเลยในภายหลัง


ส่วนดาราคนอื่น ๆ นั้น ไม่ว่าจะเป็น บอย ปกรณ์, โดม ปกรณ์ ลัม, ป้อง ณวัฒน์, เวียร์ ศุกลวัฒน์, ลีเดีย ศรัณย์รัตน์หรือพีพี กฤษฏ์นั้นเบื้องต้น เท่าที่ทราบ ก็เป็นเพียงพรีเซนเตอร์เฉพาะสินค้า เท่านั้น ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากค่าสินค้าเป็น เปอร์เซนต์จากยอดขายรายเดือน แต่ถ้ามีหลักฐานเพิ่มเติมว่าเกี่ยวข้องก็ต้องโดนด้วย

กลับมาพูดถึงเรื่องของรายละเอียดคร่าว ๆ ของตัวตนของ “นายพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล และแชร์ลูกโซ่ ดิ ไอคอนที่เขาสร้างขึ้นมา

ประการแรก “นายพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล นั้นปัจจุบันอายุ 41 ปี (เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2526) โดยมีแม่ชื่อ จินดา แซ่ก็อก(ปัจจุบันเป็นผู้หุ้น บ.ดิ ไอคอน กรุ๊ปด้วยจำนวน 21%) ส่วนพ่อนั้นทิ้งไปตั้งแต่อายุได้ 3 ขวบ


“นายพอล วรัตน์พล” เคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์โดยสร้างชื่อมาจากการไปออกรายการตีสิบของ นายวิทวัส สุนทรวิเนตร์ จนได้ชื่อว่า “พอล ตีสิบ” และใช้ชื่อนี้วิ่งโร่ไปสื่อต่าง ๆ เล่าถึงประวัติในการสร้างฐานะตัวเองจากลูกคนงานก่อสร้างมาเป็นเศรษฐีร้อยล้านว่า

ตั้งแต่ตนจำความได้ก็อยู่กับแม่ พ่อทิ้งไปตั้งแต่อายุ 3 ปี อยากรวย ไม่อยากจนแบบที่ผ่านมา “ผมเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน แม่เป็นกรรมกรก่อสร้าง ส่วนพ่อก็ทิ้งพวกเราไปตั้งแต่ 3 ขวบ มีชีวิตรอดมาได้ก็เพราะว่าแม่ไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง หาเงินมาเลี้ยงดูพวกเรา บางทีก็กินข้าวโรยน้ำตาลหรือไม่ก็น้ำมันหมูคลุก ๆ ให้ชีวิตอยู่รอดไป


“ส่วนตัวผมเรียนที่โรงเรียนวัด ซึ่งแม่ให้ไปเรียนจริง แต่ว่าไม่มีเงินให้เรียน ก็เลยต้องไปขอทุนที่โรงเรียน แล้วก็ทุนอาหารกลางวันจากวัด หลังจากนั้นผมก็มาเข้าโรงเรียนชายล้วน (คือ รร.โยธินบูรณะ) ก็ขอทุนอาหารกลางวันเขากินเหมือนเดิม จนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมก็เอนทรานซ์แข่งกับเขานี่แหละ แต่สอบไม่ติดก็เลยต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย แม่ไม่มีแรงที่จะหาเงินได้แล้ว เพราะแม่แก่แล้ว เราก็เลยต้องไปทำงานเสิร์ฟ หาเงินมาเลี้ยงแม่ แล้วก็ส่งตัวเองเรียนด้วย ...”

เมื่อเรียนจบ นายพอล ได้ทำงานประจำ โดยเงินเดือน 6,000 บาท ขอทำโอทีเพิ่มมาเป็นเงินเดือนรวม 10,000 บาท แล้วก็ยังไม่พอ เมื่อเลิกงานประจำแล้วก็ไปเสิร์ฟเบียร์ นอนวันละ 2-3 ชั่วโมง ชีวิตวนอยู่อย่างนี้

กระทั่งชีวิตพบจุดเปลี่ยนตอนอายุได้ 25 ปี เมื่อเป็นหนี้บัตรเครดิตหลายแสนบาท ทะเลาะกับแม่ ทะเลาะกับแฟน จนเครียดและจะฆ่าตัวตาย แต่คิดได้เสียก่อนจึงล้มเลิก โดยเมื่อได้อ่านหนังสือจากคนที่ประสบความสำเร็จ และตกตะกอนได้ว่าต้องทำธุรกิจ จึงเริ่มทำธุรกิจ โดยได้ไปเรียนได้ไปอ่านหนังสือเรื่องธุรกิจออนไลน์ กระทั่งมีธุรกิจออนไลน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านวัสดุก่อสร้าง ความงาม และสุขภาพ


หลังจากนั้น “นายพอล วรัตน์พล” จึงเริ่มทำธุรกิจผ่านออนไลน์ และโซเชียลมีเดียขึ้น

“ออนไลน์ เนื่องจากต้นทุนมันต่ำมาก จุดคุ้มทุนสร้างได้ง่ายมาก แทบไม่ต้องกังวลว่าจะคุ้มไม่คุ้มเลย เพราะว่ามันคุ้มแน่ๆ มันเข้าถึงคนจำนวนมหาศาลได้เร็วในราคาที่มันต่ำมาก เพราะฉะนั้นการทำธุรกิจออนไลน์ก็คือคุณทำอะไรก็ได้ แค่ใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำตลาด แล้วคุณจะพบถึงความมหัศจรรย์ของการทำตลาดออนไลน์ที่ต้นทุนต่ำ แต่รีเทิร์นสูง แล้วก็ทำให้คุณพลิกชีวิตมารวยได้ ใครที่บอกทำไม่เป็น อยากให้ลองศึกษาดู เดี๋ยววันหนึ่ง คุณก็เป็นเอง หรือแค่เล่นเฟซบุ๊ก เล่นไลน์ เล่นอินสตาแกรมได้ ก็สบายแล้ว มันไม่ได้ยากเลยครับ”


มีการเปิดเผยจากเพจบางเพจที่เกาะติดเรื่องราวแชร์ลูกโซ่ The iCon ระบุว่า พอล วรัตน์พล นั้นเคยเข้าไปเรียนรู้ และเก็บเกี่ยววิชาในการทำเว็บไซต์ การทำการตลาดออนไลน์ ในเว็บไซต์ ThaiSEOboard (เรียกกันเล่นๆ ว่า ไทยเสียวบอร์ด)ซึ่งเป็นแหล่งบ่มเพาะ โปรแกรมเมอร์ คนทำเว็บไซต์ และ นักการตลาดออนไลน์ในยุคก่อน รวมถึงคนอย่างเช่น แทนไท ณรงค์กูล หรือ “นอท” พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ เจ้าของกองสลากพลัส (แต่ไม่มีข้อมูลยืนยันว่าคนเหล่านี้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือไม่)

แนวคิดดังกล่าวของ “นายพอล วรัตน์พล” ก็ตกทอดมาถึงปัจจุบัน โดยจะเห็นได้จากการที่ The iCon เคยซื้อโฆษณาขึ้นป้ายทั่วเมืองว่า ขายออนไลน์ = The iCon

แต่ในความเป็นจริงแล้วธุรกิจที่ พอล วรัตน์พล สร้างและเติบโตขึ้นมาได้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย


ประการต่อมา ธุรกิจออนไลน์ธุรกิจแรกที่ นายพอล ทำนั้นคือ ธุรกิจขายกระเบื้องออนไลน์ โดยเจ้าตัวเคยบอกว่าสาเหตุที่มาขายกระเบื้องเพราะ “ภรรยาในตอนนั้น” ครอบครัวทำโรงงานกระเบื้องจึงทำเว็บไซต์ขายกระเบื้องออนไลน์ ซึ่งสร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ตัวเองอย่างมาก ทว่า เจ้าตัวก็ยังคงไม่พอใจ

จนกระทั่ง เจ้าตัวก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายขายตรงเป็นครั้งแรก กับ แอมเวย์ แต่ทำอยู่ประมาณ 3 เดือน ก็ถอนตัวออกมา

แต่ด้วยความที่เจ้าตัวมีความใฝ่ฝันว่าอยากจะมีรายได้ทางอ้อมแบบไม่ต้องทำงาน (Passive Income) เจ้าตัวก็กระโดดไปทำธุรกิจเครือข่ายที่เรียกว่า เอเจล (agel) ซึ่งเจ้าตัวคลุกคลีอยู่กับเครือข่ายนี้เป็นเวลาประมาณหนึ่งปีเต็ม


ซึ่งท่านผู้ชมจะเห็นจากภาพประกอบที่ผมขึ้นให้ดูนี้กับมอตโต้ว่า “ขยันผิดที่ 10 ปี ก็ไม่รวย” ที่“บอสพอล ดิ ไอคอน”ใช้ทุกวันนี้นั้นจริง ๆ ก็มาจากสมัยเจ้าตัวทำธุรกิจเครือข่ายขายตรง เอเจล (agel) นี่เอง

หลังจากนั้นเจ้าตัวก็กระโดดมาทำธุรกิจเครือข่ายอีกแห่งนั่นคือเจอเนสส์ โกลบอล (Jeunesse Global) โดยอยู่ในสายงานของแม่ข่ายยักษ์ใหญ่ในประเทศนำโดยสามีภรรยาคู่หนึ่งที่ชื่อ “ธเนตร วงษา” กับ “กบ” อนุสรา จันทรังษี(ดารา-นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังในอดีต)โดยคุณธเนตรนั้นเคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเคยเป็นพนักงานการไฟฟ้าอยู่ราว 10 ปี จึงลาออกมาทำธุรกิจขายตรง

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีหลายคนอย่าง “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด พยายาม โบ้ยว่า“บอสใหญ่”เหนือ“บอสพอล ดิ ไอคอน”นั้นคือ นายธเนตร วงษา กับภรรยา คุณกบ อนุสรา โดยบอกว่า นายธเนตร นั้นเป็น“บอส ธ.”ซึ่งผมคิดว่าเป็นการกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมเท่าใดนักซึ่งเจ้าตัว นายธเนตร ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านช่อง 3 ยืนยันแล้วว่า ไม่เกี่ยวข้อง โดยเปิดเผยด้วยว่าเคยทำงานด้วยกันกับ“บอสพอล”ประมาณ 7 ปีก็จริง แต่กรณี“ดิ ไอคอน”นั้นตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้อง


อย่างไรก็ตาม นายธเนตร ยอมรับว่ารู้จักนักการเมือง ส. ที่ว่ากันว่าเป็นนักการเมืองในคลิปเสียงสนทนา กับ นายพอล เนื่องจาก นาย ส. นั้นเคยมีตำแหน่งประธานปราบแชร์ลูกโซ่

ประการที่ 3 ระหว่างที่อยู่กับเจอเนส โกลบอล 7 ปี(เมื่อรวมกับ แอมเวย์ และ เอเจลอีกปีกว่า ๆ รวม 8 ปีกว่า) นายพอล ก็เก็บเกี่ยว-เรียนรู้ กระบวนการ วิธีการ ขั้นตอน ช่องว่าง ช่องโหว่ทางกฎหมาย การเงิน ฯลฯ อย่างทะลุปรุโปร่ง จนออกมาตั้ง “บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด” ของตนเองในที่สุด เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 หรือ 6 ปี เกือบ 7 ปีที่แล้ว ก่อนที่อาณาจักรดิไอคอนกรุ๊ป จะขยายตัวใหญ่โต มีบริษัทในเครือมากมายเกือบ 10 บริษัท ครอบคลุมทั้งการขายปลีก, เครื่องสำอาง, อาหารเสริม, การขนส่ง, เวลเนส, คลินิก, พัฒนาเว็บไซต์-ให้เช่าเซิร์ฟเวอร์ รวมไปถึงการบัญชี


ทั้งนี้ บริษัทในเครือของ "บอสพอล" ประกอบไปด้วย

1. บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด จดทะเบียน 1 มิถุนายน 2561 ทุน 50 ล้านบาท การขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต

2. บริษัท ดิ ไอคอน เวลเนส จำกัด จดทะเบียน วันที่ 3 สิงหาคม 2565 ทุน 1 ล้าน กิจกรรมคลินิกโรคเฉพาะทาง

3. บริษัท ดิไอคอนการบัญชี จำกัด จดทะเบียนวันที่ 9 สิงหาคม 2565 ทุน 1 ล้าน

4. บริษัท นิรมิตร โกลบอล จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ทุน 1 ล้าน ขายสินค้าหรือบริการทางอินเทอร์เน็ต

5. บริษัท เฟรนด์ชิป ฟูลฟิลเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ทุน 1 ล้าน ประกอบการขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร

6. บริษัท ไอคอน ซูวีเนียร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ทุน 1 ล้าน ประกอบการขายปลีกสินค้าอื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่นบนแผงลอยและตลาด

7. บริษัท เดอะไอคอน แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด จดทะเบียนวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ทุน 1 ล้าน เป็นนายหน้าตัวแทนจำหน่ายเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เครื่องมือเครื่องใช้เสริมความงาม อาหารเสริม ทุกประเภท

8. บริษัท ดิไอคอนริช จำกัด จดทะเบียนวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ทุน 1 ล้าน ประกอบการ นายหน้าจากการขายสินค้า

9. บริษัท เซิร์ฟริช จำกัด จดทะเบียนวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ทุน 1 ล้าน ประกอบการ ออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ติดตั้งระบบเครือข่ายและให้เช่าพื้นที่เซิร์ฟเวอร์


จนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉพาะ บริษัทหลัก คือดิไอคอนกรุ๊ปสามารถ
-ทำรายได้รวมได้มากถึงกว่า10,600 ล้านบาท
-กำไรสะสม829.8 ล้านบาท(โดยเฉพาะปี 2566 กว่า 1,891 ล้านบาท)


อย่างไรก็ตาม “ดิไอคอน” มาตายตรงสิ่งที่เรียกว่า “อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง” เพราะ “ดิไอคอน” มีสินค้าสต็อกสำหรับเตรียมขายได้เพียงแค่ 6 วันเท่านั้น คือ เอาเงินสมาชิกมาเต็มจำนวน แต่ไม่มีของให้เขา ซึ่งศัพท์ทางบัญชีเขาเรียกกันว่า“สต็อกลม”

เรื่องตลกร้ายกว่านั้นคือปี 2564 มีสินค้าคงเหลือพอขายได้ แค่ 0.74 วันคือไม่ถึง 1 วันด้วยซ้ำ !?!


ซึ่งตัวเลขดังกล่าวพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า ธุรกิจและรายได้ส่วนใหญ่ของ “ดิไอคอน” นั้นมิใช่ “การขายสินค้า” แต่เป็น “การขายสมาชิก”! แฝงในรูปของ “สต๊อกลม” ที่ไม่มีสินค้าอยู่จริง

“สต็อกปลอม” หรือ “สต็อกลม” ที่ดิไอคอนอ้างว่าเป็นปกติ บอกจ่ายเงินก่อน เบิกเมื่อไหร่ค่อยเอาของไป ต่างจากทุกเจ้า ฉวยโอกาสที่จะไม่ซื้อของ ได้เงินมาหมุนเป็นพันๆ ล้าน เพราะถ้าคนเบิกไปของก็ขายไม่ได้ ขายไม่ออกก็หมดอายุอีก ทำให้ทุกคนไม่เบิกของ เงินก็เข้าไปกอง เอาเงินไปหมุน ไปปั่น ไปสร้างภาพตัวเอง ไม่ซื้อโฆษณา จ่ายพรีเซนเตอร์ และซื้อทรัพย์สินรถหรูหรือที่ดินสร้างภาพว่ารวยสุดๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่เข้ามาซื้อสต๊อกลมกันให้มากๆ

เฉพาะงบดุลในปี 2566 รายได้หลักมีประมาณ 1,882 ล้านบาท แต่มีหนี้สินหมุนเวียน(หมายถึงรวมยอดรับเงินมาแต่ยังไม่ได้ซื้อสินค้าและเจ้าหนี้การค้า)ประมาณ 1,554 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 82.57% หรือให้เข้าใจง่ายๆ คือ รายได้หลัก 100% เป็นสินค้าที่ส่งจริงๆ ให้ดีลเลอร์และมีในสต๊อกประมาณ 20% แต่เป็นสต๊อกลมหรือไม่มีสินค้าจริงอาจจะมากถึง 80%


ธุรกิจที่มีสัดส่วนการขายสินค้าแบบอย่างนี้ขายสินค้า หรือขายสต๊อกลมกันแน่?

จริงๆ ถ้าบริสุทธิ์ใจต้องมีโชว์รูมของ เหมือน แอมเวย์ กิฟฟารีน ซูเลียน แต่ดิไอคอนไม่มี !

ซึ่ง ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ซึ่งจบด้านบัญชีมาโดยตรง และเป็นอาจารย์ด้านบัญชีและสถิติประยุกต์ ก็โพสต์ให้ความรู้หลังจากได้ดูงบการเงินของ “ดิไอคอนกรุ๊ป” ว่า “The iCon นี่ดูด้วยหางตาก็เห็นความผิดปกติครับ”


พร้อมระบุด้วยว่า วิธีดูงบการเงินง่าย ๆ ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่หรือขายตรง จะได้ไม่ถูกหลอก คือ

หนึ่ง ยอดขายหรือรายได้ทางตรง/สินค้าคงเหลือ ต้องไม่สูงมหัศจรรย์ เพราะว่าหากจะมียอดขายหรือรายได้ทางตรงสูงได้ กิจการที่เป็นขายตรงจริง ๆ จะมีสินค้าคงเหลือสูงพอสมควร ไม่ใช่จะมีรายได้ แต่ไม่มีสินค้า อันนั้นคือแชร์ลูกโซ่แน่นอน

สอง อัตราการเติบโตของยอดขาย เอายอดขายปีนี้คูณร้อยหารด้วยยอดขายปีก่อน ถ้าเติบโตมหัศจรรย์เป็น 200-300 % หรือมากกว่านั้น อันนั้นคือแชร์ลูกโซ่ครับ คือชวนเหยื่อเข้ามาได้เพิ่มขึ้นเป็นแสน ๆ ราย ขายของจริง ขายตรงจริง ๆ มันจะไม่มีอุปสงค์ปลอม จนยอดขายทะลึ่งโตพุ่งพรวดได้ขนาดนั้นครับ

สาม ต้นทุนในการขายและการบริหาร/ยอดขาย ต้องสูงพอสมควร ไม่ใช่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ถ้าเป็นขายตรง ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ ต้องมีต้นทุนในการขายและการบริหารพอสมควร ไม่ได้ขายลมปาก ถ้าขายลมปากหลอกคนมาเป็นเหยื่อต้นทุนจะต่ำมากครับ

สี่ ยอดขายหารด้วยทุนจดทะเบียน ต้องไม่สูงจนน่ากลัว ไม่อย่างนั้นมันคือแชร์ลูกโซ่ pulp company ไม่ใช่บริษัทขายตรงครับ

ซึ่งเมื่อพิจารณาจาก ตัวเลขทางการเงิน และบัญชีของ The iCon แล้วก็จะพบว่า เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่เต็ม ๆ

นอกจาก อ.อานนท์ แล้ว ยังมีบทความอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจจาก เฟซบุ๊ก Anontawong's Musings ที่เขียนโดย นายอานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์ เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2567


เขาเขียนโดยใช้หัวข้อว่า “MLM และความน่าจะเป็นที่มันจะสร้างอิสรภาพทางการเงิน” แล้วเขาก็บอกว่า

“ช่วงนี้หน้าฟีดของผมเต็มไปด้วยข่าวเรื่อง MLM เจ้าหนึ่งที่มีผู้เสียหายมากมายจนรายการดังต้องเชิญผู้เกี่ยวข้องมาพูดคุย MLM ย่อมาจาก Multi Level Marketing ที่เป็นการขายแบบมีแม่ข่ายที่หาลูกข่ายหรือ downline มาช่วยขายสินค้า ทำให้บริษัทลดค่าโฆษณาเพราะมีเอเจ้นท์นับพันนับหมื่นช่วยหาลูกค้าให้ โดยหวังว่าตัวเองจะสร้างทีมงานได้มากพอที่จะมี passive income และมีอิสรภาพทางการเงิน

“ผมเองเคยถูกชวนให้ไปทำ MLM แล้วไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง มีสมัครไปครั้งเดียวแต่ก็ไม่ได้เจ็บตัวอะไรมาก เสียเงินไปหลักพันเท่านั้น ต่างจากผู้เสียหายที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ที่หมดเงินกันไปเป็นหลักแสน

“ช่วงนี้ข่าวเน้นไปที่ตัวละครสำคัญที่มีคนรู้จัก ผมเลยอยากจะชวนดูภาพใหญ่กว่านั้น เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเคยคุยละเอียดกับอาจารย์ระดับด็อกเตอร์ท่านหนึ่งที่มาชวนผมเป็นดาวน์ไลน์ของ MLM เจ้าหนึ่ง

“อาจารย์บอกว่าเพียงผมหาดาวน์ไลน์ให้ได้เดือนละ 1 คน พอครบ 5 เดือนผมก็จะหาดาวน์ไลน์ได้ 5 คน และแต่ละคนก็ไปหาดาวน์ไลน์ 5 คนไปเรื่อยๆ

“ทุกคนที่เป็นสมาชิกต้องจ่ายเดือนละ 5,000 บาทในการซื้อของเพื่อรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกนั้น และผมมีโอกาสได้ส่วนแบ่ง 5% จากยอดขายของทุกคนใน “พีระมิด” ของผมถึง 5 ชั้น

ชั้นแรกมี 5 คน
ชั้นสองมี 5 ยกกำลัง 2 = 25 คน
ชั้นสามมี 5 ยกกำลัง 3 = 125 คน
ชั้นสี่มี 5 ยกกำลัง 4 = 625 คน
ชั้นห้ามี 5 ยกกำลัง 5 = 3,125 คน

“ถ้าผมสร้างพีระมิดของผมครบจริงๆ ผมจะมีคนอยู่ในทีมถึง 5+25+125+625+3125 = 3,905 คน

“สมมติว่าทุกคนซื้อของขั้นต่ำเดือนละ 5000 บาท ผมก็จะได้ส่วนแบ่ง 5% = 250 บาทต่อคนต่อเดือน

“250 บาท คูณ 3905 คน = 976,250 บาท ถ้ามี passive income เดือนละเกือบล้าน ก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว!

“แต่เราอาจจะมักน้อย ไม่ต้องสร้างพีระมิด 5 ชั้นก็ได้ สร้างแค่ 4 ชั้นก็พอ ก็จะมีทีมงาน 5+25+125+625 = 780 คน เมื่อคูณค่าส่วนแบ่งคนละ 250 บาทก็ได้จะได้เงิน 195,000 ซึ่งเป็นเลขที่ทำให้เราฝันหวานได้อยู่เหมือนกัน

“แต่ถ้าสร้างพีระมิดแค่ 3 ชั้น จะได้เงินส่วนแบ่ง 38,750 ไม่ขี้เหร่ แต่ก็ไม่น่าจะเรียกว่ามีอิสรภาพทางการเงินได้

“คำถามก็คือ ในประเทศไทย คนที่มีรายได้พอที่จะจ่ายตังค์เดือนละ 5,000 บาทเพื่อรักษายอดนั้นมีกี่คน?

“ประเทศไทยมีประชากร 72 ล้านคน อยู่ในวัยทำงาน (23-60 ปี) ไม่เกิน 35 ล้านคน และมีคนจ่ายภาษีเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น แถมประมาณครึ่งนึงของ 4 ล้านคนนี้ มีเงินเดือนไม่ถึง 25,000 บาท ซึ่งน่าจะไม่ได้มีรายได้เพียงพอที่จะลงทุนซื้อของมาสต็อค หรือซื้อของทุกเดือนเพื่อรักษาความเป็นสมาชิก

“คนที่มีเงินเดือน 25,000 บาทขึ้นไป จึงมีเพียงประมาณ 2 ล้านคน และคงมีไม่เกิน 1 ใน 10 ที่สนใจทำ MLM ดังนั้นจึงมีคน 200,000 คนที่พร้อมเข้ามาในธุรกิจนี้และมีกำลังทรัพย์เพียงพอ

“MLM ในตลาดเมืองไทย เอาเฉพาะแค่เจ้าใหญ่ๆ ที่เรารู้จักชื่อก็มีไม่น้อยกว่า 10 เจ้าแล้ว 200,000 คนก็ต้องแบ่งคนกันไปทำ สมมติว่า MLM เจ้าที่มีคนมาชวนผมมีคนลงมาทำประมาณ 10% หรือ 20,000 คน แต่ละพีระมิดจะมี 6 ชั้น 1-5-25-125-625-3125 = 3906 คน

“ใน 20,000 จะสามารถสร้าง “พีระมิดสมบูรณ์” ได้ไม่เกิน 20,000/3,906 หรือประมาณ 5 พีระมิด (ซึ่งแน่นอนว่าในความจริงแล้วจะมีพีระมิดเกิดขึ้นมากกว่านั้นทับซ้อนกันหลายอัน บางอันอาจจะมีแค่ 2 ชั้น และบางอันอาจจะมีเกิน 5 ชั้นก็ได้)
ยอดพีระมิด ได้เงินเดือนละ 976,250 จะมี 5 คน (1 คน คูณ 5 พีระมิด)

ชั้นแรก ได้เงินเดือนละ 195,000 จะมี 25 คน (5 คน คูณ 5 พีระมิด)
ชั้นที่สอง ได้เงินเดือนละ 38,750 จะมี 125 คน
ชั้นที่สาม ได้เงินเดือนละ 7,500 บาท มี 625 คน
ชั้นที่สี่ ได้เงินเดือนละ 1,250 บาท มี 3125 คน
ชั้นที่ห้า ฐานพีระมิด ไม่ได้เงินเลย มี 15,625 คน

คนที่ลงเล่นเกมนี้มี 19,530 คน
คนที่ “สมหวัง” มีอิสรภาพทางการเงินหรือรายได้เกินเดือนละ 200,000 คือยอดพีระมิด 5 คน และชั้นแรกอีก 25 คน รวมแล้ว 30 คน

30 หาร 19530 คิดเป็น 0.15% หรือ 15 คนใน 10,000 คน นี่คือโอกาสที่ผมจะมีอิสรภาพทางการเงินกับ MLM เจ้านี้

“ส่วนอีก 19,500 คน คิดเป็น 99.85% คือคนที่ต้องผิดหวังต่อไป โดยจะมีประมาณร้อยกว่าคนที่ได้เงินเดือนละเกือบสี่หมื่น ส่วนที่เหลือได้เงินแค่หลักพันหรือไม่ได้เลย

ถ้าอยากให้ทุกคนที่ฐานพีระมิดซึ่งมีทั้งหมด 15,625 คนสมหวัง แสดงว่าฐานพีระมิดแต่ละคนต้องสร้างทีมใต้เขาให้ได้ 780 คน หรือต้องใช้คนทั้งหมด 15,625 คูณ 780 = 12,187,500 คน!

“ต่อให้ MLM เจ้านี้กินตลาดส่วนแบ่งเพิ่มจาก 10% เป็น 30% แต่โอกาสของคนที่จะมี financial freedom (อิสรภาพทางการเงิน) ก็ยังเท่าเดิมอยู่ดี เพราะการคิดค่า commission ก็ยัง 5% ใน 5 ชั้นเหมือนเดิม เพียงแต่เราอาจมีโอกาสได้ไปอยู่บนชั้นบนๆ ของพีระมิดมากขึ้น

คำถามเดียวที่จะทำให้เกมนี้เปลี่ยนได้ ก็คือ “นอกจากลูกข่ายแล้ว ยังมีใครเป็นลูกค้าของ MLM เจ้านี้อีกบ้าง?”

เพราะถ้ามีแต่คนข้างในซื้อกันเอง แต่ไม่มีการใช้สินค้านั้นจริง สิ่งที่จะเกิดก็คือฐานพีระมิดจะอยู่ไม่ได้ และผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งก็จะไม่มีใครพร้อมเข้ามาเป็นฐานพีระมิดอีกต่อไป

“แต่ถ้า MLM เจ้านั้นมีฐานลูกค้าอยู่จริงๆ (organic customers) ซื้อสินค้าเพราะจะใช้สอย ไม่ได้ซื้อเพื่อรักษายอดหรือหวังสร้างความร่ำรวย ก็แปลว่าตัวแทนขายน่าจะยังยึดเป็นสัมมาชีพโดยไม่จำเป็นต้องมุ่งสร้างพีระมิดแต่เพียงอย่างเดียว เพราะรายได้สามารถเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ด้วยการไปหาดาวน์ไลน์มาเติมอยู่ตลอดเวลา

“ดังนั้น ถ้าใครมาชวนเราทำ MLM ก็ลองดูให้ดีว่าสินค้านั้นมีคนใช้งานจริงหรือไม่ มีใครรู้จักหรือเปล่า ลองเอาชื่อสินค้าไปเสิร์ชในแอปที่เราใช้ซื้อของเป็นประจำก็น่าจะพอได้เค้าลาง

“หากเจอ MLM เจ้าไหนที่เน้นแต่การสร้างดาวน์ไลน์และสร้างความหวังว่าวันหนึ่งเราจะรวย ก็จงตั้งสติให้มั่น

“ไม่อย่างนั้นเราจะตกเป็นเหยื่อของกิเลสเราเองครับ"

ประเด็น :หลักการตั้งแต่อดีตถึงทุกวันนี้ ของ “ทุกแชร์” คืออ้างเรื่อง MLM หรือ Multi-level marketing ทุกคนตั้งแต่ แชร์แม่ชม้อย แชร์ชาร์เตอร์ แชร์ทองคำ แชร์ฟอเร็กซ์ มาจนถึง “ดิไอคอน”

ยกตัวอย่างแชร์แม่ชม้อยลงทุนน้ำมัน ถ้าเงินไม่พอ ซื้อล้อไปก่อน


ส่วน Forex 3D ของ อภิรักษ์ โกฎธิ อ้างเอาเงินลงทุนเงินตราต่างประเทศ สร้างภาพนั่งหน้าคอมพิวเตอร์

ทั้งหมดอ้างว่าเป็นรูปแบบ MLM หรือ Multi-level marketing ซึ่ง แอมเวย์ก็ทำ กิฟฟารีนก็ทำ แต่จุดที่ต่างก็คือ เขามีของ ของมีคุณภาพ มีชื่อมีเสียงมายาวนาน คนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกก็ใช้สินค้าของเขา แต่ “ดิไอคอน” นั้นไม่ใช่

ถามว่าเกมหลังจากวันนี้จะเป็นยังไงต่อไป หลังจากที่ บอสพอล กับ เหล่าบอส ทั้งหลายถูกจับกุมตัว และทยอยยึดทรัพย์ไปหมดแล้ว

หนึ่ง ทราบมาว่า ข้างหลังของ “นายพอล” วรัตน์พล นั้นนอกจากนักการเมือง และข้าราชการแล้วยังมี “ผู้พิพากษา” ที่คอยให้คำปรึกษาทางกฎหมาย และวางเกมการเดินของคดีอีกด้วย เห็นได้ชัดคือ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา วันที่ตำรวจออกหมายจับ “บอสพอล” กับพวกรวม 18 คน ในช่วงกลางวันกลับมีกลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มผู้สนับสนุนดิไอคอน”


โดยนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายพอล วรัตน์พล พากลุ่มผู้ขายสินค้าของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป หรือกลุ่มผู้สนับสนุน(ซึ่งปิดหน้าปิดตา ใส่แว่นดำ-ใส่หน้ากาก) เดินทางเข้าร้องเรียนที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่าการดำเนินคดีดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ ทำให้ไม่สามารถขายสินค้าได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้การขายสินค้าดังกล่าวส่งผลดีต่ออาชีพ และการดำรงชีวิตของบุคคลในครอบครัวเรื่อยมา การที่บริษัทฯ และพวกถูกใส่ความ และถูกดำเนินคดีกระทั่งมีการอายัดทรัพย์รวมทั้งการเสนอข่าวทำให้ผู้ขายได้รับผลกระทบ จึงมาขอความเป็นธรรมจากนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ เมื่อย้อนกลับไปแกะร่องรอยการให้สัมภาษณ์จะเห็นได้ว่า “นายพอล วรัตน์พล” นั้น พูดว่าที่ผ่านมามีคนไปตบทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นนักร้อง ทนาย หรือนักการเมือง และยอมรับว่าคลิปเสียงที่มีการปล่อยออกมานั้นเป็นเสียงของตนจริง แต่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยว่าใครที่อยู่ปลายสายอีกด้านนึง ซึ่งจากที่ได้ฟังแล้ว เชื่อได้ว่า คลิปเสียงดังกล่าวน่าจะหลุด หรือ ถูกปล่อยออกมาจากฝั่งของ “นายพอล” เอง


ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องคลิปเสียงเหล่านี้ มีสองแง่มุมที่ต้องคำนึงถึง คือ

แง่มุมแรก : “นายพอล” ต้องการที่จะเบรกไม่ให้กลุ่มคนเหล่านั้นไม่ว่า นักร้อง ทนาย หรือ นักการเมืองวิ่งเข้ามากระทืบซ้ำ หรือ ตบทรัพย์ตนซ้ำสอง โดยอาศัยช่วงเวลาชุลมุนที่“ดิไอคอน”กำลังล้มลุกคลุกคลาน ถูกร้องเรียน, ถูกดำเนินคดี-ออกหมายจับจาก ทั้งจากตำรวจและดีเอสไอ , รวมถึงถูก ปปง. ยึดทรัพย์ เครือข่าย ฯลฯ

แง่มุมที่สอง : คลิปดังกล่าวเป็นน้ำจิ้ม เหมือนเป็นการ“ล็อกคอ”นักร้อง ทนาย หรือ นักการเมือง ที่เคยวิ่งเข้ามาตบทรัพย์ตนเอง ให้ในระยะยาวแล้ว ต้องช่วยเหลือตัวเอง และดิไอคอน ได้รอดพ้นจากคดีความ มิฉะนั้นอาจจะมี “คลิปเสียงลับ” ของใคร หลุดออกมาอีกก็เป็นได้


สอง คาดว่าเกมคดีนับจากนี้ไปอาจจะเป็นการเล่นละครตบตาด้วยการ “อำพรางคดี” ว่า

- บริษัท คือ บอสพอล ตัดตอนจากแม่ข่ายผู้กระทำการในการชักชวนคนเข้ามาสู่ขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยที่บริษัทดิ ไอคอน กรุ๊ป ไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นเรื่องของแม่ข่าย-แม่ทีม อย่างเดียว

-ทุกคนรุมฟ้อง “บอสใหญ่”,“บอสรอง 10 คน” รวมถึง “บอสดารา” เช่น กันต์ กันตถาวร แซม ยุรนันท์, มิน พีชญา รวมประมาณสิบกว่าคน โดยไม่พยายามฟ้องถึง “แม่ข่าย” ซึ่งเป็นผู้ชักชวนในระบบแชร์ลูกโซ่ ดิไอคอน

- “แม่ข่าย” จะพยายามผันตัวเองจากผู้สมรู้ร่วมคิดแบ่งงานกันทำกับ “เหล่าบอส” โดยแปลงร่างเป็น “ผู้เสียหาย” วิ่งเข้าหาสื่อ ทนาย อินฟลูเอนเซอร์ และไปแจ้งความกับตำรวจ ว่าตัวเองเป็นผู้เสียหาย เป็นโจทก์ ยกตัวอย่างเช่น “แม่แป้ง” ธภัทร สุวรรณโกตา (ที่มีสามีอัยการ),“คุณลูกตาล” ที่เป็นอดีตแอร์โฮสเตสของสายการบินเอมิเรตส์หรือ “กบ ไมโคร” ไกรภพ จันทร์ดี


- หากแผนการนี้เดินหน้าต่อไปโดยไม่มีการฟ้องทั้งขบวนการ “บอส” ทั้งหมดจะรอด เพราะไม่ได้เป็นผู้กระทำการแชร์ลูกโซ่ แต่ “แม่ข่าย” ที่เป็นผู้ลงมือทำแชร์ลูกโซ่ก็จะรอดเช่นกัน เพราะแปลงร่างกลายเป็นผู้เสียหาย เพราะเป็นโจทก์ไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมี ปัจจัยที่ทั้งน่าจับตา และน่าเป็นห่วง อย่างยิ่งเกี่ยวกับ คดี “แชร์ลูกโซ่ดิไอคอน” อีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอที่กำลังจะเข้ามารับคดีนี้เป็นคดีพิเศษต่อจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ประชาชนกังขา DSI รับคดี ดิ ไอคอน กรุ๊ป


คดีนี้พอ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แถลงว่าได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน "ดิไอคอน กรุ๊ป" เพื่อพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ ปรากฏว่า มีประชาชนเขาออกมาโวยวาย ไม่ไว้ใจเยอะมาก คดีนี้เงินมันเยอะเหลือเกิน แค่เขย่าจำเลยนิดหน่อยเศษตังก์ก็ร่วงกราวเป็นล้าน

บ้างก็บอกว่า จำเลย 18 คนและจำเลยที่จะตามมา ให้เตรียมวิ่ง DSI ได้แล้ว เพราะน่าจะไม่ผิดหวัง

ซึ่งก็ไม่แปลกที่ประชาชนจะไม่เชื่อมั่น เพราะคดีเดิมๆ ที่ DSI รับไป ยังไม่ออกมาสักเรื่อง ทั้งเรื่อง สตาร์ก,เอิร์ธ,หมูเถื่อน ฯลฯ

หน่วยงานที่จะได้รับความเชื่อมั่นศรัทธาจากประชาชน ต้องมีผลงาน แต่ DSI ไม่มีเลย แม้กระทั่งคดีสต๊อกลม GGC ที่ DSI ดึงมาทำเอง ทั้งที่ตำรวจ ปอศ.ทำใกล้เสร็จเตรียมส่งฟ้องต่ออัยการแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีผลออกมา จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ต.ยุทธนามีความสนิทสนมกับ เครือญาติผู้ต้องหาในคดี GGC จนถึงขั้นไปจิบไวน์ที่บ้านด้วยกัน

คดีเดิมๆ ยังไม่มีผลงาน ถ้ารับคดี ดิไอคอน ไปแล้วเงียบหายอีก ประชาชนจะไม่เหลือศรัทธาใน DSI และในตัว พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI รวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และอดีตอธิบดี DSI ที่เป็นคนแต่งตั้งน้องคนสนิทขึ้นมาเองกับมือ จะสั่งซ้ายหันขวาหันได้หมด

พอได้ยินชื่อ “ทวี” และ “ยุทธนา” ประชาชนก็ร้องยี้ ก่อนที่จะฟังข้อมูลเสียอีก


กำลังโหลดความคิดเห็น