เปิดตัวตน “เศรษฐพุฒิ” ผู้ว่าแบงก์ชาติ ทำตัวเป็นร่างทรงธนาคารโลก-ไอเอ็มเอฟ คุมนโยบายการเงินของไทยตามทิศทางที่ฝรั่งกำหนด อ้างเสถียรภาพของสถาบันการเงิน คงอัตราดอกเบี้ยสูง ปล่อยธนาคารพาณิชย์ฟันกำไรบนความเดือดร้อนของชาวบ้าน เอสเอ็มอีพากันล้มหายตายจาก ผูกเงินบาทกับดอลลาร์อินเด็กซ์ จนไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งทางการค้า พูดเอาเท่ว่าไทยต้องเลิกพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยว
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงตัวตนที่แท้จริงของ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ หรือ ดร.นก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน หลังมีกระแสข่าวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่สมัยนายเศรษฐา ทวีสิน เรื่อยมาจนถึงยุคของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
“จริง ๆ ผมแทบจะไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ หรือกล่าวถึงตัวบุคคล คือ คุณเศรษฐพุฒิ ผู้ว่าแบงก์ชาติเท่าไหร่เลย แต่ผมได้กล่าวไปหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนคุณเศรษฐพุฒิจะเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ อีกว่าธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติต้องปรับเปลี่ยนกรอบคิด วิธีคิด และวิธีทำมาได้ตั้งนานแล้ว เพราะปัจจุบันแบงก์ชาตินั้นอ้างคำว่าเสถียรภาพทางการเงิน และธนาคารกลางต้องยึดถือหลักการในการเป็นอิสระจากทางการเมือง
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการอ้างหลักการเสถียรภาพทางการเงิน และความเป็นอิสระก็คือ ประชาชนต้องตกทุกข์ได้ยาก เพราะ ความหน้าไหว้หลังหลอกของแบงก์ชาติเอง ที่จริง ๆ แล้ว ไม่ได้เป็นอิสระจริง ๆ หรอก แต่ตกอยู่ภายใต้อาณัติของนายทุนแบงก์ และ พวกธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายต่างหาก” นายสนธิ กล่าว
มีตัวเลขพิสูจน์ กล่าวคือ เศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีมานี้ตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 อยู่ในภาวะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ประชาชนต้องตกอยู่สภาวะตกทุกข์ได้ยากอย่างยิ่ง
ตัวเลขจากสภาพัฒน์ฯ ปี 2565 - เศรษฐกิจไทยทั้งปีโตแค่ 2.6% (ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ 3.2% ทั้ง ๆ ที่เพิ่งพ้นจากวิกฤตโควิด เศรษฐกิจควรฟื้นตัวแบบก้าวกระโด)
ปี 2566 - เศรษฐกิจไทยทั้งปีโตแค่ 1.9% (ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ 2.0-2.2%)
ปี 2567 - ช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวแค่ 1.9% ส่วนตัวเลขทั้งปี 2567 นี้จากการคาดการณ์ของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนก็คาดว่าน่าจะขยายตัวได้แค่ราว 2.3% - 2.7% เท่านั้น
ขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังย่ำแย่ ภาพรวมเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะเงินฝืด ธุรกิจต่างๆ ในภาพรวมไม่สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตโรคระบาดได้ ประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลัง, ธุรกิจขาดสภาพคล่อง(โดยส่วนหนึ่งเพราะแบงก์พาณิชย์ไม่ปล่อยกู้ และไม่อำนวยความสะดวกให้กับภาคธุรกิจ)แต่เมื่อหันไปมองผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทยต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยกลับพบว่า ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่หลังวิกฤตโควิดนั้นโกยกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ
ราวกับว่าพวกนายแบงก์ทั้งหลายเป็นผีหิว ตายอดตายอยากมาจากไหนไม่รู้ พอสบโอกาสพ้นช่วยโควิดก็กอบโกยเอา กอบโกยเอา ท่านผู้ชมลองชมตารางด้านล่างนี้ก็ได้
ปี 2565 - ปีที่ทั่วโลกอยู่ระหว่างการฟื้นตัวจากวิฏฤตโรคระบาด เศรษฐกิจไทยทั้งปีโตแค่ 2.6% แต่แบงก์พาณิชย์ไทยทั้งระบบ กลับโกยกำไรไปมากถึง เกือบ 2 แสนล้านบาท กำไรโตขึ้นจากปีก่อนคือ ปี 2564 ประมาณ 10%
ปี 2566 – อีกหนึ่งปีถัดมา คือ ในปีที่แล้วปี 2566 ยิ่งแล้วไปใหญ่เลย ขณะที่เศรษฐกิจไทยทั้งปีเติบโตแค่ 1.9% แต่แบงก์พาณิชย์ไทยในภาพรวมกลับโกยกำไรไปมากถึง 226,571 ล้านบาท กำไรฟูขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 17% กว่า ๆ !?!
ตารางด้านล่างแสดงกำไรแบงก์พาณิชย์ระดับ Top 5 ของไทย ทั้งธ.กรุงเทพ, กสิกรไทย, กรุงไทย, ไทยพาณิชย์และกรุงศรีฯกำไรแห่งละ 4 หมื่นล้านบ้าง 5 หมื่นล้านบ้าง
ขณะเดียวกัน “ภาวะหนี้ครัวเรือน” ของคนไทยนั้นอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างยิ่ง กล่าวคือ
-หนี้ครัวเรือนไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 91% ของจีดีพีประเทศไทย(จีดีพีประเทศไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 18 ล้านล้านบาท
-ตัวเลขจากศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจหอการค้าไทยพบว่าคนไทย 99.7% มีภาระหนี้สินมีคนไทยแค่ 0.3% เท่านั้นที่ไม่มีหนี้สิน
-ครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ย 600,000 บาท/ครัวเรือน
-หนี้ครัวเรือนนั้นแบ่งเป็นสัดส่วนหนี้ในระบบประมาณ 70% และหนี้นอกระบบประมาณ 30%
ดังนั้นเมื่อนำ“สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทย”ที่หนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อย ๆ มาเปรีบเทียบกับ“กำไรแบงก์พาณิชย์”ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จึงเรียกได้อย่างเต็มปากว่าธนาคารพาณิชย์ไทยภายใต้กำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น นอนตีพุง ทำตัวเป็นเสือนอนกินภายใต้ความทุกข์ยากของประชาชน และความล่มสลายของสังคมไทยอย่างแท้จริง
ประเด็นและปัจจัยที่สำคัญก็คือ การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีภารกิจและหน้าที่ในการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย ปล่อยให้บรรดานายทุน-แบงก์เหล่านี้ ทำนาบนหลังคนด้วยการ ปล่อยให้แบงก์สามารถหากำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากหรือ Spread ที่มากเกินพอดี จนทำให้กำไรของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบฟูฟ่องขึ้นอย่างมากมหาศาล จาก 180,000 ล้านบาท (ในปี 2564 )มาเป็น 200,000 ล้านบาท (ในปี 2565) มาเป็น 220,000 ล้านบาท (ในปี 2566)
มาถึงปี 2567 ปีนี้ แค่ ครึ่งปีแรก 6 เดือน ตัวเลขก็บ่งชี้ชัดว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบกำไรไปแล้ว 126,416 ล้านบาท เติบโตขึ้น 3.7% และทั้งปี 2567 ก็น่าจะโกยกำไร 240,000 - 250,000 ล้านบาท แบบไม่ยาก !?!
คำถามง่าย ๆ ก็คือ การที่ประชาชนมีหนี้ท่วมอย่างมากมายมหาศาล, ประเทศชาติตกอยู่ในวังวนของเงินฝืด เศรษฐกิจโตต่ำ, ขณะที่นายแบงก์ นายทุน ธนาคารพาณิชย์ ทั้งหลายกำไรอย่างมากมายมหาศาล โตขึ้นทุกปี ๆ ๆ ๆ
นี่หรือคือผลงานในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของแบงก์ชาติ และนี่หรือสิ่งที่สังคมควรจะได้จากความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย?
แถมให้อีกอย่างว่า นี่แหล่ะคือ ผลงานของผู้ว่าแบงก์ชาติ คนปัจจุบันที่หล่อเหลา บุคลิกดี แต่งตัวดี จบนอกจบปริญญาโท ปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Yale พูดอังกฤษคล่องแบบน้ำไหลไฟดับ
ล่าสุดนอกจากเรื่องกำไรแบงก์พาณิชย์แล้ว ยังมีกรณีที่กลายเป็นประเด็นในภาคธุรกิจ และการส่งออก จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตอย่างมากนั่นคือ ประเด็นของ “ค่าเงินบาท” ที่ภายใต้การดูแลของแบงก์ชาติ อีกเช่นกัน
ปลายเดือนกันยายน - ต้นเดือนตุลาคม เงินบาทนั้นแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 33 บาทกว่า ๆ ต่อดอลลาร์ โดยแข็งตัวอย่างรวดเร็วจาก 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือ ภายในระยะเวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น โดยจากรายงานจากสำนักวิจัยเศรษฐกิจหลายแห่งชี้ว่า
-ค่าเงินบาททำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 30 เดือน (นับตั้งแต่มีนาคม 2565)
-แข็งค่าจาก 37 บาท กว่าๆ มาอยู่ที่ 32.563 บาทต่อดอลลาร์เมื่อ วันที่ 25 กันยายน 2567
-เงินบาทถือว่ามีความผันผวนมากที่สุดติดอันดับต้น ๆ ของสกุลเอเชีย(เป็นรองเพียงแค่เงินเยน ญี่ปุ่นเท่านั้น)
จากนโยบายการตรึง “อัตราดอกเบี้ย” ให้อยู่ในระดับสูงจนประชาชน และภาคธุรกิต่างเดือดร้อนอย่างหนัก มาถึง “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่าทำลายสถิติส่งผลให้หลายฝ่ายรวมไปถึงคนในรัฐบาลออกมาวิพากษ์วิจารณ์การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงก์ชาติ อย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน ฝั่งแบงก์ชาติก็เกิดมีกองเชียร์สนับสนุนเห็นว่านโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยทำดีแล้ว จนถึงขึ้นเชียร์ให้ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ นั้นเป็นนายกรัฐมนตรี เสียให้รู้แล้วรู้รอด
นั่นเพราะ นายเศรษฐพุฒิ เมื่อเทียบกับฝ่ายวิจารณ์หรือ นักการเมือง อย่าง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ออกมาวิพากษ์แบงก์ชาติอย่างดุเดือด ทั้งภาพลักษณ์ โปรไฟล์ การศึกษาประสบการณ์ทำงาน เศรษฐพุฒิ ย่อมดูดีมีสง่าราศีมากกว่าทำให้มีความน่าเชื่อถือได้มากกว่าอีกฝ่าย
เหตุผลใครจะถูกหรือผิดยังไม่รู้ แต่วิวาทะระหว่างสองฝ่ายกลายเป็นกระแสปลาบปลื้มกับผู้ว่าแบงก์ชาติด้อยค่านักการเมืองในเรื่องนโยบายการเงิน
เห็นได้จากคลิปที่เผยแพร่ตามแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียราวกับ นายเศรษฐพุฒิเป็น “ซูเปอร์สตาร์”
มีคนนำบทสัมภาษณ์ งานอดิเรก บทบาทต่าง ๆ ของผู้ว่าแบงก์ชาติเช่น การเป็นบาริสต้าชงกาแฟที่เจ้าตัวระบุว่า ชื่นชอบมากเพราะแสดงออกถึงความเป็นผู้ชาย
คลิปความสามารถทางภาษาที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีจนนึกว่าเป็นฝรั่งเจ้าของภาษามาเองของเศรษฐพุฒิจนกลายเป็นไวรัล
ทั้งหลายทั้งปวงทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
ตัวตนที่แท้จริงของคนชื่อ “เศรษฐพุฒิ”
ภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน กับนายเศรษฐพุฒินี้จะเรียกว่า “มายาภาพ” ก็คงไม่ผิดนัก เพราะคำตอบที่สังคมต้องการฟังมากกว่าดูคลิปผู้ว่าสวมบทบาริสต้า มากกว่าผู้ว่าสปีกอิงลิชไฟแล่บ คือ สรุปว่านโยบายการเงินของแบงก์ชาติทั้งเรื่องดอกเบี้ย และค่าเงินบาท ที่แบงก์ชาติดำเนินนโยบายอยู่นี้ช่วยเศรษฐกิจ ช่วยประเทศหรือไม่ อย่างไร ?
และที่สำคัญก็คือ เศรษฐพุฒิ ยืนยันหัวชนฝานโยบายของเขามาถูกทิศถูกทางนั้น แท้ที่จริงถูกต้องจริงหรือ?
ก่อนที่จะวิเคราะห์และดูผลกระทบจากนโยบายแบงก์ชาติ มารู้จัก นายเศรษฐพุฒิ หรือ “ดร.นก” กันให้ลึกซึ้งกันก่อน
นายเศรษฐพุฒิ เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติต่อจาก นายวิรไท สันติประภพ เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในเดือนตุลาคมปี 2563
BOT พระสยาม MAGAZINE เผยแพร่บทความในเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย เนื้อหาแนะนำให้รู้จัก เศรษฐพุฒิ ว่า เป็น เด็กชายนักเดินทาง โดยเจ้าตัวเล่าถึงชีวิตในวัยเด็กว่าเป็นชีวิตที่ต้องเดินทางอยู่บ่อยครั้ง เพราะคุณพ่อทำงานที่กระทรวงต่างประเทศ ทำให้ต้องไปอยู่ต่างประเทศหลายประเทศ ต้องปรับตัวกับสถานที่และสังคมใหม่ ๆ อยู่เสมอ
อายุ 2 เดือนกว่าพ่อแม่ก็พาย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียแล้ว หลังจากนั้นก็ต้องเดินทางย้ายไปอยู่อีกหลายประเทศ มีทั้งอินเดีย โปแลนด์ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ และ อังกฤษ ซึ่งในบรรดาประเทศต่าง ๆ ที่เคยมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ ประเทศที่ชอบมากที่สุดคือ ฝรั่งเศส
ที่ฝรั่งเศส เศรษฐพุฒิ เล่าว่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจเรียนเศรษฐศาสตร์ โดย เศรษฐพุฒิ จบการศึกษา
-ปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ (เกียรตินิยมสูงสุด) จาก Swarthmore College สหรัฐอเมริกา
-ปริญญาโท และ ปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Yale สหรัฐอเมริกา
เพราะ เศรษฐพุฒิใช้ชีวิตเล่าเรียนอยู่ต่างประเทศจึงสามารถพูดได้ 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และ ฝรั่งเศส
หลังจากสำเร็จการศึกษาก็เข้าสู่ช่วงทำงาน เศรษฐพุฒิ เริ่มต้นการทำงานที่ McKinsey ที่ New York ซึ่งเขาระบุว่า ช่วยหล่อหลอมทัศนคติและวิธีการทำงานให้ตนเองจนกระทั่งทุกวันนี้
ต่อมาได้เข้าทำงานกับธนาคารโลก (World Bank) กว่า 10 ปี ประสบการณ์การทำงานที่นี่ทำให้เศรษฐพุฒิค้นพบว่าตัวเองเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประเภทที่มองความมีเสถียรภาพของโครงสร้างเศรษฐกิจระดับมหภาคเป็นสำคัญ และ บอกด้วยว่า ประสบการณ์ทำงานที่ เวิลด์แบงก์ ได้นำมาต่อยอดงานที่ แบงก์ชาติ โดยอ้างว่าทั้งสององค์กรมีอะไรคล้ายๆกัน นั่นคือมีความเป็น เทคโนแครต (Technocrat) หมายถึง ละเอียด เชี่ยวชาญ ลงลึก รู้จริง
ประสบการณ์การทำงานที่สำคัญซึ่งระบุไว้ในประวัติของเศรษฐพุฒิได้ระบุว่า ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือ วิกฤติต้มยำกุ้ง รัฐบาลชวน หลีกภัย ได้เรียกตัวเศรษฐพุฒิ มาช่วยงานในตำแหน่ง ผู้อำนวยการร่วมสถาบันวิจัยนโยบายการคลัง กระทรวงการคลังร่วมกับ ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติคนก่อนหน้า ซึ่งทำงานในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เอาทั้ง 2 คน มาทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนประเทศไทยเจรจาต่อรองเงื่อนไขกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF และ ธนาคารโลก
เศรษฐพุฒิ มักให้สัมภาษณ์ว่า เพราะเคยทำงานอยู่ที่ธนาคารโลกจึงทำให้รู้ว่า ธนาคารโลก และ ไอเอ็มเอฟ ต้องการอะไร คล้ายๆ อ่านทางของอีกฝ่ายได้ทุละปุโปร่ง การเจรจาระหว่างประเทศไทยกับสององค์กรการเงินของโลกที่เป็นเจ้าหนี้หยิบยื่นเงินกู้มาให้ไทยฟื้นฟูเศรษฐกิจช่วงนั้นจึง “สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี”
“ผมอยากถามว่า คำว่า “สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี” นี่ ดียังไง? ดีกับนายทุนฝรั่ง? แต่เลวร้ายอย่างยิ่งสำหรับคนไทย และนักธุรกิจไทยใช่หรือไม่?” นายสนธิ กล่าว
หลังทำหน้าที่เจรจากับเวิลด์แบงก์ และ IMF เสร็จ 2 ปีต่อมา นายเศรษฐพุฒิจึงตัดสินใจลาออกจากกระทรวงการคลังกลับไปทำงานที่ธนาคารโลกอีกครั้ง
นี่เป็นเรื่องของเศรษฐพุฒิที่ลงไว้เว็บไซต์ของแบงก์ชาติ และจากการให้สัมภาษณ์ของเจ้าตัวกับสื่อ
แต่ข้อมูลอีกด้านโดยเฉพาะช่วง “วิกฤติต้มยำกุ้ง” รู้กันในแวดวงในตลาดเงินตลาดทุนขณะนั้นว่า นายเศรษฐพุฒิ ถูกส่งมาจาก ธนาคารโลก และ นายวิรไท จากไอเอ็มเอฟ เพื่อประกบ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ตอนนั้น เพื่อให้ไทยดำเนินการตามเงือนไขของธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟมากกว่าที่จะเป็นรัฐบาลเรียกตัวมาใช้งาน
เพียงแต่ช่วงนั้นเพื่อไม่ให้กลายเป็นประเด็นอ่อนไหวจึงออกมาในทำนองรัฐบาลไทยต้องเรียกตัวเขาจากธนาคารโลกมาช่วยงานในตำแหน่งผู้อำนวยการร่วมสถาบันวิจัยนโยบายการคลัง
และ อย่างที่เรารับรู้ต่อมาภายหลังหลายปี ว่า เงื่อนไขสุดโหดของไอเอ็มเอฟช่วงที่เรารับมาในช่วงเวลาแก้ปัญหาวิกฤติต้มยำกุ้ง ประเทศไทยตอนนั้นต้องเรียกว่า สูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้กับฝรั่ง ให้กับไอเอ็มเอฟ และ ธนาคารโลก
รวมไปถึงเปิดประตูบ้าน เปิดทางให้ขบวนการวานิชธนกิจ “แร้งทึ้ง” เข่ามากอบโกยผลประโยชน์บนซากปรักของสถาบันการเงินและธุรกิจของคนไทยมูลค่าหลายแสนล้าน
รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ ตลอดจน สนธิเล่าเรื่องได้เคยเล่าให้ฟังมาแล้วหลายครั้ง ผลจากการเข้าสู่โปรแกรมเงินกู้ของไอเอ็มเอฟ เราได้พวกฝูงแร้งฝรั่งเข้ามาหากิน ทั้ง จีอีแคปปิตอล, โกลด์แมนแซคส์ บีบซื้อหนี้จากสถาบันการเงินไทยที่ล้มละลาย ผ่านการจัดตั้ง องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. ซื้อหนี้ถูกๆแล้วมาเก็บดอก เก็บผล กินเป็นเวลาหลายปี
ภารกิจของเศรษฐพุฒิจบในสองปีบอกว่าประสบความสำเร็จงดงามแล้วกลับไปทำงานต่อที่ตัวเองชอบที่ธนาคารโลก แต่ลูกหนี้คนไทยทุกข์ตรมจมปลักอยู่กับการใช้หนี้ ถูกโขลก ถูกปู้ยี้ปู้ยำ ฟ้องร้องบังคับหนี้ ยึดทรัพย์ ขายทอดทอดตลาด จากผลงานของ จีอี โกล์ดแมนแซคส์ และ ฝูงวานิชธนกิจฝรั่งอยู่นาน บางคนถึง10-20 ปีก็มี
ถามว่า นี่หรือคือความภาคภูมิใจของ นายเศรษฐพุฒิ ?
ไหน ๆ ก็เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาก็ขอให้ข้อมูลตัวตนอีกด้านของนายเศรษฐพุฒิ จากแหล่งข่าววงในแบงก์ชาติเล่าให้ฟังเพื่อไปกันให้สุดซอย
ก่อนอื่นก็ต้องขออภัยถ้าจะทำให้ เอฟซี “ดร.นก” เศรษฐพุฒิ ผู้ว่ารูปหล่อ เท่ห์ สมาร์ท ต้องผิดหวัง คนที่เชียร์ เห็นคลิปอวยยศผู้ว่าแบงก์ชาติยิ่งน่าชื่นชม เปรียบเทียบกับนักการเมืองภาพลักษณ์ขัดตาแล้วก็อยากให้รายการสนธิทอล์คช่วยพูดถึง ผู้ว่าฯ อีกแรง
"งานนี้คงต้องบอกว่าขอขัดใจ รายการนี้ไม่มีฝักไม่มีฝ่าย มีแต่ความจริงที่มีหนึ่งเดียว เพราะ ในความเห็นของผมผู้ว่าแบงก์ชาติเศรษฐพุฒิ หรือฝ่ายการเมืองต่างก็ไม่ได้มีใครดีไปกว่ากัน" นายสนธิ กล่าว
สถานการณ์เศรษฐกิจ ปากท้องของชาวบ้าน หนี้ครัวเรือน ธุรกิจรายเล็กรายย่อย โรงงาน ผู้ประกอบการทั้งหลายของบ้านเราเวลานี้เป็นช่วงเวลาของคนไทยที่หันไปทางไหนก็มีแต่ เจอแต่ความห่วย ไม่มีใครสักคนที่จะช่วยแก้ปัญหาเลย
คนวงในแบงก์ชาติทราบกันดีว่า เดิมทีเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เมื่ออดีตผู้ว่า ดร.วิรไท หมดวาระลงใน วันที่ 30 กันยายน 2563 จึงมีการเปิดสรรหา ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ คนใหม่
ช่วงนั้นงานของแบงก์ชาติลำบากแสนสาหัสเพราะกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 หรือ แบงก์ชาติหมดเสน่ห์อย่างไรไม่ทราบ ไม่มีใครอยากจะมาเป็น ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
นายเศรษฐพุฒิก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้ปรารถนาอยากจะเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติมาตั้งแต่แรก ... ว่ากันว่า ก่อนหมดเวลา 10 นาทีสุดท้ายของการสมัครผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ รอบ 2นายเศรษฐพุฒิ ถึงได้ข้อสรุป และยื่นใบสมัครตำแหน่งผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ .... จนได้เป็นผู้นำองค์กรที่กำกับดูแลนโยบายการเงินของประเทศในเวลาต่อมา
จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ถึงวาระครบรอบเดือนตุลาคม เศรษฐพุฒิ อยู่ในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วเป็นเวลากว่า 4 ปีเต็ม
เมื่อย้อนหลังกลับไปดู 4 ปีที่ผ่านมา ลองถามตัวเองก็ได้ว่า เศรษฐกิจไทยดีหรือไม่ดี ทุกคนย่อมจะทราบคำตอบแก่ใจ ?
จะด้วยความไม่ตั้งใจอยากจะทำงานแต่แรก หรือ ด้วยบุคลิกภาพของ นายเศรษฐพุฒิ ที่เติบโตมาในวัฒนธรรมฝรั่งต่างแดน มีความคิดเป็นตะวันตกแบบธนาคารโลก ทำให้คนที่ทำงานร่วมกับ นายเศรษฐพุฒิ ที่แบงก์ชาติก็ดี หรือ หน่วยงานด้านตลาดเงิน และ ตลาดทุน ที่เขาไปนั่งเป็นบอร์ด เห็นแต่การวางตัวเป็น “นักวิชาการ”
ด้านความฉลาดทุกคนยอมรับเศรษฐพุฒิ แต่เป็นความฉลาดแบบนักวิชาการ ชอบอยู่ในเซฟโซน ไม่กล้าเสี่ยง
ดังที่เขาให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความผัวผวนของค่าเงินบาท หรือ นโยบายดอกเบี้ยก็ดี เขามักจะยกเสถียรภาพ และการมองภาพระยะยาว
ยกตัวอย่างเช่น เขาเห็นว่าประเทศไทยควรต้องเลิกพึ่งพาการส่งออก และการท่องเที่ยวเป็นหลักได้แล้วซึ่งอาจจะจริงในระยะยาว แต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้“ค่าเงินบาทแข็งโป๊ก”เรายังพึ่งพาการส่งออก คนไทย ผู้ประกอบการไทย โรงงานไทย ยังต้องมีชีวิตด้วยการผลิดเพื่อส่งออก เจอค่าเงินแบบนี้ ผู้ว่าฯ บอกให้อดทนหน่อย ระยะยาวดีขึ้นแน่ !?!
อุปมา เหมือนคนมันเลือดไหลแทบจะหมดตัว ถ้าไม่ห้ามเลือดก่อนตอนนี้ บอกเดี๋ยวเลือดมันแห้งเอง เวลาผ่านไปจะดีเอง โธ่! เวรกรรม
หลาย ๆ คนมองว่า นายเศรษฐพุฒิ ไม่ใช่นักปฎิบัติ ไม่เคยคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านร้านช่อง ที่หาเช้ากินค่ำ มีหนี้ มีสิน เข้าไม่ถึงแหล่งทุน เส้นทางการทำงานทั้งชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทำงานสถาบันการเงินระดับโลก รวมไปถึงธนาคารขนาดใหญ่ของไทย จึงไม่ได้สัมผัสกับชีวิตจริงของคนไทยนั้นเป็นอย่างไร
อาจจะเพราะว่า โดยชีวิตส่วนตัวของ นายเศรษฐพุฒิ ดังที่เขาเล่าในวัยเด็กต้องเดินทางย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เป็นเด็กขายนักเดินทาง ไม่มีเพื่อนสนิท มีแต่เพื่อหลากหลายที่ผิวเผิน จึงทำให้กลายเป็นชายหนุ่มที่มีโลกส่วนตัวสูง ค่อนข้างถือตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ไม่พบปะสังคม
มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างด้วยว่า ด้วยนิสัยไม่ชอบอยู่กับคนอื่นของเขาทำให้ติดมาในการทำงานอย่างไม่รู้ตัว ไม่ชอบการประชุม หรือ ประชุมก็รีบ ๆ ให้จบโดยเร็ว
เรื่องนี้คนที่เคยเข้าร่วมประชุมกับผู้ว่าแบงก์ชาติคนนี้จะรู้ดีว่าใช่หรือไม่?
หรือไปถาม นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ดูก็ได้ว่า เคยเรียกประชุมเพื่อหารือกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะนโยบายเดอกเบี้ยของแบงก์ชาติเอง และ เชิญผู้ว่าเศรษฐพุฒิเข้าร่วม แต่เจอเหตุผล “ผู้ว่าฯ ไม่ว่าง” ส่งตัวแทนมาประชุมแทน ... นี่ขนาดประมุขของฝ่ายบริหาร อย่าง นายกรัฐมนตรีเชิญประชุม “เศรษฐา”ยังเจออิทธิฤทธิ์ของ “เศรษฐพุฒิ” มาแล้ว
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจ การใช้นโยบายของแบงก์ชาติจึงสะท้อนบุคลิกภาพของนายเศรษฐพุฒิออกมา ใครจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ว่ากันไป ผมจะเป็นของผมแบบนี้
หลาย ๆ ประเทศลดดอกเบี้ยนำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะควบคุมเงินเฟ้อได้แล้ว แต่แบงก์ชาติยืนยันรักษาเสถียรภาพก่อน
แต่วันนี้เรากำลังมีปัญหาใหญ่
รู้หรือไม่ว่า ค่าเงินบาทที่แข็ง 32-33 บาทต่อดอลลาร์ ณ ปัจจุบันทำให้โรงงาน-SME ทยอยเจ๊ง เหตุแบงก์ชาติปล่อยบาทแข็งทำสินค้าไทยแพงกว่าจีน เวียดนาม ไต้หวันถึง 20% ?
การที่ผู้ว่าแบงก์ชาติมาอ้างตลอดบอกว่าจะให้เงินบาทมีความสัมพันธ์ กับ ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมีอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทกับดอลลาร์เป็นอัตราเดียวกับประเทศใหญ่ในเครือข่ายอเมริกาโดยใช้ Dollar index เป็นหลัก
ฟังดูแล้วมีเหตุมีผลดี ถ้าเราไม่พิจารณาว่าคู่แข่งทางการค้าของเรา คือ ประเทศกำลังพัฒนา ที่ไม่ได้กลุ่มประเทศที่อยู่ในรายการ Dollar Index ประกอบด้วย 6 ประเทศ ได้แก่ยุโรป, อังกฤษ, สวีเดน, แคนาดา, ญี่ปุ่น, สวิตเซอร์แลนด์
ด้วยเหตุนี้ ค่าเงินบาทที่แข็ง จึงทำไทยเสียเปรียบประเทศที่เป็นคู่แข่งกับเราโดยตรง...มาดูกันว่า ใครบ้างที่เป็นคู่แข่งเรา?
สินค้าเกษตร ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงเลยก็มีจีน อินเดีย เวียดนาม เขมร
อุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็ก ได้แก่อินเดียและจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน
อุตสาหกรรมพลาสติกของไทย คู่แข่งคือจีนอินเดีย สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้
อุตสาหกรรมปูน และ ปูนเม็ด ของไทย คือจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย
อุตสาหกรรมรถยนต์ แบตเตอรี่ อุปกรณ์เหล็ก และเครื่องจักรอื่นๆ คู่แข่งของเรา คือจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม สิงคโปร์ เวียดนาม
เมื่อแบงก์ชาติปรับอัตราแลกเปลี่ยนให้เท่ากับกลุ่มประเทศทั้ง 6 คือให้เงินบาทแข็งกว่าดอลลาร์ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ประเทศคู่แข่งทางการค้าส่งออกของไทย ซึ่งไม่ได้อยู่ในกลุ่ม 6 ประเทศ กลับลดค่าเงินของเขาเมื่อเทียบกับดอลลาร์ 10%
จะเห็นได้เลยว่ามี Handicap อยู่ 20% ทำให้ต้นทุนสินค้าเราสูงกว่าพวกเขา 20%
ดังนั้นสินค้าส่งออกไม่มีทางที่จะสู้กับสินค้านอกกลุ่ม 6 ประเทศนี้ได้เลย
แต้มต่อค่าเงินของประเทศคู่แข่งนี้ ผู้ว่าแบงก์ชาติทราบหรือไม่ว่า ทำร้ายทำลายธุรกิจขนาดเล็กของเรามีแต่ตายกับตาย
การที่ราคาสินค้าส่งออกของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญทั้ง จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ไต้หวัน เป็นเหตุให้โรงงานใหญ่น้อยทยอยกันปิดโรงงานหมดแล้ว
ประเทศจะอยู่ได้ยังไงตอนนี้ สภาพมันลามมาจนถึงโรงงานใหญ่ ๆ แล้ว SME ถูกปิดไปแล้ว สินค้าเกษตรราคาตกต่ำไปแล้ว ต่อไปนี้กำลังจะลามโรงงานใหญ่ ๆ ซึ่งโรงงานรถยนต์ปิดไปแล้ว โรงเหล็กก็ปิดไปแล้ว
ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรอื่น ที่แบงก์ชาติไทยต้องทำให้ “ค่าเงินบาทแข็ง” เพื่อลดแต้มต่อให้คู่แข่ง !!!
คำถาม ถ้ายืนกรานนโยบายไม่เสี่ยง ต่อไปอุตสาหกรรมไทยจะอยู่ได้ยังไง ถ้าแบงก์ชาติยังดันทุรังใช้ US Dollar index เป็นหลัก
"ผมไม่รู้ว่าท่านผู้ว่าฯ เข้าใจหลักทางตะวันออกไหม หลักทางตะวันออกต้องทำให้ตัวเป็นเหมือนน้ำ ต้องอ่อนไหว เปลี่ยนทิศทางได้ ก็ท่านผู้ว่าฯ ดูสิครับ หลักทางตะวันตกมันกำลังทำให้ประเทศทางตะวันตกใกล้ล่มสลาย ผมทราบว่าท่านยังมีเงินดอลลาร์อยู่หลายหมื่นล้านดอลลาร์ ท่านเก็บเอาไว้ ผมไม่ทราบว่าท่านเก็บเอาไว้ทำไม ท่านอาจจะรู้เรื่องการเงินดีกว่าผม แต่เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ท่านสู้ผมไม่ได้หรอก
"ภูมิรัฐศาสตร์ตอนนี้อเมริกาเริ่มเสื่อมลงทีละนิดๆ ไปตลอดเวลา Dedollarisation กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ ทำไมคนอย่าง เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอเมริกา ต้องบินไปหาจีน 3-4 ครั้ง เมื่อปีที่แล้ว เพื่อไปเคารพจีนและขอให้จีนเข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาต่อ ซึ่งจีนก็ไม่ซื้อ นอกจากไม่ซื้อแล้ว ยังขายหนี้พันธบัตรที่จีนถืออยู่ในเงินตราดอลลาร์ออกไปอีก แต่ท่านก็ยังดันเก็บ US Dollar อีกตั้ง 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ท่านผู้ว่าฯ ครับ ตรงนี้ผมไม่เข้าใจ" นายสนธิ กล่าว
เพราะฉะนั้น แบงก์ชาติต้องอย่างน้อยควบคุมอัตราแลกเปลี่ยน ให้ 1 ดอลลาร์เท่ากับ 37 บาท หรือ อย่างน้อย 35 บาท ซึ่งเรายังมี handicap อยู่ 10% แต่ถ้าจะให้ดี ลดให้เต็มเท่ากับคู่แข่งเราคือ 20%
ขณะที่นโยบายดอกเบี้ย รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ พูดมาแล้วหลายครั้ง นโยบายของแบงก์ชาติ คือ ตรึงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ เป็นตายยังไงก็ไม่ลด อ้างว่า เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของตลาดการเงิน และ เศรษฐกิจ
แบงก์ชาติที่ทำเช่นนี้ถามว่า ประเทศ ประชาชนได้ประโยชน์จริงหรือ คนผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หนี้ครัวเรือนที่ วันนี้ทำใมเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศละ ผู้ว่าแบงก์ชาติตอบได้หรือไม่
กลุ่มที่ได้ประโยชน์มีแต่ “แบงก์พาณิชย์” ที่ทำกำไรหลายแสนล้านต่อปี แต่ประชาชนได้ทุกข์แสนสาหัส เข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนถูกผลักออกไปให้กู้เงินนอกระบบ ดอกโหด เผชิญกับแก๊งมาเฟียทวงหนี้ ชีวิตต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะเก็บตัวแบบผู้ว่าฯ เศรษฐพุฒิ แต่ชีวิตมันบัดซบเพราะหนี้ มีชีวิตไม่ต่างกับคนตาย แล้วเศรษฐกิจจะเอาตรงไหนมาฟื้น
บทสรุป ขอยืมคำพูดหล่อ ๆ ของผู้ว่าเศรษฐพุฒิมาพูดหน่อย
“การทำสิ่งที่ถูกต้องและให้ถูกเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผม (เศรษฐพุฒิ) เรียกว่า getting the right things right แบงก์ชาติเป็นหน่วยงานที่ต้องผลิตนโยบายที่ work และใช้ได้จริงแต่ไม่ได้ผลิต work of art" แต่แบงก์ชาติผลิตนโยบายออกมาทุกวันนี้ใช้ไม่ได้จริง เพราะใช้ได้จริงก็คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ซึ่งร่ำรวยเอาๆ แต่ประชาชนฉิบหายวายป่วงหมด
"ท่านทั้งหล่อ เท่ มาดแมน ชงกาแฟได้ เป็นบาริสต้าที่เก่ง ถ้าทำได้อย่างที่พูดมาก็ดี แต่วันนี้ไม่ใช่ ท่านลงจากหอคอยงาช้างมาแถวๆ ออฟฟิศผมสิ ออฟฟิศท่านด้วย สี่แยกบางขุนพรหม ท่านมาสัมผัสกับชาวบ้านหน่อย ไม่ต้องไกล เอาแถวๆ เทเวศร์ หน้าตลาดรวมยาง ตรงข้ามแบงก์ชาติ ก็ได้ เดินมาอีกนิดหนึ่งที่ตลาดบางลำพู ที่พวกผมอยู่กัน ท่านถามพ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้านร้านช่องว่า 4 ปีที่ผ่านมา ท่านเป็นผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ เขาค้าขายดีหรือไม่ดี นี่พูดถึงการค้าขาย ไม่ได้เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลเลยนะ เศรษฐกิจแย่หรือดี แล้วป้า-ลุง มีหนี้เพิ่มหรือเปล่า
"หลักฐานที่ผมพูดมานี้เป็นความจริง และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์แล้ว ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ว่าฯ ครับ กรุณาอย่าโกรธผม ท่านเป็นผู้ว่าฯ เทวดา คนไทยหัวใจฝรั่ง" นายสนธิ กล่าว