xs
xsm
sm
md
lg

“พรรคส้ม” ล้มเจ้า เอาพม่า ตามก้นอเมริกา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดหลักฐานชัดยิ่งกว่าชัด “พรรคส้ม” เข้าสู่การเมืองเพื่อมุ่งทำลายเสาหลักของประเทศ ทั้งบ่อนเซาะสถาบันกษัตริย์ด้วยนโยบายยกเลิก ม.112 ทำลายศาสนาด้วยการให้พระมีสิทธิเลือกตั้ง และทำลายความเป็นชาติโดยรับงานชาติตะวันตกเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศพม่า โอบอุ้มฝ่ายอองซานซูจี ต่อต้านรัฐบาลมินอ่องหล่าย จนทำให้ไทยกลายเป็นสมรภูมิ Hybrid Warfare ของอเมริกา



ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายน ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณี น.ส.ธิษะณา หรือแก้วตา ชุณหะวัณ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน ที่ลุกขึ้นอภิปรายระหว่างการแถลงนโยบายของสภาของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งมีทั้ง สส. และ สว. เข้าร่วมประชุมเมื่อ วันที่ 12 กันยายน 2567 ซึ่งสามารถทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย“ตาสว่าง”จากแนวคิด และพฤติกรรมของคนของ “พรรคประชาชน” ที่เข้ามาสู่สารบบการเมือง เพื่อต้องการบ่อนทำลายสถาบัน เสาหลักของประเทศ ทั้งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์


พิสูจน์ได้จาก คอมเมนต์ที่เข้ามาระหว่างการ Live ในรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ก.ย.ผ่านมานั้น ซึ่งมีจำนวนเป็นหมื่น ๆ ความเห็น ทำลายสถิติสูงสุดตั้งแต่จัดรายการมา โดยส่วนใหญ่เข้ามาด่า “ขิ่น แก้วตา” กับ หม่องโรม และพรรคประชาชนพม่า

สิ่งที่ชาวบ้านทั่วประเทศเขาเจ็บใจ ไม่เพียงแค่เรื่องที่ สส.พรรคประชาชนพยายามทำตัวเป็น สส.ไทยใจพม่า แต่ช่วงที่อภิปรายอยู่นั้นประจวบเหมาะกับเหตุการณ์น้ำท่วม จ.เชียงรายพอดี


ซึ่ง คนที่มีจิตอาสา เจ้าหน้าที่ที่ไปช่วยชาวบ้าน จ.เชียงราย ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มี“แรงงานพม่า” จำนวนหนึ่งที่ฉวยโอกาสที่คนไทยหนีน้ำท่วม “ยกเค้า-ขโมยของ” บ้านที่คนหนีน้ำท่วม ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งไม่ยอมออกจากบ้าน เพราะต้องอยู่เฝ้าทรัพย์สิน จะหนีน้ำไปอยู่ที่อื่น ก็ออกไปไหนไม่ได้

กลับมาถึงเรื่องแนวคิด และพฤติกรรมของคนของ “พรรคประชาชน” ที่แสดงออกให้เห็นมานานแล้วว่า เข้ามาสู่การเมือง เพื่อต้องการบ่อนทำลายสถาบัน เสาหลักของประเทศ ทั้งชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ เริ่มตั้งแต่

หนึ่ง สถาบันพระมหากษัตริย์ ความพยายามยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112(ย้ำว่ายกเลิก ไม่ใช่แก้ไข)ซึ่งเป้าหมายนั้นไม่ใช่ตัวกฎหมาย แต่เป็นความประสงค์ในการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์และตัวบุคคลในสถาบันอย่างชัดเจน

สอง ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณียกตัวอย่างสัก 2 ตัวอย่าง คือ


1) พรรคก้าวไกลมีนโยบายให้พระเลือกตั้งตั้งแต่การเลือกตั้ง 2566 เขียนเป็นนโยบาย นายพิธาและแกนนำก็เคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งหลายหน โดยอ้างว่า “เพราะคนเท่ากัน” เลยพยายามผลักดันให้

- คืนสิทธิเลือกตั้งแก่พระสงฆ์และนักบวชในศาสนาพุทธ เพื่อยืนยันสิทธิของพระสงฆ์ในฐานะประชาชน และเพื่อสร้างความเสมอภาคของทุกศาสนา

-กำหนดให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นสิทธิ ไม่ใช่หน้าที่ เพื่อรับประกันว่า พระหรือนักบวชคนใดที่ไม่ประสงค์จะใช้สิทธิเลือกตั้ง (แม้มีสิทธิ) ก็เลือกที่จะไม่ใช้สิทธิได้ โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ตามมา


ซึ่งคนที่รู้ก็ชี้ว่า ถ้าพระเลือกตั้งได้พระต้องมีสิทธิเทียมกันทุกคน แต่จะกลายเป็นหายนะของพระพุทธศาสนาทันที เพราะเขาตั้งข้อสังเกตสั้น ๆ แย้งขึ้นมา ว่า

- พระต้องตั้งพรรคการเมืองได้ คงตั้งพวกพ้องกันเองเป็นกรรมการ แล้วถ้ามีหลายพรรคคงได้โจมตีกันเองจนจีวรปลิวแน่นอน

-ขนาดเลือกตั้งสภาผู้แทนไม่ได้ การให้เลื่อนชั้นพัดยศสมณศักดิ์ แค่นี้การเมืองในมหาเถรสมาคม ยังวุ่นวาย เหมือนเรื่องกรณีธรรมกายกับสมเด็จเกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชแทนสมเด็จญาณสังวร

-พระต้องเป็น สส.รมต. ได้ ตอนอภิปรายโยม สส.ท่านอื่นคงจะหลับคาสภา

-พระต้องเดินหาเสียงได้ แล้วทำไม่ได้คงอาบัติกันทั้งพรรค

ดังนั้นการให้“พระเลือกตั้ง”ทำไม่ได้แน่นอนเพราะจะผิดธรรมวินัย อย่างชัดเจนหลายส่วนหลายข้อ

ประเด็นคือถ้ารู้ทั้งรู้ว่า “พระสงฆ์” ทำแบบนี้ไม่ได้แล้วจะให้สิทธิ “พระสงฆ์” เลือกตั้งทำไม? หรือ พรรคส้มแค่หลอกเอาคะแนนพระ


2) ความพยายามบ่มเพาะแนวคิดกร่อนเซาะวัฒนธรรม ประเพณีไทย และคุณค่าหลักของสังคมตะวันออก นั่นคือ การนับถืออาวุโส และความกตัญญูกตเวที โดยอ้างว่า“เพราะคนเท่ากัน”เลย และแก้ปัญหาระบบอาวุโส วัฒนธรรมอำนาจนิยม !?!

เรื่องนี้ ย้อนไป เมื่อเดือนมีนาคม 2561 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์เดอะโมเมนตัม ซึ่งเป็นแนวร่วมของพรรคส้ม บอกอย่างนี้ครับว่า

“ถ้าพรรคของเราเกิดได้เมื่อไร ในพรรคของเราอยากให้เลิกใช้คำว่าพี่ น้อง ลุง ป้า น้า อาอยากให้เลิกใช้คำพวกนี้ให้หมด สร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างที่ผมบอก อะไรก็ตามที่อยากให้เกิดก็ต้องทำในพรรคก่อน เราต้องการยกเลิกวัฒนธรรมอำนาจนิยมซึ่งกีดกันโอกาส กีดกันความคิดสร้างสรรค์ของคน

“เรียกคนอื่นเป็นพี่ ป้า น้า อาเมื่อไร มันเป็นการเข้าไปอยู่โครงสร้างอำนาจนั้น เราจึงคิดว่า ใช้คำว่า คุณ ผม ดิฉัน สามคำเพียงพอแล้ว ให้เกียรติกันมากพอแล้ว ไม่มีพี่ ไม่มีท่าน คนทุกคนจะกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าเป็นตัวของตัวเอง การจะไม่ยอมรับความคิดเห็นเพราะอายุ เพราะเพศสภาพ เพราะการศึกษา ตกไปเลย …”


คนที่รู้ประวัติศาสตร์ก็จะรู้ว่า สิ่งที่พยายามผลักดันมาตั้งแต่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาจนถึงพรรคประชาชน คือ แนวทางของมาร์กซิสม์ ลัทธิสังคมนิยม ที่อ้างเรื่อง “สังคมเท่าเทียม-คนเท่ากัน” ซึ่งโลกนี้ไม่มีจริง หรือ ในอดีตก็มีคนเคยพยายามทำแล้ว อย่างสมัยปฏิวัติวัฒนธรรม 10 ปีในจีน ช่วงปี 2509-2519 ที่ประธานเหมา กับ แก๊ง 4 คน สร้างกลุ่มเรดการ์ดขึ้นมา และทุบทำลายวัฒนธรรมเก่า ให้ ลูกฟ้องพ่อฟ้องแม่, เมียฟ้องผัว, ลูกศิษย์จับครูบาอาจารย์มาประจาน ซ้อมทรมาน โดยอ้างว่ามีแนวคิดทุนนิยม เป็นต้านการปฏิวัติ พวกลัทธิแก้ (Revisionism) ฯลฯ


จีนในยุคปฏิวัติจึงต้องไม่เรียกใครว่า ลุง ป้า น้า อา พี่ น้อง แต่เรียกทุกคนว่า“สหาย (comrade)”ซึ่งพวกนักศึกษาไทย ปัญญา ที่หนีเข้าป่าหลัง 6 ตุลา ก็รับมาใช้กัน ไปถามคุณภูมิธรรม เวชยชัย ที่เคยได้รับฉายาว่า“สหายใหญ่”ก็ได้

“เสาสุดท้าย” ที่พรรคส้มพยายามเซาะกร่อนบ่อนทำลายก็คือความเป็น “ชาติ”

นอกจากขิ่น แก้วตากับหม่องโรมที่ออกมาอภิปราย และให้สัมภาษณ์ก็บ่งชี้ให้เห็นถึงแนวทาง ที่เอื้อแรงงานพม่า และ ความต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของพม่า โดยยืนข้าง พรรค NLD หรือฝั่งของนางอองซานซูจี อย่างชัดเจน จริง ๆ ถ้าขุดย้อนไปจะมีหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนหลายครั้งหลายหน

ย้อนรอย “พิธา” ทวีตภาษาพม่า อ้างพายุจุ้นการเมืองภายใน

ปีที่แล้ว หลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ใน วันที่ 21 พฤษภาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งในเวลานั้นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ทวีตข้อความใน X เนื้อหาข้อความที่ทวีตเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศพม่า โดยนายพิธาได้ทวีตเป็น 2 ภาษา ได้แก่ ภาษาอังกฤษ และภาษาพม่า และถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำทางการเมืองของไทยได้ส่งสารโดยตรงไปยังประชาชนชาวพม่า ด้วยภาษาพม่าสรุปใจความระบุว่า


- แสดงความเสียใจและแสดงความปรารถนาดีต่อชาวพม่า ที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนโมคา

- เรียกร้องให้รัฐบาลไทย และประชาคมระหว่างประเทศส่งความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนที่สุดไปยังชาวพม่าที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนโมคา พร้อมระบุว่า “ซึ่งสิ่งนี้เป็นไปตามนโยบายต่างประเทศใหม่ของผมในฐานะว่าที่นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้ง”

- ประกาศเลยว่า นโยบายเกี่ยวกับประเทศพม่าของตัวเอง และพรรคก้าวไกล จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของประชาชนชาวพม่า ไปพร้อมกับด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจ โดยอ้างว่าเพื่อ สันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของทุกคน

ตอนนั้น หลังเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 หมาด ๆ ใคร ๆ ก็เห่อพิธา เจ้าตัวเองยังหลงเชิดชูตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แต่หารู้ไม่ว่าในเวลาต่อมาตัวเองเป็นได้แค่ “นายกฯ ทิพย์”


แต่จริง ๆ จุดประสงค์ของนายพิธาในเวลานั้นคือ อาศัยช่วงภัยพิบัติในการเข้าแทรกแซงการเมืองภายในพม่า โดยกดดันให้รัฐบาลรักษาการเข้าช่วยเหลือพม่าอย่างเร่งด่วน และระบุชัดเจนว่าเมื่อตัวเองเป็นรัฐบาลแล้วจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่(โดยเบื้องหลังของสิ่งเหล่านี้ที่นายพิธา และพรรคก้าวไกลทำก็คือ ทำตามบัญชาการของรัฐบาลชาติตะวันตก และสหรัฐอเมริกา ที่มีความประสงค์ในการแทรกแซงพม่า เพื่อเป็นหมากในการปิดล้อมจีนอีกที)

ซึ่งเมื่อไปเปิดดูนโยบายต่างประเทศของพรรคก้าวไกลท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า ในด้านความมั่นคง (ซึ่งก็คือการทหาร) นั้น จะจับมือกับกองทัพสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นดังประโยคที่เขียนไว้ว่า“เป็นพันธมิตรทางด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกาและตั้งเป้าในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกร่วมคอบร้า โกลด์ ที่จัดขึ้นในไทย รวมไปถึงการร่วมมือในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF)”


นอกจากนี้ เมื่อสืบค้นย้อนกลับไปอีกก็จะยิ่งเห็นร่องรอยชัดเจนเกี่ยวกับร่องรอยความสัมพันธ์ของพรรคก้าวไกล กับ การเอื้อพม่า โดยเฉพาะฝ่าย NLD โดยนายพิธาก็เคยพูดชัดเจนว่าทำงานกับ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย อย่าง นายราล์ฟ บอยซ์ และได้พยายามนำเสนอมาตลอดว่า ถ้าเป็นนายกฯ นโยบายต่างประเทศของเขาคือ“เลิกเป็นไผ่ลู่ลม”และเปลี่ยนเป็น“ยืนหลังตรง”

ซึ่งที่คำว่า “ยืนหลังตรง” ของนายพิธา แท้จริงแล้วก็คือ การเดินตามก้นฝรั่ง อย่างสหรัฐอเมริกานั่นเอง พิสูจน์ได้จากความพยายามในการผลักดันให้ไทยเข้าแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าให้ได้

หลักฐานอีกชิ้นหนึ่ง ก็คือ วันที่ 21 ตุลาคม 2564 นายพิธาเคยโพสต์แสดงความเห็นเรื่องพม่าโดยตบท้ายว่า“ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย ตอนที่อาเซียนมีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุมเพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ ต้องไม่มีอีกแล้วประเทศไทยที่ไม่ยอมโหวตในมติ non-binding หรือมติที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกฎหมายด้วยซ้ำ ของสมัชชา UN เพื่อป้องกันการไหลเวียนของอาวุธเข้าเมียนมา

“และต้องไม่มีอีกแล้วครับ ประเทศไทยที่นายกรัฐมนตรีแอบไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งขึ้นมาจากการรัฐประหารที่สนามบิน”


นอกจากกรณี ของมะขิ่น แก้วตา, หม่องโรม, อู พิธาแล้วยังมีอีกคนที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล (พรรคประชาชน) ที่อ้างชัดเจน หน้าตาเฉยว่าเพราะแรงงานต่างด้าว รวมถึง “แรงงานพม่า” เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) , มาทำงานก็จ่ายเงินค่าประกันสังคมด้วย จึงต้องได้สิทธิเท่าคนไทย

ย้อนรอย “แกนนำพรรคส้ม” ลั่นแรงงานพม่าต้องได้สิทธิเท่าคนไทย ผลักดันเป็นนโยบาย

เรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2566 เช่นกัน วันที่ 26 เมษายน 2566 ระหว่างการออกรายการ รายการหนึ่ง ชื่อรายการ The Politics ภาคพิเศษ : ถกเถียง ทีมเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ทางมติชน นายเซีย จำปาทอง แกนนำพรรคก้าวไกล พูดถึงเรื่องแรงงานข้ามชาติอย่างนี้

“เขาเข้ามาทำงานในประเทศเรา เขาก็เสียภาษีให้กับประเทศเรา ซื้อของก็ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเหมือนกัน เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ค่าเช่าบ้าน ค่าอะไร สุดท้ายเงินมันกลับมาสู่เป็นภาษีจ่ายให้กับประเทศเรา

“เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่แรงงานไทย แรงงามข้ามชาติควรจะได้เช่นเดียวกันกับแรงงานไทย ผมเคลื่อนไหวที่ไปทำงานในขบวนการแรงงานผมพยายามผลักดันเรื่องนี้ว่า เมื่อเขาเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิเหมือนกับคนไทย ...

“ตอนหลังสุดเลย ผมพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ซึ่งเขาจำกัดสิทธิไม่ให้แรงงานข้ามชาติมีสิทธิเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้ประกันตนเหมือนกัน จ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเหมือนกัน แล้วทำไมเขาไม่มีสิทธิที่จะเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ผมคิดว่าทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน”


ซึ่งเมื่อ “พิธีกรรายการ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่า
“ซึ่งเรา (พรรคก้าวไกล) เสนอตรงนี้เป็นนโยบายด้วย?”

นายเซีย จำปาทอง ก็ตอบว่า“ใช่ครับ”

ฟังแล้วอึ้งไหม? ความคิด คำพูด และ แนวนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ปัจจุบันกลายร่างมาเป็นพรรคประชาชน ไม่เพียงแต่จะมาแย่งงานคนไทย แต่ยังจะขอสิทธิ สวัสดิการ ทุกอย่างเหมือนกับคนไทย รวมถึงการเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม โดยอ้างว่าเพราะทุกคนควรมีสิทธิเท่าเทียมกัน

อึ้ง! แรงงานพม่าชุมนุม ถือป้ายเรียกร้องยกเลิก ม.112, 116, 117

ยังไม่จบแค่นั้น ถ้าหากย้อนไปในปีที่แล้ว ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่แกนนำพรรคก้าวไกลพูดเรื่องนี้ก็มีการใช้ “แรงงานพม่า” มาเป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยถือโอกาส “วันแรงงานสากล” คือ วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ออกมาจัดม็อบแรงงานโดยมีการชูแคมเปญว่า“ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ”และ การเดินขบวน “สาปส่งรัฐปีศาจ สร้างชาติด้วยรัฐใหม่”


ถ้าได้ฟังหรือดูรูป แล้วมันขัดหูขัดตาไหมว่า “แรงงานพม่า” เกี่ยวอะไรด้วย กับประเด็นเรื่อง มาตรา 112, 116, 117 เรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ กับ รัฐสวัสดิการ?

ทั้งนี้ ม.112, 116, 117 นี่เป็นกฎหมายอาญาในหมวดความมั่นคงทั้งหมดคือ
ม.112 - กฎหมายหมิ่นสถาบัน
ม.116 - กฎหมายห้ามยุยง ปลุกปั่น
ม.117 - กฎหมายห้ามหยุดงาน ปิดงาน เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมาย บังคับรัฐบาล หรือข่มขู่ประชาชน

ทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ชัดว่า ป้ายที่ม็อบแรงงานพม่าถือ ก็คนไทยเครือข่ายพรรคส้ม ที่ยืมมือแรงงานพม่าไปเป็นเครื่องมือ สมคบคิดกัน


ยิ่งได้ดูภาพนี้ก็จะยิ่งเห็นได้ชัด คือ เสื้อยืดที่ม็อบพม่าใส่ ถือป้ายผ้าต่าง ๆ(ในวงกลมแดงตามภาพ)เช่น
-หนุนเงินเด็กเล็กถ้วนหน้าเดือนละ 3000 บาททุกคน(รวมแรงงานพม่าด้วย)
-เพิ่มสิทธิลาคลอดจาก 3 เดือน เป็นครึ่งปี 180 วัน

เสื้อยืดที่เขียนว่า PDF หรือ ซึ่งย่อมาจาก People's Defence Force หรือกองกำลังติดอาวุธของกลุ่ม NLD พรรคของอองซานซูจีที่สู้รบกับรัฐบาลทหารพม่านั่นเอง(ดูภาพล่างเพื่อเปรียบเทียบ)


ก็สอดคล้องกับสิ่งที่ ไม่ว่าจะพิธา, ขิ่น แก้วตา, เซีย กับบรรดาแกนนำพรรคก้าวไกลอีกจำนวนมากที่ออกมาบอกว่า“ต้องเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของพม่า”ดันหลังพรรค NLD กับ กองกำลังติดอาวุธคือ PDF เพื่อล้มรัฐบาลทหารพม่าของ มิน อ่องหล่ายให้ได้

ดังเช่นที่ สส.ขิ่น แก้วตา ชุณหะวัณ โพสต์เฟซบุ๊กไว้เมื่อ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 เล่าถึง กิจกรรมที่เธอ และพรรคก้าวไกลไปทำร่วมกับอดีตนักการเมืองของพรรค NLD และกลุ่มบุคคลของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารในพม่า ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
“รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบอดีตนักโทษทางความคิด (Political prisoner) และ ส.ส.พรรค NLD ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า ผ่านการซ้อมทรมานในเรือนจำจนทุพพลภาพโดยรัฐบาลเผด็จการทหารมิน อ่องหล่าย ...”


สาเหตุที่พรรคก้าวไกล โกยคะแนนเสียงคนไทยไปได้จนได้เสียงมาเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว ปี 2566 สาเหตุหลักก็เพราะว่า คนเลือกเพราะเบื่อ 3 ลุง ตอนนี้ 3 ลุงไปแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาดี ๆ แล้วปัญหาใหญ่สุดของพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน คือ สส. ไม่มีคุณภาพ

ไม่เพียงแต่ ขิ่น แก้วตา และคนอื่นๆ เท่านั้น ในต่างจังหวัดก็เหมือนกัน ยกตัวอย่างไม่ว่าจะเป็นที่ จ.ภูเก็ต จ.เชียงราย ที่ สส. ก้าวไกลได้รับเลือกเข้ามา จำนวน 3 เขตจาก 7 เขต คือเขต 1 นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ เขต 3 นายฐากูร ยะแสง เขต 6 นางจุฬาลักษณ์ ขันสุธรรม


ซึ่งทั้ง 3 คน ล้วนแล้วแต่พิสูจน์ให้เห็นชัดว่า ดีแต่สร้างภาพ เก่งแต่วาทศิลป์ แต่เอาเข้าจริงไร้น้ำยาทั้งนั้น โดยเฉพาะช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ อย่าว่าแต่ สส.ในพื้นที่ของพรรคประชาชนเลย เพราะแม้แต่“หัวหน้าพรรคประชาชน”อย่าง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ เท้ง ก็ดีแต่สร้างภาพ เก่งแต่วาทศิลป์ ด้วยคำพูดแนวพระเอกลิเก ที่พูดระหว่างการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ราชบุรี โดยกล่าวถึงกรณีน้ำท่วม จ.เชียงราย ว่า“เราลงพื้นที่ ไม่ได้เอาของไปแจก ไม่ได้สร้างระบบบุญคุณ อุปถัมภ์ แต่เราลงไปพบประชาชน เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุข พ่อแม่พี่น้องประชาชน นี่คือหน้าที่ของผู้แทนราษฎร์

“เหตุการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือที่ผ่านมา ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การที่เราลงไปรับฟังเสียงสะท้อน มองไปในดวงตาของพี่น้องภาคเหนือที่ได้รับผลกระทบ”

โดยนายเท้ง ณัฐพงษ์ อ้างว่าสาเหตุที่พวกตนพรรคประชาชนเอาของไปแจกให้พี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมภาคเหนือไม่ได้ก็เพราะติดปัญหาเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง และทำให้พรรคประชาชนยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปีของภาคเหนือได้อย่างเต็มที่


“คุณเท้ง ผมไม่นึกเลยว่า “โรคพระเอกลิเก” นี่จะติดต่อจากคุณพิธา มาถึงคุณด้วย แต่คุณออกลูกนี้เนี่ย ชาวบ้าน กับคนที่เลือกพรรคก้าวไกล แล้วคอยสนับสนุนพวกคุณอยู่เขาไม่ได้โง่ เขาได้ยินแล้วก็รู้ว่าเป็นเป็นเรื่องตอหลดตอแหล

“ยิ่งตอกย้ำด้วยคำอภิปรายของ“ขิ่น แก้วตา”ในสภา กับ คำแก้ตัวของ“หม่องโรม”ด้วยแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่า พวกคุณนี่แม่งไม่เห็นหัวประชาชนคนไทย เป็น สส.ไทย แต่หัวใจพม่าชัด ๆ”
นายสนธิ กล่าว

“พรรคส้ม” ทำไทยเป็นสมรภูมิ Hybrid Warfare ของสหรัฐอเมริกา

นายสนธิ กล่าวว่า ตนเคยพูดไปแล้วหลายครั้ง แต่จะย้ำเตือนให้ประชาชนคนไทยรู้เท่าทันว่า พวกนักการเมืองที่พยายามเข้าไปยุ่ง เข้าไปจุ้นเรื่องพม่าเยอะ ๆ นั้น แท้จริงแล้วก็คือ หาเหาใส่หัว หาภัยเข้าตัว และชักศึกเข้าบ้าน


นักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมของไทย ณ ปัจจุบันเป็นเอเจนต์ ของชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา และกลุ่มอียู ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ของนายพิธาเองก็ยอมรับเลยว่า ตัวเองเป็นศิษย์เก่าอเมริกา พูดคุย และทำงานใกล้ชิดกับเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ อย่าง ราล์ฟ บอยซ์ มานาน ส่วนขิ่น แก้วตา หรือหม่องโรม ก็ชัดเจนว่า ทำทุกอย่างตามวาระของฝรั่ง

“ผมเองก็จบอเมริกาเหมือนกันเป็นสิบ ๆ ปี น่าจะอยู่อเมริกานานกว่าคุณพิธาด้วยซ้ำ ไม่นับรวมกับที่ผมเป็นสื่อสารมวลชนมา 50 ปี และในอดีตก็เคยทำธุรกิจหลายอย่างในสหรัฐฯ แต่ผมไม่ได้ทำตัวเป็น “เอเจนต์” ของชาติตะวันตก หรือชาติอื่น ๆ ในการเปิดทางให้พวกนี้เข้าแทรกแซง หรือ ครอบงำ การเมืองหรือประเทศไทย แต่อย่างใด” นายสนธิ กล่าว

เรามาดูสัญญาณที่ส่งออกมาว่าไทยได้กลายเป็นสมรภูมิ Hybrid Warfare ของสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว โดยเรามาดูตัวอย่างกันว่า ชาติที่เราเรียกว่าว่ามหามิตรนั้นกำลังจะทำอะไรกับเราบ้าง


เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยคนปัจจุบัน ที่ชื่อนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค (Robert F. Godec) ก่อนจะเดินทางมารับตำแหน่งที่ประเทศไทย ได้รับธงมาแล้วว่าจะต้องมาดำเนินการปั่นป่วนประเทศไทยอย่างหนัก

วันที่ 13 กรกฎาคม 2565 – หลังจากนายโจ ไบเดน เสนอชื่อนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย นายโกเดค ได้เข้าชี้แจง แจงต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ (Committee on Foreign Relations Hearings) โดยระบุถึงความนโยบาย และความตั้งใจของเขาว่า พอรับตำแหน่งเขาจะทำอะไรบ้าง นายโกเดค บอกว่า

1.เรื่องพม่า :เขาตั้งใจจะช่วยไทยปรับปรุงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศ และให้ไทยร่วมกดดันรัฐบาลทหารพม่าด้วย


2.เรื่อง ม.112 : เมื่อ นายเอ็ด มาร์คีย์ (Sen. Ed Markey) วุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครต จากรัฐแมสซาชูเสตต์ตั้งคำถามต่อนายโกเดคถึง ม.112 ซึ่งส่งผลต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและมีผู้ถูกจับกุมคุมขังมากมาย นายโกเดคกล่าวว่า สหรัฐฯ เคารพราชวงศ์ไทยในฐานะสถาบันหนึ่ง และเข้าใจความจงรักภักดีของคนไทยต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เขาเคยเน้นย้ำทั้งต่อสาธารณะและในทางส่วนตัวถึงความสำคัญที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกจับกุม และจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

“ผมขอย้ำว่า คนที่ถูกจับกุมตัวจะต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ในระหว่างการดำเนินคดี”


3.สิทธิมนุษยชน :ตอนนั้นนายโกเดค ยังกล่าวด้วยว่า จะช่วยเหลือประเทศไทยปรับปรุงสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเรื่องการค้ามนุษย์ และการบังคับใช้แรงงาน โดยบอกว่า ได้เห็นพัฒนาการบางอย่าง แต่ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก และเขายืนยันจะทำทุกอย่างที่ทำได้


4.บีบไทยลดการพึ่งพาก๊าซพม่า :เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าในเรื่องนี้ นายโกเดค ยังระบุด้วยว่าจะดำเนินการกดดันให้ไทยลดการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากพม่าซึ่งตามรายงานของหน่วยงานสิทธิมนุษยชนระบุว่า ไทยนำเข้าพลังงานจากพม่าจำนวนมาก

“เรากำลังหาทางให้ไทยเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลพม่า ทางเลือกทุกอย่างวางอยู่บนโต๊ะ รวมถึงเรื่องน้ำมันและก๊าซ รัฐบาลทหารพม่าได้ทำการอันเหี้ยมโหด และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหยุดยั้งมันให้ได้”

เห็นได้ชัดว่า คำแถลงของนายโกเดด เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยเมื่อ 2 ปีก่อน ที่พูดกับคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ เหมือนกับคำพูดของ “ขิ่น แก้วตา” ธิษะณา ชุณหะวัณ ที่ลุกขึ้นอภิปรายในสภา วันที่ 12 กันยายน 2567 ระหว่างการแถลงนโยบายต่อรัฐบาลของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แทบจะทุกคำ


โดยเฉพาะเรื่องการกดดันบริษัทไทยที่ไปลงทุนในพม่า ซึ่ง“ขิ่น แก้วตา”เหมือนรับงานนายโกเดค ทูตสหรัฐฯ มาแบบเต็ม ๆ โดยพูดว่า ประเทศไทยต้องแซงก์ชันรัฐบาลทหารพม่า ที่นำโดยมิน อ่องหล่าย รวมทั้งต้องสั่งให้บริษัทไทย อย่าง ปตท.สผ. ที่ไปลงทุนด้านแหล่งพลังงานในพม่า เดินตามก้นบริษัทพลังงานฝรั่ง ถอนตัวออกมาให้หมด โดยอ้างว่าจะได้ไม่ต้องไปส่งเสริมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของรัฐบาลพม่า

“ดิฉัน เอาง่ายๆ นะคะ รัฐวิสาหกิจไทยอย่าง ปตท.สผ. เนี่ย ทำไมปัจจุบันยังไปลงทุนในพม่าอีก ทั้งที่บริษัทพลังงานเจ้าอื่นของตะวันตก อย่างโทแทล หรือเชฟรอน ได้ถอนการลงทุนจากประเทศเมียนมาไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ธุรกิจเขาไปส่งเสริมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”

นอจากนี้ มีหลักฐานรูปถ่าย มะขิ่นแก้วตา โพสต์ภาพพบทูตสหรัฐฯ ในฐานะตนเป็นคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ รัฐสภา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ปีนี้เอง


“ท่านผู้ชมครับ เข้าใจหรือยังว่า ประเด็นที่พรรคประชาชนไทยใจพม่า ทั้งหม่องพิธา มะขิ่นแก้วตา หม่องโรม อูเซีย จำปาทอง ออกมาเคลื่อนไหวแบบหนักๆ นั้น ล้วนแล้วแต่สอดคล้องและรับงานฝรั่งทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพม่า การแทรกแซงกดดันรัฐบาลทหารพม่า สิทธิมนุษยชน ที่สำคัญที่สุด กฎหมายอาญามาตรา 112 เรียกได้ว่าเป็นนโยบายพรรคส้ม ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล มาจนถึงพรรคประชาชน (ใจพม่า) กับอเมริกานั้น เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย สอดรับกันเป็นลูกคู่ คอหอย-ลูกกระเดือก ผีกับโลงศพ เหมือนกันเป๊ะ

“ผมอยากจะถามครูบาอาจารย์ผู้อาวุโสทั้งหลายที่แอบเชียร์เย้วๆ อยู่หลังพวกคุณ พรรคประชาชน (พม่า) ไม่ว่าจะเป็น ส.ศิวรักษ์ ชาญวิทย์ เกษตรสิริ อานันท์ ปันยารชุน ปริญญา เทวานฤมิตรกุล และอื่นๆ ทำไมพอมีเรื่องแบบนี้ออกมาท่านผู้เฒ่าทั้งหลายไม่ออกมาส่งเสียง ออกมาพูด เสนอหน้าเหมือนกับที่ชอบเสือกในเรื่อง 112 ตลอดเวลา

“ตอนนี้ ท่านผู้ชมครับ แกนนำนักศึกษาม็อบสามนิ้ว ก็ทยอยหนีคดีความไปต่างประเทศกันไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน พริษฐ์ ไมค์ ระยอง ชูเกียรติ นุก จัสติน แต่ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส อาจารย์ที่ออกมาเชียร์เย้วๆ เหล่านี้ ยังอยู่สุขสบาย นั่งชิลๆ อยู่บ้าน พ่นความคิดผ่าน Facebook ผ่านสื่อ ปล่อยให้เด็กพวกนี้หนีคดีไปต่างประเทศ

“ผมมีคำแนะนำให้ท่านผู้ชมที่เพิ่งตาสว่าง หลังจากหลวมตัวเลือกพรรคประชาชน (พม่า) ในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว 14 ล้านเสียง ทีหลังถ้าท่านนึกไม่ออกว่าจะเลือกใครดี โหวต No ไปเลยครับท่านผู้ชม”
นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น