“ชาลี - กามิน” รักล่ม แยกทาง เพราะศีลไม่เสมอกัน “กามิน” เติบโตมาแบบปากกัดตีนถีบ เห็นเงินสำคัญที่สุด ขณะที่ “ชาลี” ประสบความสำเร็จในอาชีพการแสดงตั้งแต่ยังเด็ก เงินเป็นเรื่องรอง แต่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยากทำมากกว่า สุดท้ายทั้ง 2 คนก็ไปด้วยกันไม่ได้ เป็นบทเรียนให้ตัว “ชาลี” เอง รวมถึงคนไทยที่เป็นติ่งเกาหลีทั้งหลาย
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงงกรณีดราม่าอินฟลูเอนเซอร์ของไทยและเกาหลี คือดาราไทยลูกเสี้ยวฮอลแลนด์ ชาลี ปอทเจส หรือที่รู้จักกันในนาม“แน็ก ชาลี” กับติ๊กต๊อกเกอร์ชาวเกาหลีที่ชื่อ“จี กามิน”หรือที่คนไทยเรียกสั้น ๆ ว่า“กามิน”อายุ 31 ปีพอ ๆ กัน
เดิมที่ “กามิน” เป็นสาวเกาหลี หน้าตาน่ารัก หารายได้เพื่อเลี้ยงตัวเองเพื่อส่งตัวเองเรียนหนังสือปริญญาโท และเช่าห้อง ด้วยการทำไลฟ์ติ๊กต๊อกวันหนึ่ง 23 ชั่วโมง(ซึ่งแสดงว่าวัน ๆ ไม่มีงานทำอย่างอื่น)กินอาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซีเรียลใส่นมบ้าง นอนหลับสัปหงกคาการถ่ายทอดสดบ้าง โดยมีคนติดตามแค่หลักสิบหรือหลักร้อย
ขณะที่ “แน็ก ชาลี” เป็นศิลปินไทยที่มีแฟนคลับและผู้ติดตามจำนวนมากหลายล้านอยู่แล้ว เกิดความสงสาร ทั้งเอ็นดู ทั้งเห็นใจ ยิ่งเพื่อนกามินมาบอก “แน็ก ชาลี” ว่า “กามิน” มีความยากลำบากมาก จึงตัดสินใจใช้อิทธิพลของความเป็นอินฟลูเอนเซอร์ของตัวเองให้แฟนคลับไทยไปช่วยปั้น “กามิน” ทั้งกดติดตาม กดให้สติ๊กเกอร์ ปรากฏว่า “กามิน” ได้กลายเป็นดาวติ๊กต๊อกที่เกาหลีที่มีแฟนคลับคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน
กามินได้ยกมือไหว้ปะหลก ๆ ขอบคุณคนไทย เพราะทำให้เธอมีแฟนคลับและรายได้จากติ๊กต๊อกเพิ่มขึ้นทันที เหตุการณ์ในครั้งนั้น “แน็ก ชาลี” กลับเป็นฝ่ายร้องไห้น้ำตาไหล ปลื้มปิติ ว่าเราได้ช่วยคน ๆ หนึ่งสำเร็จแล้ว ด้วยเพราะแฟนคลับของ “แน็ก ชาลี” เอง
การติดตาม “แน็ก ชาลี” กับ “กามิน” ได้ถูกพัฒนากลายเป็น“กระแสคู่จิ้นเรียลิตี้”ที่น่าลุ้นที่สุด เพราะเป็นความรักต่างภาษา ที่ “แน็ก ชาลี” พูดได้แต่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ค่อยได้ ฟังก็ไม่เก่ง ภาษาเกาหลีพูดไม่เป็น แต่อยากจะจีบสาวเกาหลี
ทั้งคู่จึงต้องทั้งใช้แฟนคลับเป็นล่ามบ้าง ใช้ภาษามือ ภาษากายบ้าง ใช้เทคโนโลยีแปลภาษาไปอย่างกระท่อนกระแท่นบ้าง ทำให้เป็นความตลก น่ารักที่มีคนไทยแห่ไปลุ้นให้กำลังใจกันมากที่สุดว่า “แน็ก ชาลี”จะจีบกามินสำเร็จหรือไม่
และความเป็นเรียลลิตี้ที่ไม่มีบท ทำให้คาดเดาไม่ได้ คนไทยจึงแห่ติดตาม “แน็ก ชาลี” กับ “กามิน” ยิ่งกว่าละครในประเทศไทยเสียอีก ทำให้แฟนคลับคนไทยที่มีต่อกามินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากหลักหมื่น หลักแสนมาจนถึงสูงสุด 1.6 ล้านคนในเวลาต่อมา
กระแสปั่นอยู่ไม่นาน “แน็ก ชาลี” ก็เชิญกามินมาประเทศไทย โดยกามินมาถึงสนามบินเมืองไทย วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 ปรากฏว่ามีคนไทยมาต้อนรับอย่างเนืองแน่นหลายร้อยคนเหมือนดาราซูเปอร์สตาร์เกาหลี แม้ว่าในวันนั้น “แน็ก ชาลี” ไม่อยู่ แต่คุณแม่ของ “แน็ก ชาลี” ก็ให้เกียรติมารับกามินด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นกามินเมื่อทดลองมาใช้ชีวิตเมืองไทยแล้วก็กลับไปเกาหลี และบินกลับมาเมืองไทยอีกครั้ง วันที่ 11 มีนาคม 2567 โดยครั้งนี้ได้ตัดสินใจพักการเรียน และจะมาอยู่เมืองไทยยาว ปรากฏว่ากระแสทั้งการไลฟ์ และการขายของ งานพรีเซนเตอร์ งานโฆษณาสินค้า งานทั้งหลาย หลั่งไหลเข้ามาทั้ง “แน็ก ชาลี” และ “กามิน” ทำเงินทำทองไปอย่างมากมายมหาศาล จน “กามิน” ตัดสินใจทิ้งการเรียนและมาใช้ชีวิตเมืองไทยและยอมรับว่าได้คบหากับ “แน็ก ชาลี” แล้ว
“ถามว่าช่วงเวลาทำเงินทำทองของ “แน็ก ชาลี” กับ กามิน รายได้มากมายขนาดไหน ? จากข้อมูลวงในของผมยืนยันว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 6 เดือน รายได้ของทั้งคู่น่าจะถึงหลักร้อยล้านบาท !
“ท่านผู้ชมลองดูตัวอย่าง วันที่ 23 มีนาคม 2567 นายณวัฒน์ อิสรไกรสีห์ ผู้จัดมิสแกรนด์ จ้าง “แน็ก ชาลี” และ “กามิน” 1 ล้านบาท ไลฟ์ขายน้ำพริกปลาสลิด เพียง 1 ชั่วโมง น้ำพริกของนายณวัฒน์ขายได้กว่า 7 ล้านบาท” นายสนธิ กล่าว
ตอนนั้นสินค้าใด แบรนด์ไหน ต้องการพรีเซนเตอร์คู่ “แน็ก-กามิน” นั้นต้องจ่ายเป็นเงินอย่างต่ำ ๆ ก็ 8 หลัก ... 8 หลักก็คือ 10 ล้านบาทขึ้นไป
นี่แค่ งานไลฟ์ งานพรีเซนเตอร์ ยังไม่นับงานอีเวนต์โชว์ตัวแบบสั้น ๆ ขึ้นเวทีไม่กี่นาทีก็หลายแสนบาท แล้ววันหนึ่งรับกี่อีเวนต์ สัปดาห์นึงรวม ๆ กันแล้วกี่อีเวนต์ เป็นสิบ ๆ อีเวนต์
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลากอบโกยเงินทองอย่างแท้จริง จากติ๊กต๊อกเกอร์ที่มีคนดูไลฟ์หลักสิบ ในช่วงนั้นการทำงานของกามินมีรายได้ชั่วโมงละ 4 แสน ถึง 1 ล้านบาท จากคนเกาหลีโนเนม ภายในชั่วพริบตา กลายเป็นคนที่มีรายได้ดีกว่าดาราระดับหัวแถวของไทยเสียอีก
จากปากคำของ “แน็ก ชาลี” ระบุเองว่าขนาดรายการสัญญาที่จ่ายเป็นงวด ๆ ของลูกค้า “แน็ก ชาลี” ยังออกให้เป็นเงินก้อนให้กับกามินไปก่อนเป็นเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท
ช่วงเวลาคิวทองของ “แน็ก ชาลี” กับ กามิน มีโฆษณาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และยังมีงานที่ “แน็ก ชาลี” รับปากกับลูกค้าอีกจำนวนมาก
จนกระทั่ง วันที่ 17 เมษายน 2567 “กามิน” บินกลับเกาหลีใต้ ปรากฏว่ามีคนสังเกตว่าวันส่งกลับว่า “กามิน” กอดทุกคนที่มาส่ง ยกเว้นไม่กอดกับ “แน็ก ชาลี” ทำให้ดราม่าเริ่มกลับมาอีกครั้ง
เรื่องที่น่าแปลกกว่านั้น คือ “แน็ก ชาลี” มาเปิดเผยภายหลังว่า ในเวลานั้นกามินไม่อนุญาตให้ “แน็ก ชาลี” บินไปหากามินที่เกาหลีใต้ด้วย ซึ่งถือเป็นพิรุธ น่าจะมีความลับอะไรบางอย่างที่เกาหลี จึงไม่ต้องการให้ ”แน็ก ชาลี” ไปปรากฏตัวในสังคมรอบข้างของกามินในเกาหลีใต้
ปรากฏว่าหลังจากกามินกลับเกาหลีใต้รอบนี้ “แน็ก ชาลี” ไม่สามารถติดต่อกับ “กามิน” ได้ โดยที่ “แน็ก ชาลี” ก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมกามินไม่โทรกลับใด ๆ 3-4 วัน จนกระทั่งหลัง “แน็ก ชาลี” ยอมรับกับสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียว่าติดต่อกับ “กามิน” ไม่ได้เลย
ทำให้เกิดดราม่าคนไทยเข้าไปถล่มบัญชีของ “กามิน” ว่าเห็นแก่เงินบ้าง มีผู้ชายคนอื่นบ้าง ทรยศหักหลัง ฯลฯ แต่ในที่สุดกามินก็ออกมาไลฟ์กลับมาพูดคุยและคืนดีกับ “แน็ก ชาลี” วันที่ 23 เมษายน 2567 และกลับมาเมืองไทยครั้งที่ 3 วันที่ 29 เมษายน 2567
แต่เมื่อความรักของ “แน็ก ชาลี” กับกามิน ไม่ใช่เรื่องน่าลุ้นอีกต่อไป เพราะเป็นแฟนกันแล้ว กระแสงานก็ค่อย ๆ ลดลงไปตามลำดับในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2567
“แน็ก ชาลี” เป็นสุภาพบุรุษ มีความลับเกี่ยวกับกามินจำนวนมาก แต่ไม่ยอมพูด เพราะกลัวกามินจะเสียหายเกินไป แต่จำเป็นต้องออกมาชีัแจงบางเรื่องเป็นระยะๆ เท่าที่จำเป็น หลังจากแฟนคลับ “กามิน” เข้ามารุมถล่ม เพราะเข้าใจผิดว่า “แน็ก ชาลี” ดูแล “กามิน” ไม่ดี ไล่ “กามิน” ให้กลับไปเกาหลีรอบหลังอย่างน่าสงสาร
ซึ่งภายหลังจาก “กามิน” กลับไปเกาหลีครั้งล่าสุดประมาณ 2 สัปดาห์ “แน็ก ชาลี” ได้ออกมาชี้แจงความจริงว่าได้แยกทางกับกามินตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา แล้ว
โดย “แน็ก ชาลี” เป็นสุภาพบุรุษพอที่ไม่บอกถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมต้องแยกย้ายเลิกกัน แม้แต่วันไปส่งสนามบิน ก็ให้ครอบครัวและหลานไปส่ง “กามิน” แต่ “แน็ก ชาลี” ก็ไม่กล้าไปส่ง “กามิน” ที่สนามบิน และสารภาพว่าเพราะยังรัก “กามิน” อยู่
แต่ “แน็ก ชาลี” เลือกที่จะเล่าความจริงบางอย่าง เพราะถูกโจมตีอย่างหนัก จึงเริ่มพูดความจริงว่า “แน็ก ชาลี” ต้องเสียเงินเสียทองในการดูแลกามินอะไรไปบ้าง เช่น
- ดูแล “กามิน” ด้วยบ้าน 4 หลัง และ ค่าที่พักโรงแรม ค่าจัดการเดินทาง ค่าอาหารทุกอย่างให้
- “แน็ก ชาลี” ต้องจ้างคนด้วยเงินตัวเองถึง 7 คนเพื่อดูแล “กามิน” โดยเฉพาะ รวมถึงค่าเสื้อผ้าหน้าผมทุกอย่าง “แน็ก ชาลี” ออกค่าใช้จ่ายให้หมด แต่ “กามิน” ก็ยังไม่พอใจอยากได้คนเกาหลีถือกระเป๋าตามอีก 1 คน ทำตัวยิ่งกว่าดาราไทย(ซึ่งประเด็นหลังนี้ “แน็ก ชาลี”ไม่เห็นด้วยและยอมมาเป็นคนถือกระเป๋าให้กามินเอง)
- แม้แต่ขามาประเทศไทย กามินบินที่นั่งชั้นประหยัด ขากลับ “แน็ก ชาลี”ออกตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจ ให้กับ “กามิน” ด้วยเงินส่วนตัว
“แน็ก ชาลี” ทำทุกอย่างขนาดนี้ แต่กามินกลับไปไลฟ์ว่าตัวเองมีรายได้ดีอยู่แล้วในตอนที่อยู่เกาหลี แต่ยอมไปที่ประเทศไทยเพราะ “แน็ก ชาลี” เชิญไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการจะไปที่ประเทศไทยเลย แต่ต้องไปประเทศไทยอย่างลำบาก ทำงานอย่างหนัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงเลย
เรื่องตลกไปกว่านั้น ครั้งหนึ่ง “แน็ก ชาลี”ทำไลฟ์ TikTok ของช่องตัวเอง คู่กับกามิน ซึ่งปกติแล้วรายได้ต้องของช่อง “แน็ก ชาลี” ซึ่งจ่ายค่าตัวให้กามินอยู่แล้ว 4 แสนบาทต่อ 1 ชั่วโมง (ซึ่งเป็นการช่วยกามิน) และเวลาช่องกามินถ่ายทอดสดที่มี “แน็ก ชาลี” รายได้ทั้งหมดก็เป็นรายได้ของช่องกามิน แต่กามินกลับเริ่มถามถึงส่วนแบ่งสติ๊กเกอร์ในช่อง “แน็ก ชาลี”
“แน็ก ชาลี” ก็เลยแบ่งให้เพิ่มอีก 5 แสนบาทเพื่อตัดปัญหา ปรากฏว่า กามินคงอายเลยไม่กล้ารับ แต่กามินกลับเอาเรื่องเงิน 5 แสนบาทนี้มาโพสต์อ้างบุญคุณว่าไม่รับเงินไว้เพื่อให้บริษัท “แน็ก ชาลี” เจริญก้าวหน้า
ปรากฏว่าเมื่อ วันอังคารที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา “แน็ก ชาลี” ประกาศจะไม่เอาเงิน 5 แสนบาทที่กามินมาอ้างบุญคุณแม้แต่บาทเดียว แต่จะเอาไปแจกแฟนคลับในรูปแบบการกุศลทั้งหมด เพื่อไม่ให้กามินมาอ้างบุญคุณจากเงินก้อนนี้อีกต่อไป ซึ่งไม่ใช่ของกามินเสียด้วยซ้ำ
ซึ่งล่าสุด “แน็ก ชาลี” ได้บริจาคเงิน 5 แสนบาทดังกล่าวให้ “ก้อง ห้วยไร่” นำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สมทบกับผู้บริจาครายอื่นๆ
นอกจากนี้ “แน็ก ชาลี” ยังได้เล่าพฤติกรรมว่ากามินเอาแต่ใจตัวเองอย่างไร เช่น ยกเลิกลงเรือยอชต์ในการทำคอนเทนต์ร่วมกับ “แน็ก ชาลี” ฉับพลัน แล้วให้ “แน็ก ชาลี”แบกรับหน้ากับผู้ชมแทน หรือ “กามิน” อยากนัดเจอไปหาดาราชายไทย “แน็ก ชาลี” ก็ไม่ยอมเพราะจะทำให้เสียภาพลักษณ์ได้
ยังไม่นับว่าบ้านของ “แน็ก ชาลี” ไม่เคยเอาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเข้าบ้านเลย แต่ “กามิน” เป็นคนชอบปาร์ตี้ กินเหล้า ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำในเกาหลี จึงต้องจำใจยอมให้คนไปซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เก็บไว้เป็นสิบ ๆ ขวดเตรียมให้ “กามิน” ในบ้าน “แน็ก ชาลี” ที่คู้บอนด้วย
นอกจากนั้น “แน็ก ชาลี” หาเงินให้เท่าไหร่ก็ไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่ “กามิน” ไม่เคยมีรายได้อย่างนี้มาก่อนในเกาหลี ยกตัวอย่างเช่น
- “กามิน” ไม่พอใจที่รายได้ตัวเองถูกหัก 25% ให้กับนายหน้าหางานในประเทศไทย(ซึ่งเป็นอัตราต่ำกว่าปกติ เพราะปกติในตลาด คนหางานจะได้ประมาณ 30-40%)แถมกามินยังไปไลฟ์ด้วยว่า “แน็ก ชาลี” หักเงิน 25% ของกามินไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของกามิน
- ไม่พอใจว่าทำไมส่วนแบ่งของตัวเองต้องมีการหักภาษีด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วใครมีรายได้ก็ต้องจ่ายภาษีให้กับประเทศนั้น เป็นอย่างนี้ทั่วโลก ตัวอย่างอย่าง “ลิซ่า” ซึ่งเป็นคนไทยตอนที่ไปเป็นศิลปินเกาหลี ยังต้องยอมรับรายได้น้อยกว่าดาราเกาหลี ถูกเหยียดโดยคนเกาหลี และจ่ายภาษีมากกว่าดาราเกาหลีด้วย
-อีกเรื่องหนึ่งคือ รายได้ในประเทศไทยความจริงแล้ว “แน็ก ชาลี” กับกามินจะต้องได้รับเงินเป็นงวด ๆ จากลูกค้ากามินเมื่อทำภารกิจตามสัญญาจ้าง แต่ “แน็ก ชาลี” บอกว่าบริษัทขาดสภาพคล่องทางการเงิน แต่ก็ยอมกัดฟันให้เงินก้อนกับกามินประมาณไม่เกิน 30 ล้านบาท หลังจากนั้นกามินพอได้เงินก้อนแล้ว กามินก็ตัดสินใจจะบินกลับเกาหลีทันทีโดยไม่สนใจว่า “แน็ก ชาลี” ซึ่งรับปากลูกค้าในประเทศไทยอีกหลายงาน ต้องเป็นฝ่ายแบกรับปัญหาการผิดสัญญากับลูกค้าทั้งหมดอยู่คนเดียว
นอกจากนั้นยังมีข่าวด้วยว่า “กามิน” จะเซ็นสัญญากับ “บริษัทเอเจนซีเกาหลี” แห่งหนึ่ง ที่จะนำอินฟลูเอนเซอร์เกาหลีมาหารายได้ดูดเงินคนไทยแบบ “กามิน” อีกด้วย
ประเด็นนี้ทำให้ “แน็ก ชาลี” รู้สึกว่าผู้หญิงโนเนมคนนี้ที่ตัวเองกับทีมงาน รักและหวังให้ลืมตาอ้าปากได้ จ่ายเงินจ่ายทองเองทุกอย่าง หางานให้ จน “กามิน” มีฐานะการเงินที่มั่นคงอยู่ไปได้ตลอดชีวิตแต่กลับไปอยู่ในมือธุรกิจเอเจนซี่เกาหลีคนอื่นโดยไม่สนใจ “แน็ก ชาลี” และทีมงานเลย !?!
หลังจาก “แน็ก ชาลี” ออกมาชี้แจงเรื่องราวทั้งหมด ปรากฏว่ากระแสตีกลับกามินอย่างรุนแรง กามินถูกคนไทยพากันไปทัวร์ลงหนักมากในติ๊กต๊อก แฟนคลับไทยเข้าไปถล่มด่ากามินทุกวันว่า โกหกตอแหล, หลอก “แน็ก ชาลี”, เห็นแก่เงิน, เนรคุณคน, อกตัญญู, เห็นแก่ตัว ฯลฯ แม้แต่บริษัทเอเจนซี่เกาหลีพอรู้ว่ากระแสตีกลับ ก็มาแก้ตัวว่ากามินไม่กล้าเซ็นสัญญา เพราะกลัวบริษัทจะได้รับผลกระทบ
แต่ว่าเรื่องมันตรงกันข้ามเพราะแฟนคลับหลักของกามินอยู่ที่เมืองไทย ถ้าคนไทยส่วนใหญ่เกลียด กามินจะมีจุดขายอะไร ดังนั้นความจริงแล้วผมว่าบริษัทที่เกาหลีเป็นฝ่ายไม่เซ็นสัญญามากกว่า เพราะเห็นกระแสไม่ดี เพียงแต่รักษาหน้าของกามินว่า กามินเป็นฝ่ายขอเลื่อนเซ็นสัญญา
“กระแสกามิน” บานปลายในหมู่คนไทย ยิ่งเป็นตัวเสริมให้ “กระแสแบนเกาหลี” ที่คุกรุ่นขึ้นอยู่แล้วหนักหนาขึ้นไปอีก ถึงขนาดที่ว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ยอมรับว่ายอดคนไทยเดินทางไปที่ประเทศเกาหลีใต้ลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา7 เดือน ลดลง คนไทยที่เดินทางไปเกาหลีเมื่อเดือนมิถุนายน ลดลง 20% นักท่องเที่ยวลดลงเหลือ 20,150 คน ลดลงติดต่อกัน 7 เดือน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นักท่องเที่ยวไทยที่เคยติดอันดับต้นๆ ของชาติอาเซียน ที่นิยมเดินทางไปท่องเที่ยวยังเกาหลี ครึ่งปีแรกของปี 2567 ลดลงเกือบ 20% เหลือเพียงแค่ 168,000 คน ท่านผู้ชมครับ การลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวไทย สวนทางกับจำนวนนักท่องเที่ยวชาติอื่นที่เดินทางเข้าไปเที่ยวเกาหลีเพิ่มขึ้น หลังจากการแพร่ระบาดของโควิดจบแล้ว
ก่อนการแพร่ระบาดโควิด นักท่องเที่ยวไทยถือเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเกาหลีใต้มากที่สุดในหมู่อาเซียน เฉพาะปี 2562 คนไทยไปเกาหลี 572,000 คน กระแสความนิยมอย่างล้นหลามของ K-Pop ซีรีส์เกาหลี อิทธิพลของซอฟต์พาวเวอร์ต่างๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากมีปัญหาเรื่องระบบใบอนุญาตเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ
กลับมาที่เรื่อง “แน็ก ชาลี กับ กามิน” กันต่อ ในช่วงแรกที่กลับเกาหลี “กามิน” นั้นทนไม่ได้ต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของแฟนคลับคนไทย ทั้งตอบโต้ด่ากลับ ปิดคอมเมนต์บ้าง นอกจากนี้ยังแสดงท่าทีอวดดีว่า ตัวเองดังมาได้เพราะความสามารถตัวเอง ท้าให้คนดูไม่ต้องมาติดตามบ้าง ด่าคนที่เข้ามาด่าว่าอิจฉาตัวเองบ้าง พูดว่าถ้าอยากมีรายได้แบบกามิน ก็ไล่ให้คนดูไปทำโซเชียลมีเดียไปทำของคอนเทนต์ของตัวเอง
ปรากฏว่าภายในไม่กี่วันกระแสคนติดตามกามินใน TikTok จาก 1.6 ล้านคน ก็ลดลงเหลือไม่ถึง 1.2 ล้านคนเท่านั้น(หรือเฉลี่ยผู้ติดตามลดลงวันละ 1 แสน) ส่วนคนที่ติดตามอยู่ก็เข้ามาเพื่อด่าอีกจำนวนมาก ไม่ได้โอนเงินหรือกดให้สติ๊กเกอร์ให้มากเหมือนแต่ก่อน
นอกจากนี้ยอดติดตามใน Instagram ของกามิน ก็ลดลงนับแสนคน จาก 450,000 เหลือเพียงไม่ถึง 350,000 ภายในระยะเวลาไม่กี่วันเช่นกัน
จนในที่สุดกามินต้องกลับมาแก้สถานการณ์ ด้วยการออกมาไลฟ์สดถ่ายทอดสดการร้องไห้ออกหน้าจอเรียกคะแนนสงสาร ว่า “ฉันทำผิดอะไร ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้” เพื่อหวังจะหารายได้จากคนไทยต่อไป แถมภายหลังจากการที่ “แน็ก ชาลี” ชี้แจงเรื่องราวความจริงต่าง ๆ “กามิน” ก็ตอบโต้ด้วยการลบรูปภาพที่ถ่ายกับ “แน็ก ชาลี” และ “ครอบครัวแน็ก ชาลี” ทั้งหมด
คำพูดเมื่อไม่กี่วันของ “กามิน” ที่ออกมาไลฟ์สด และระบุว่า “ฉันทำผิดอะไร ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้” นั้นหากไม่ใช่คำแก้ตัว หรือ คำร้องขอความเห็นใจจากคนที่ยังหลงเชื่อตัวเอง และออกมาจากความคิดของเธอจริง ๆ ก็สามารถสะท้อนความจริง และข้อเท็จจริงอะไรได้หลาย ๆ อย่าง
ปัญหาส่วนหนึ่งคือ “กามิน” เป็นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ไม่มีความเป็นมืออาชีพ มีความลับที่ปกปิด เป็นคนสร้างภาพ ... ในการคบ “แน็ก ชาลี” ครั้งนี้เพราะหวังเรื่องรายได้ หวังเรื่องเงินเท่านั้น การที่ออกมาแก้ตัวว่า“ฉันทำผิดอะไร ทำไมถึงทำกับฉันอย่างนี้”ก็สะท้อนความคิดของ “กามิน” ว่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปเลยแม้แต่น้อย
ส่วน “แน็ก ชาลี” เองก็ต้องใช้ตรงนี้เป็นบทเรียน ทั้ง ๆ ที่เคยถูก “กามิน” หลอกมาแล้ว 1 รอบ แต่ให้โอกาสเขากลับมาเมืองไทยรอบที่ 2 รู้ว่าเขาหลอกก็เต็มใจให้หลอก เพราะหลงรักเขาข้างเดียว หลงเชื่อว่าให้โอกาส “กามิน” แล้วจะเปลี่ยนใจ “กามิน” ได้ แต่ก็ถูก “กามิน” หลอกอีก หักหลังอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นดาราดังจะหาผู้หญิงที่น่ารักกว่า สวยกว่า และดีกว่ากามินก็ยังได้
แต่ “แน็ก ชาลี” ไม่เปิดเผยข้อมูลที่มีอยู่ในมือทั้งหมด รวมถึงคลิปวีดิโอและกล้องวจรปิดในบ้าน แต่ “แน็ก ชาลี” เป็นคนจริงใจ ไม่โกหก ไม่ทำร้าย “กามิน” โดยไม่จำเป็น ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ยังคงให้กำลังใจและยืนเคียงข้าง “แน็ก ชาลี”
เหตุเกิดเพราะศีล และเบื้องหลังไม่เสมอกัน
“สำหรับผมแล้ว บางคนอาจจะมองเรื่องนี้แค่เรื่องบันเทิง เรื่องดราม่าแบบผิวเผิน แต่ผมมองย่างนี้ครับ เรื่องนี้ให้บทเรียนสำคัญต่อคนไทยหลาย ๆ แง่มุมด้วยกัน คือ
“ข้อแรก อย่าโง่ถูกเกาหลีปั่นสร้างกระแสโอนเงินหรือกดแจกสติ๊กเกอร์ให้ใครง่าย ๆ เพราะเงินที่คนไทยที่หาเช้ากินค่ำโอนเงินไปนั้น คนที่โอนเงินให้ไปเพราะสงสารเขา อาจจะยากจนกว่าคนที่รับเงินแบบเทียบไม่ได้เลย และคนเกาหลีเหล่านี้ก็ไม่ได้รักคนไทยด้วย แต่รักเงินของคนไทย
“ข้อสอง ผมไม่ได้มีปัญหา หรือ มีข้อรังเกียจอะไรกับคนที่มี “รอยสัก” ด้วยวัฒนธรรมไทยเราเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา
“แต่ถ้ารู้จักสังเกตเสียหน่อย ท่านผู้ชมจะเห็นว่า “กามิน” เป็นสาวเกาหลีที่มีรอยสักที่เห็นชัดนอกร่มผ้า ซึ่งเรื่อง “รอยสัก” นี้เอง เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ค่อนข้างทำให้เธอมีอุปสรรคในการแจ้งเกิดในวงการบันเทิง ยกตัวอย่างเช่น ดาราเกาหลีที่จะออกสื่อ มักต้องใช้เทปสีเนื้อแปะตามรอยสัก จริง ๆ เรื่องนี้เป็นประเด็นทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีเพราะ สำหรับชาวเกาหลีแล้ว “รอยสัก” เป็นสิ่งที่นำมาใช้เพื่อลงโทษให้กับผู้ทำความผิด เครื่องหมายตีตราว่าเป็นอาชญากร จึงทำให้คนเกาหลีตั้งแต่ยุคอดีตมีมุมมองแง่ลบกับรอยสักมาโดยตลอด
“โดยวัฒนธรรม “รอยสัก” ในเกาหลีนี้เพิ่งจะมาผ่อนคลายลงเมื่อไม่กี่สิบปีหลังนี้เอง แต่ในวงการบันเทิงของเกาหลีก็ยังถือเป็นเรื่องต้องปกปิดอยู่ เพราะฉะนั้น การที่ “กามิน” ได้แฟนคลับคนไทยที่เห็นเรื่อง “รอยสัก” เป็นเรื่องปกติ ก็ต้องนับได้ว่าเป็นส้มหล่นและเป็นโชคดีอย่างมหาศาลของ “กามิน” แล้ว” นายสนธิ กล่าว
ด้วยเหตุนี้ ถ้าวิเคราะห์ความเป็นมนุษย์ผู้หญิงในเกาหลีที่ไลฟ์สดหารายได้ กินอยู่อย่างประหยัด สะท้อนให้เห็นว่า ความจริงแล้วกามินมีชีวิตแบบปากกัดตีนถีบ เมื่อได้เงินมารวยฉับพลันจึงเหมือนสามล้อถูกหวยที่ปรับตัวไม่ทัน มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่สามารถหยุดความโลภได้ ยังไม่สามารถพัฒนาจริยธรรมในใจตัวเองได้ พร้อมจะใช้ความน่ารักหรือน้ำตาเพื่อหลอกคนอื่น ไม่คำนึงถึงบุญคุณของคนอื่นที่ดึงตัวเองขึ้นมาจากความลำบาก
และด้วยความที่ “กามิน” ไม่เคยเป็นดารามืออาชีพมาก่อน และไม่เคยทำงานในเมืองไทย มีแต่คิดจะกอบโกยอย่างเดียว จึงมองโลกในแง่ร้ายเรื่องความปกติของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย ว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ และมีแต่อยากได้มากขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ จึงเกิดดราม่าผิด ๆ ถูก ๆ ในการโต้กับ “แน็ก ชาลี”
“ข้อสาม มีคนหลายคนมองเห็นเหมือนที่ผมมอง ทักท้วงว่าถ้า “กามิน” สาวเกาหลีคนนี้ ไม่ได้มองประเทศไทย คนไทย เพียงเป็นแค่เครื่องมือหาเงิน หากเธอมองเห็นคุณค่าของคนไทย ของแฟนคลับคนไทย รักแน็ก ชาลี อย่างที่ปากเธอบอก อย่างที่เธอพยายามจะพรีเซนต์เพื่อขายของ เธอก็คงจะถือโอกาสใช้เวลาที่อยู่ในประเทศไทย เดินทางไปเที่ยวเมืองไทย กินอาหารไทย ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยมากกว่าแค่ไปออกอีเวนต์ หรือ ทำงานหาเงิน เพราะคนเกาหลีเองที่รู้จักคนไทยจริง ๆ ได้ดู ได้ฟังสิ่งที่ “กามิน” ทำและที่เธอแสดงออกมาแล้วก็รู้ว่าไม่จริงใจ” นายสนธิ กล่าว
ส่วนชาวต่างชาติอย่าง “ครูเดวิด วิลเลียม” ชาวอเมริกันที่สอนภาษาอังกฤษในเมืองไทยและพูดภาษาไทยชัดมากก็ออกมาเตือนสติว่า“กามินไม่มีทางมีวันนี้ ถ้าไม่มีคนไทย”
ครูเดวิดพูดว่า “แต่ขอโทษนะ คนไทยสร้างเธอมานะ ไม่ต่างจากพี่เลย ทำไมคนถามพี่ตลอด ทำไมพูดประเด็นคนไทยตลอด เธอเขาสร้างพี่ขึ้นมา พี่อยากจะลงไปกราบขอบคุณเขา
“เข้าใจคำนี้ป่าว ถ้าเธอไม่มีคนไทย ไม่มีวันนี้ ถ้าเธอไม่มีคนไทย ไม่มีใครรู้จักคุณหรือสนใจคุณเลย รวมถึงพี่ด้วย อย่างน้อย ที่สุดมันต้องมีความถ่อมตน มันต้องมีความขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คนไทยทำให้เรา
“ถ้าใครรักประเทศใด ต้องลงทุนกับเวลา 2 เรื่อง คือ เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมเขา หรือไปเที่ยวทั่วประเทศ อยากดูทุกมุมของประเทศไทย ไม่ใช่มาประเทศไทยทำงานหาเงิน หาเงิน แล้วแยกย้ายกลับบ้าน มันไม่ใช่”
ข้อสี่ คนแบบ “แน็ก ชาลี” เป็นศิลปินนักแสดงตั้งแต่เด็ก เล่นเป็นดาราภาพยนตร์มา 20 กว่าปี ภาพยนตร์เรื่องแรกเล่นเป็นพระเอกเด็ก ชื่อ “เจี๊ยบ” ในภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” เมื่อปี 2546 ก็ประสบความสำเร็จทันที เมื่อมีหน้าตาดีจึงมีงานและมีเงินทองมากอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากเป็นคนที่มีเงินมาตั้งแต่เด็ก จึงมองเรื่องเงินเป็นเรื่องรอง แต่มองเรื่องที่อยากจะทำมากกว่า
“แน็ก ชาลี” เป็นคนชอบสัตว์เลี้ยงที่หลากหลายมาก เคยไม่รับงานเพื่อให้เวลาเลี้ยงสัตว์อย่างเดียว จนกว่าเงินจะหมด แล้วค่อยหางานใหม่ และมักจะเล่นกับหลานรักชื่อ อาเธอร์ ที่ไลฟ์บ่อย ๆ จนมีผู้ติดตามมาก จนกล่าวได้ว่า “แน็ก ชาลี” ทำตัวแหวกแนวและแปลกประหลาด กล้าที่จะแต่งตัวแบบบ้า ๆ บอๆ สวนทางหน้าตาหล่อเหลาของตัวเอง เขาเรียกว่าเป็นศิลปินแบบ “ติสต์แตก”
ความที่สนใจเรื่องเงินเป็นเรื่องรอง ทำให้คนอย่าง “แน็ก ชาลี” จึงอยากจะเป็นผู้ให้ ช่วยและให้โอกาสคนที่ลำบากกว่าอย่างกามิน จึงเข้าไปช่วย แต่การจีบกันในโซเชียลมีเดียไม่สามารถรู้นิสัยตัวตนที่แท้จริงได้
นอกจากนี้ “แน็ก ชาลี” ไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย ครอบครัวก็ไม่เคยเอาเหล้าเบียร์เข้าบ้าน อีกทั้งจริงๆแลว “แน็ก ชาลี”ก็ไม่ชอบผู้หญิงดื่มเหล้าด้วย ดังนั้นพื้นฐานในเรื่องนี้ก็ไม่น่าจะไปด้วยกันได้ เพราะศีลไม่เสมอกัน ความเป็นมืออาชีพไม่เสมอกัน คนหนึ่งมีจิตใจที่พัฒนามาจากความสำเร็จที่อยากจะให้คนอื่น กับอีกคนหนึ่งมีจิตใจจากปากกัดตีนถีบที่ยังไม่ประสบความสำเร็จมีแต่คิดอยากจะได้จากคนอื่น ระดับจิตใจจึงไม่เสมอกัน
“อย่างไรก็ตาม หากในอนาคต “แน็ก ชาลี” จะ “ติสต์แตก” หน้ามืดตามัว กลับไปคืนดี และคบหากับ “จี กามิน” อีกครั้ง ด้วยความขี้สงสาร หรือ ขี้ใจอ่อนของคุณ ผมก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ผมคงต้องหันมาด่าคุณแน็ก ชาลี เพิ่มเติมด้วยอีกคน
“ข้อสุดท้ายท่านผู้ชมหลายท่านคอมเมนต์คอนเฟิร์มกับสิ่งที่ผมบอกไปแล้ว เมื่อครั้งผมออกไลฟ์รายการ “สนธิเล่าเรื่อง” ว่าสังคมเกาหลีส่วนใหญ่มีการแข่งขันกันสูงมาก มีความแก่งแย่งชิงดีกันสูง จึงมีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้สูง คำนึงเรื่องปัจเจกบุคคลสูง เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วจึงหาความจริงใจหรือ การจะหวังว่ามีจิตสำนึกบุญคุณจากคนเกาหลีได้ยาก” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า “คนเกาหลี” เป็นเชื้อชาติที่เหยียดเชื้อชาติอื่น ดูถูกชาติอื่น เหยียดคนไทย เราจะไปสนับสนุนดาราประเทศเกาหลีที่เหยียดคนไทยไปเพื่ออะไร ?
ยกเว้นคนเกาหลีที่ตัดสินใจมาอยู่ในเมืองไทยจริงๆ เช่น “โค้ชเช” หรือ สัมผัสกับวัฒนธรรมไทยอย่างใกล้ชิด อย่าง “พี่เรือง” หนุ่มเกาหลีที่แต่งงานกับสาวไทย คนเหล่านี้จะต่างกับคนเกาหลีเพียว ๆ และมีจิตใจที่เสียสละ และคิดจะให้ผู้อื่นแล้ว
“ท่านผู้ชมครับ คนไทยเป็นคนเปิดกว้างไม่เหยียดชนชาติ หรือศาสนาไหน แต่อย่าให้พวกคนเกาหลีมันดูถูกเราแบบนี้ ว่าคนไทยโง่ และหลอกง่าย ดังนั้นจึงควรลดการสนับสนุนดาราเกาหลี เลิกเที่ยวเกาหลี สถานที่เที่ยวไม่มีอะไร อาหารก็ไม่ได้เรื่อง รู้จักรักคนไทยรักประเทศไทยให้มากขึ้น หรือไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ ดีกว่า” นายสนธิ กล่าว