“อุ๊งอิ๊ง” เตรียมรับมือช่วงเวลาที่ขมขื่นสำหรับตัวเองและครอบครัวชินวัตร เพราะความอำมหิตของ “พ่อแม้ว” ที่จิ้มเลือกขึ้นเป็นนายกฯ ทั้งที่ยังไม่พร้อม ด้วยความที่ไม่ไว้ใจใคร หลัง “เศรษฐา” หลุดเก้าอี้แบบไม่คาดฝัน สิ่งที่ต้องเจอแน่ๆ คือคดีความปมจริยธรรม กรณีถือหุ้นสนามกอล์ฟอัลไพน์ และคดีพ่อตัวเองแต่งชุดขาวทั้งที่ไม่มีสิทธิ ยังไม่นับที่ต้องรับมือกับปัญหาสารพัดของประเทศ ส่วนที่มีดีลกับพรรคประชาชนแก้ ม.112 และ พ.ร.บ.กลาโหม จะต้องเจอกับการต่อต้านจนเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่นอน
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงการขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” ซึ่งเป็นนนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ว่า หลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นสำหรับตัว น.ส.แพทองธารเองและครอบครัว จากสารพัดปัญหาที่ต้องเผชิญทั้งเรื่องคดีความต่างๆ และอุปสรรคปัญหาในการบริหารประเทศรออยู่จำนวนมาก
“นายกรัฐมนตรีคนล่าสุด คนที่ 31 ของประเทศไทย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผมทำนายได้เลยว่าหลังจากนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นสำหรับคุณและครอบครัว ซึ่งทั้งพ่อและแม่ของคุณเองก็รู้อยู่เต็มอก เป็นเพียงแต่ว่าพ่อของคุณอาจจะมีความอำมหิตกว่าที่จะเดินหน้าทางการเมือง ด้วยการผลักลูกออกมาเป็นหุ่นเชิด” นายสนธิ กล่าว
ทั้งนี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง ไม่ได้อยากให้ “อุ๊งอิ๊ง” ลูกสาวคนสุดท้องขึ้นเป็นนายกฯ ในตอนนี้ ใจจริงอยากให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นต่อสัก 2 ปี เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าลูกตัวเองไม่พร้อม แต่ ส.ว.40 คน โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่เบื้องหลัง หาเรืองไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยถอดถอนนายเศรษฐาเสียก่อน ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ นายทักษิณ เกลียด พล.อ.ประวิตรมาก
มีพรายกระซิบมาว่า คืนก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแคนดิเดตนายก จากนายชัยเกษม นิติสิริ มาเป็น “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” นั้น นายทักษิณ กับ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ทะเลาะกันหนักมาก เพราะคุณหญิงพจมาน ในฐานะแม่ เคยขอไว้แล้วว่าให้เว้น “อุ๊งอิ๊ง” ไว้คนหนึ่ง ไม่อยากให้เป็นนายกฯ พอตกลงกันไม่ได้ สุดท้ายนายทักษิณเลยให้ลูกสาวไปบอกแม่ว่าตัวเองอยากเป็นเอง ตอนเช้าข่าวก็เลยออกมาอย่างที่เห็น ตอนนี้ครอบครัวชินวัตร ก็เลยแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพ่อ กับ ฝ่ายแม่
“ผมล่ะเห็นใจคุณหญิงพจมาน และจริงๆ ถ้ามีทางอื่น ทักษิณก็คงไม่ดันลูกตัวเองออกมา แต่เสียที่ทักษิณเป็นคนไม่ไว้ใจใคร ต้องใช้คนใกล้ชิดเท่านั้น ทางเลือกก็เลยเหลือแต่ลูกสาวคนสุดท้องสุดที่รัก ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหนทางข้างหน้า มีคดีความและอุปสรรครออยู่ไม่น้อย ทั้งปัญหาดิจิตอลวอลเล็ต พื้นที่อ่าวไทย ก๊าซฯ การถือหุ้นในบริษัทที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ซึ่งเป็นที่ดินธรณีสงฆ์” นายสนธิ กล่าว
ล่าสุดก็คือที่ นายสนธิญา สวัสดี ไปร้องขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบกรณีการแต่งชุดขาวราชการ ของนายทักษิณ ชินวัตร ไปร่วมในพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม ที่ผ่านมา ว่าการแต่งชุดขาวนั้น ใช้สิทธิของหน่วยงานราชการใด ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งงานนี้ไม่ใช่แค่นายทักษิณที่ผิด แต่ “อุ๊งอิ๊ง” ฐานะนายกฯ หากละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ก็จะโดน ม.157 ไปด้วย
นี่ยังไม่นับโจทย์ที่ยากที่สุดในปัจจุบันนี้ ก็คือปัญหาเศรษฐกิจ และ วิกฤตภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก ที่ใหญ่โตมโหฬารมาก ๆ
“ท่านผู้ชมครับที่ผ่านมา อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในตอนที่แล้วว่า “ทักษิณ” มักจะใช้ยุทธวิธีส่งคนไปตายแทน ก็คือไปติดคุกติดตารางแทน โดยใช้เงินทองแลกเปลี่ยน แต่ตอนนี้ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร เหมือนกับเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ทำให้รอบนี้ คนที่เสี่ยงตายที่สุดกลับกลายเป็นลูกสาวตัวเอง
“ท่านผู้ชมลองสังเกตดูได้ว่า หลังจากนี้จะได้เห็นภาพของการวิ่งโร่ไปตามสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ประคับประคองลูกสาว นายกฯ รัฐมนตรีฟันน้ำนม ทำให้ตอนนี้สื่อบางเจ้าเริ่มแสดงท่าทีถลกกระโปรงอ้าขารอคุณทักษิณไปหาอยู่แล้ว” นายสนธิ กล่าว
สมการการเมืองของ “พ่อ-ลูก ชินวัตร”
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรีร่างทรงของนายทักษิณ ผู้เป็นพ่อ มีเรื่องพัวพันอยู่หลายกรณี ที่กำลังจะกลายเป็นคดีขึ้นมา
เรื่องแรก คือ คดีคุณสมบัติของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากกรณีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ตั้งแต่ปี 2545 เพราะมีผู้ชี้ให้เห็นว่า น.ส.แพทองธาร อาจเข้าข่ายกระทำผิดมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงในกรณีถือหุ้นในสนามกอล์ฟอันไพน์ 30% เนื่องจากสนามกอล์ฟอัลไพน์มีปัญหาการครอบครองที่ดินซึ่งยายเนียมได้บริจาคให้วัดและกลายเป็นที่ดินธรณีสงฆ์เรียบร้อยแล้ว
เรื่องที่สอง กรณีปมปัญหาเรื่องข้อสอบเอนทรานซ์รั่วตั้งแต่ปี 2547 จนทำให้ น.ส.แพทองธาร สอบติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และจบการศึกษาในปี 2551 ซึ่งฝ่ายไหนจะขุดขึ้นมา กรณีนี้ยังไงก็ไม่ถึงตัว น.ส.แพทองธาร คงไม่สามารถเอาผิด น.สงแพทองธารได้
ดังนั้นความเสี่ยงในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธารนั้นจะอยู่ที่เรื่องแรกเรื่องเดียวคือคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง จากกรณีถือครองหุ้นที่ดินอัลไพน์ แต่เชื่อว่ากรณีนี้ต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร
ส่วนคดีของทักษิณ ชินวัตรผู้พ่อนั้นมีอยู่ 3 เรื่องคือ
คดีที่ 1 กรณี การแต่งชุดขาวราชการ ของนายทักษิณ ชินวัตร ไปร่วมพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2567 ว่าการแต่งชุดขาวของนายทักษิณนั้น ใช้สิทธิของหน่วยงานราชการใด
ซึ่ง นายสนธิญา สวัสดี อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา ได้เข้ายื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาลแล้ว และระบุชัดว่าเป็นการทำผิดกฎระเบียบเพราะนายทักษิณถูกถอดยศตำรวจไปแล้ว อีกทั้งยังมีคำพิพากษาศาลถึงที่สุดไปแล้ว
โดยการแต่งกายของนายทักษิณนั้น พบว่ามีการติดแพรแถบที่ระลึก 3 แถวเปล่า ไม่มีเครื่องราชฯ เนื่องจากถูกยึดคืนทั้งหมดเมื่อ พ.ศ.2562 ส่วนเข็มอีกฝั่งใต้เข็ม วปร. เป็นเข็มแม่นปืนของตำรวจ ซึ่งตำรวจที่ลาออกมาเป็นข้าราชการพลเรือนมีสิทธิ์ประดับเข็มความสามารถที่ตัวเองเคยได้รับ
ส่วนอักษร นก. มาจากคำว่า นอกราชการ แบบเดียวกับที่นักศึกษาวิชาทหาร (รด.) ปี 4-5 ติด ซึ่งคนที่ลาออกจากราชการตามระเบียบ จะสามารถแต่งชุดปกติขาวได้โดยประดับเข็มนี้กำกับ
แต่กฎสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบข้าราชการการเมือง พ.ศ.2552 ข้อ 13 (3) ระบุว่า ผู้ที่ถูกจำคุกโดยมีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายให้จำคุก จะไม่มีสิทธิ์แต่งเครื่องแบบข้าราชการทางการเมือง และนายทักษิณเป็นอดีตนักโทษ ซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ส่วนคดีที่ 2 คือ คดีความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ
คดีที่ 3 คือ การกลับเข้ามาในเมืองไทยเพื่อรับโทษจำคุก 1 ปี หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้จำคุกเลยแม้แต่วันเดียว ซึ่งเรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) องค์กรอิสระได้ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติเรื่องนี้ไปแล้วเมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา หลังได้รับการร้องเรียนว่านายทักษิณ ชินวัตร ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น
ผลสอบสวนของ กสม. ระบุชัดเจนว่า“กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากมีผลทำให้ผู้ต้องขังรายใดรายหนึ่งอาจได้รับสิทธิที่ดีกว่าผู้ต้องขังอื่น ๆ ที่มีอาการป่วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอดีตผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญที่อาจได้รับการดูแลแตกต่าง หรือเป็นพิเศษมากกว่าผู้ต้องขังทั่วไป
“จึงเห็นว่า การที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลตำรวจ กำหนดให้นายทักษิณพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่อง โดยเรือนจำ ไม่ได้โต้แย้ง จนกระทั่งนายทักษิณออกจากโรงพยาบาล เป็นการดำเนินการ โดยอาศัยช่องว่างของกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563”
นอกจากนี้ ในบทสรุปผลสอบสวนของ กสม. ยังระบุด้วยว่า “... มิอาจเชื่อได้ว่า นายทักษิณมีอาการป่วยจนถึงขนาดที่ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนานถึง 181 วัน โดยไม่สามารถออกไปรับการรักษาต่อที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือกลับไปคุมขังต่อที่เรือนจำฯ ได้
“ในชั้นนี้จึงเห็นว่า การกระทำของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และโรงพยาบาลตำรวจ เป็นการเลือกปฏิบัติแก่ผู้ต้องขังด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม อันถือเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน”
ทั้งนี้ในจำนวน 3 กรณีของนายทักษิณคดีแรกคือ การสวมชุดขาวเข้าร่วมนี้ จะไปเร็วที่สุด และมีความผูกพันกับลูกสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีโดยตรง เพราะเกี่ยวข้องกับกรณีการกระทำผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 157คือ ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนคดีของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอาของ น.ส.แพทองธาร และน้องสาวของทักษิณ ซึ่งหลบหนีคดีความอยู่ในต่างประเทศนั้น ประเมินกันว่า คดีของยิ่งลักษณ์นั้นมีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่ามาก อีกทั้งเจ้าตัวคงยังไม่รีบร้อนมาก เพราะลูกชายยังศึกษาต่ออยู่ในประเทศอังกฤษ จึงน่าจะยังสามารถรอเวลาได้
ระหว่างนี้สถานการณ์ในสภาผู้แทนราษฎรที่ถูกยึดครองโดยฝั่งนายทักษิณ และพรรคประชาชน มีการเตรียมการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงนิรโทษกรรม และมีการเตรียมแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม
เพราะสองเรื่องนี้มีความสำคัญต่อความเสี่ยงของทหาร กับประชาชนที่อาจจะออกมาต่อต้านได้ จึงต้องรีบมีการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เพื่อที่ลดความเสี่ยงในการรัฐประหาร
ส่วนคดีที่ทักษิณเข้ามาโดยไม่จำคุกเลยแม้แต่วันเดียวนั้น เดิมทีคดีต้องเข้าไปสู่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเดิมทีถูกครอบงำโดยคนของฝั่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่นับตั้งแต่ส.ว.ชุด คสช.สลายไปแล้ว อำนาจก็ตกมาอยู่กับ “ส.ว.สีน้ำเงิน”ที่อยู่ในเงื้อมมือของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหมายถึงนายเนวิน ชิดชอบ-นายอนุทิน ชาญวีรกูล ด้วยเหตุนี้จึงเพิ่มให้พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมมีอำนาจต่อรองสูงที่สุดในสถานการณ์ ณ เวลานี้
ทั้งนี้ ในกรณี 112 และ แก้ไข พ.ร.บ.กลาโหมนั้น “อุ๊งอิ๊ง-ทักษิณ” กับ “พรรคประชาชน” นั้นมีผลประโยชน์ร่วมกัน และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยมีดีลลับที่ฮ่องกงกับนายทักษิณ แต่หากมีการแก้ไข ม.112 กับ พ.ร.บ.กลาโหม จริงๆ ก็จะมีการต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษนิยมจำนวนมาก จนเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ รวมทั้งทหารก็จะต่อต้านเช่นกัน
เพราะฉะนั้น หากพิจารณาจากสภาพทางการเมือง ณ เวลานี้แล้ว “ฝั่งอุ๊งอิ๊ง และทักษิณ” น่าจะเหนื่อยหนักจากอุปสรรคที่ต้องเผชิญข้างหน้าที่อยู่ ณ เวลานี้