xs
xsm
sm
md
lg

“กระสัง” วัชพืชที่ดูไร้ค่า แต่กลับมีคุณทางยาและอาหารสูง มีสารต้านแบคทีเรีย รวมทั้งมะเร็ง...มีวิตามินซีใกล้เคียงมะนาว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรม บุนนาค



กระสัง เป็นไม้ล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ เปราะบาง หักง่าย สูงประมาณ ๑๕-๒๐ ซม. ใบเป็นรูปหัวใจ พบขึ้นในเขตร้อนทั่วโลก ประเทศไทยพบได้ในทุกภาค กระจัดกระจายไปทั่วตามสวนและร่องผัก เหมือนเป็นวัชพืชอย่างหนึ่ง ต้องถอนทิ้งเป็นประจำ แต่กลับเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารและยาสูง มีวิตามินซีใกล้เคียงมะนาว มีเบต้าแคโรทีนที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก แพทย์แผนโบราณในหลายประเทศรวมทั้งไทยเรา ใช้เป็นยาสมุนไพรมายาวนาน รักษาได้หลายโรค เช่น เลือดออกตามไรฟันเพราะขาดวิตามินซี โรคข้ออักเสบ และลดกรดยูริกในกระแสเลือดที่ทำให้เป็นโรคเกาต์ หรือรักษาต้อในตา ลดไข่ขาวในปัสสาวะ แก้อาการอ่อนเพลีย ปวดหัว ระบบประสาทแปรปรวน หัวใจเต้นผิดปกติ รวมทั้งสาวๆยังใช้น้ำต้มกระสังมาล้างหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใสไม่มีสิว ใช้สระผมโดยนำกระสังมาขยำน้ำแล้วชโลมศีรษะ เกิดความเย็น ทำให้ผมนุ่มไม่หลุดร่วง

ศูนย์สารสนเทศสมุนไพรอภัยภูเบศให้ข้อมูลว่า ชาวฟิลิปปินส์ใช้กระสังรักษาโรคเกาต์ด้วยวิธี เอาใบกระสังสดๆ ๑ กำมือ เติมน้ำให้ท่วม แล้วต้มให้เหลือประมาณ ๑ แก้ว แบ่งกินครั้งละครึ่งแก้ว เช้า-เย็น จะช่วยลดกรดยูริกในเลือดได้

ปัจจุบันมีการค้นคว้าและวิจัยกระสังกันมาก สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า กระสังมีวิตามินซีใกล้เคียงกับมะนาว โดยมะนาว ๑๐๐ กรัมมีวิตามินซี ๒๐ ไมโครกรัม ส่วนกระสัง ๑๐๐ กรัม มีวิตามินซี ๑๘ ไมโครกรัม มีเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระถึงราว ๒๘๙ ไมโครกรัม จัดว่าเป็นอาหารต้านมะเร็งได้อย่างหนึ่ง อีกทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ต้านการอักเสบ และแก้ปวด ส่วนสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ยังได้วิจัยพบว่า กระสังอุดมด้วยแคลเซียม มีฤทธิ์เสริมสร้างและซ่อมแซมกระดูกส่วนที่สึกหลอได้
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี น้อมรับพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พบว่า ใบกระสังที่ทำให้แหลกแล้วใช้แก้ปวดศีรษะและแก้ไข้ น้ำคั้นจากใบแก้ปวดท้อง ยาชงใช้แก้ชัก ใช้พอกฝีและแผล สารสกัดด้วยน้ำจากใบมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อ

นอกจากใช้เป็นยาแล้ว คนไทยเรายังกินกระสังเป็นผักมาแต่โบราณ โดยทานทั้งสดๆ ลวก หรือดอง กินกับน้ำพริก เอาไปยำ ทำแกงจืด แกงเลียง สลัด หรือจะเอาไปผัดกับเต้าเจี้ยวแบบผักบุ้งไฟแดงก็ได้

คู่มือการปรุงอาหารจากผักพื้นบ้านไทย ของ ยิ่งยง ไพสุขศานติวัฒนา ให้สูตรเมนูยำผักกระสังไว้ ๒ เมนูว่า

นำผักกระสังมาหั่นเป็นชิ้นพอประมาณสัก ๒-๓ ทัพพี กุ้งแห้ง ๑-๒ ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว ๑-๒ ช้อนโต๊ะ มะม่วงดิบซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ แครอทซอยฝอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ ขิงซอย ๑-๒ ช้อนโต๊ะ น้ำเปล่า ๑-๒ ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูแห้งทอด ถั่วลิสงคั่ว หมูหยอง หัวหอมซอยพอประมาณ โหระพาและสะระแหน่พอแต่งกลิ่น จากนั้นก็รวมเครื่องปรุงทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วปรุงรสตามใจชอบ

ส่วนอีกเมนูหนึ่ง ใช้ผักกระสัง ๖ ช้อนโต๊ะ หมูสามชั้น ๒ ช้อนโต๊ะ หนังหมู ๒ ช้อนโต๊ะ กุ้งต้ม ๒ ช้อนโต๊ะ หอมซอย ๑ ช้อนโต๊ะ กระเทียม ๑ ช้อนโต๊ะ ถั่วลิสง ๑ ช้อนโต๊ะ พริกชี้ฟ้าแดง ๒ เม็ด น้ำปลา น้ำตาล มะนาว ขั้นตอนการทำเริ่มด้วยนำหมูสามชั้นและหนังหมูไปต้มให้พอสุก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆยาวประมาณ ๑ นิ้ว ซอยหอมกระเทียมนำไปเจียวให้พอเหลือง จากนั้นนำถั่วลิสงมาหั่นเป็นฝอย พริกแดงผ่าเอาเมล็ดออก ตัดเป็น ๒ ท่อนแล้วหั่นตามยาวเป็นฝอยๆ แล้วคลุกเครื่องปรุงทุกอย่างให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล มะนาว จากนั้นนำผักกระสังที่ตัดรากทิ้ง เด็ดเป็นท่อนๆ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วให้สะเด็ดน้ำ คลุกเคล้าเข้ากับเครื่องข้างต้นให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยหอมกระเทียมเจียวและพริกแดง เป็นอันเสร็จ

กระสังเป็นพืชในตระกูลเดียวกับพริกไทยจึงมีรสเผ็ดซ่า แต่มีกลิ่นเหมือนมัสตาร์ด คนที่แพ้กลิ่นเครื่องเทศประเภทมัสตาร์ดจึงไม่ควรรับประทานกระสัง รสเผ็ดซ่าของกระสังนั้นก็แก้ได้ง่ายๆ เพียงเอากระสังไปแช่น้ำ รากกระสังจะดูดน้ำไปไว้ในลำต้นและใบ จะทำให้คลายรสเผ็ดไปได้มาก เด็กในสมัยก่อนไม่ได้มีของเล่นมากเหมือนเด็กในสมัยนี้ จึงนำต้นกระสังไปแช่ในน้ำที่ผสมหมึกสีแดงหรือสีน้ำเงิน กระสังจะดูดน้ำเข้าไปจนลำต้นและใบรูปหัวใจ ทำให้เปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนไปตามสีหมึก
การปลูกกระสังเป็นเรื่องง่ายมาก โดยเฉพาะในหน้าฝนอย่างนี้ ถ้าเห็นที่ไหนก็ขุดหรือถอนเอาไปฝังไว้ในกระถางหรือกาละมังที่เจาะรูให้ระบายน้ำได้ เพียง ๒ สัปดาห์ก็จะมีกระสังกินแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า กระสังวัชพืชที่ถอนทิ้งกันนั้น ตอนนี้มีเมล็ดพันธุ์และต้นใส่กระถางขายในออนไลน์แล้ว ราคาไม่แพงด้วย

อาหารพื้นบ้านที่บรรพบุรุษเรากินกันมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทั้งอาหารและยา และมีราคาถูก แต่มีคุณค่าสูงต่อร่างกาย ส่วนอาหารแปรรูปใช้สารเคมีปรุงแต่งให้รสชาติและหน้าตาดูหน้ากิน แล้วถล่มโฆษณาจนเกินต้นทุนที่ใช้ผลิต บวกค่าโฆษณาขายในราคาสูงเกินคุณค่า กลับได้รับความนิยมในสมัยนี้ หารู้ไม่ว่ารับสารอาหารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายไปเต็มๆ เคยเห็นคนอายุ ๖๐ คนหนึ่ง ต้องฟอกไตถึงสัปดาห์ละ ๓ ครั้งเพื่อยื้อชีวิต สาเหตุมาจากติดลูกอมมาตั้งแต่สาวๆ แม้สิทธิบัตรทองตอนนี้จะฟอกไตได้ฟรี แต่ก็ไม่เหลือเวลาให้ทำมาหากินแล้ว ทั้งยังต้องแบกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง มารู้สึกตัวก็เมื่อสายแล้ว ถ้าลดความอยากลง และพิจารณาอาหารที่กินเข้าไปแต่ละมื้อเสียบ้าง ก็จะไม่ต้องมีชีวิตที่ทนทุกข์ทรมานด้วยโรคภัย
กำลังโหลดความคิดเห็น