อดีตก้าวไกลในร่างพรรคใหม่ฝันไกลถึงการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวในการเลือกตั้งปี 2570 แต่ถ้ายังคงหมกมุ่นที่จะแก้ ม.112 โดยมีเจตนาแยกสถาบันกษัตริย์ออกจากความเป็นชาติไทย ก็คงไม่แคล้วถูกยุบพรรคอีกรอบ ส่วนชาติตะวันตก ก็ขอให้มีมารยาท อย่าเข้ามาจุ้นจ้าน เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายของตนแตกต่างกันไปตามแต่ละบริบท
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นการกระทำล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) มีมติเอกฉันท์สั่งยุบพรรคก้าวไกล
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำสั่งให้ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลที่ดำรงตำแหน่งช่วงวันที่ 25 มีนาคม 2564 - 31 มกราคม 2567 ภายในกำหนดเป็นเวลา 10 ปี พร้อมสั่งห้ามให้กรรมการบริหารพรรคก้าวไกลดังกล่าว ไม่สามารถไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรค มีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ เป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
คำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้แนวคำวินิจฉัยที่ 3/2567เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567คดีสั่งให้พรรคก้าวไกลยุติการกระทำ ปมแก้ไขกฎหมายอาญา 112 เป็นฐานในการพิจารณา โดยเนื้อหาในคำพิพากษาระบุว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น
- ร่างแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เสนอย้ายมาตรา 112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ
-มีเจตนาแยกสถาบันพระมหากษัตริย์ กับความเป็นชาติไทยออกจากกัน ถือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ
-ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์ มุ่งหมายให้ความผิดตามมาตรา 112 กลายเป็นผิดในเรื่องส่วนพระองค์ของสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น เป็นการลดสถานะการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ กลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน
- ใช้นโยบายทางการเมืองโดยนำสถาบันฯ ลงมาเพื่อหวังผลคะแนนเสียง และประโยชน์ในการชนะเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ในคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้แถมให้ บรรดานักวิชาการ นักวิชาเกิน รวมถึงทูตประเทศชาติตะวันตกหลายประเทศที่ ส.ใส่ เกือก กับเรื่องการเมืองในประเทศไทยด้วย
โดยศาลรัฐธรรมนูญท่านระบุไว้ดังนี้ว่า
“เมื่อพรรคการเมืองเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนที่มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตย การยุบพรรคการเมืองต้องเคร่งครัด ระมัดระวัง ให้ได้สัดส่วนกับพฤติการณ์ความรุนแรงของพรรคการเมือง พรรคก้าวไกลมีการกระทำอันฝ่าฝืนต่อพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง
“กฎหมายดังกล่าวใช้กับพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ว่าพรรคการเมือง นั้นจะได้รับการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกพรรคการเมืองต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเสมอ ภาคเท่าเทียมกัน
“หากมีพฤติการณ์ร้ายแรงกฎหมายจำเป็นที่จะต้องหยุดยั้งการทำลายหลักการพื้นฐานการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้องตามที่กฎหมาย บัญญัติอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“แม้นักวิชาการ นักการเมือง หรือนักการทูตของต่างประเทศไม่ว่าในระดับใด ต่างก็มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายภายในประเทศ รวมทั้งข้อกำหนดของตนแตกต่างกันไปตามบริบทของแต่ละประเทศ การแสดงความเห็นใด ๆ ย่อมต้องมีมารยาทสากลทางการทูตและการต่างประเทศที่พึงปฏิบัติต่อกัน”
“ได้โปรดเถอะครับ เจ้าหน้าที่สถานทูตต่างๆ ของอียู และสถานทูตอเมริกา กรุณาเถอะ แปลเป็นภาษาอังกฤษให้พวกเสือกทั้งหลายได้อ่านบ้าง สถานทูตอียู สถานทูตเยอรมัน สถานทูตโน่นนี่ ที่มาเสนอหน้าทะลึ่ง เจ้าหน้าที่สถานทูตที่แปลอังกฤษเป็นไทย หรือแปลไทยเป็นอังกฤษ หรือแปลไทยเป็นเยอรมัน แปลไทยเป็นฝรั่งเศส กรุณาช่วยทำความจริงให้ปรากฏหน่อย” นายสนธิ กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ผ่านสถานทูตสหรัฐฯ ในไทย ระบุมีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิทางการเมืองของแกนนำพรรค 11 คน ชี้ลิดรอนสิทธิ์ 14 ล้านเสียง บั่นทอนกระบวนการประชาธิปไตย
“ผมไม่อยากจะอ่านแถลงการณ์หรอก ผมอยากจะฝากกลับไปบอกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านสถานทูตอเมริกันในประเทศไทย พวกคุณเป็นห่วง 14 ล้านเสียง ของพรรคก้าวไกล แต่พวกคุณไม่เคยห่วงชีวิตคนในกาซา 4 หมื่นคน ที่คุณหนุนหลังให้อิสราเอล และส่งอาวุธให้เขาทำลายล้าง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และมีแผนที่จะให้ตายอีกประมาณ 1-2 แสนคน พวกคุณไม่เคยเป็นห่วงประชาชนชาวอัฟกานิสถาน ตอนคุณไปยึดประเทศเขา คุณไม่เคยเป็นห่วงประชาชนชาวยูเครนที่่รบแล้วก็ตายเป็นเบือ จากการที่พวกคุณต้องการจะใช้ชาวยูเครนตายแทนพวกคุณ
“นายแอนโทนี บลิงเคน ครับ เอกอัครราชทูตโกเดค ครับ พวกคุณนี่โคตรทุเรศเลย หน้าไหว้หลังหลอก อะไรที่เป็นคุณประโยชน์กับคุณ เพื่อแสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยของคุณ สิทธิมนุษยชนจอมปลอม คุณกระเหี้ยนกระหือที่จะออกมาฟาดฟันเขา ทั้งๆ ที่นี่เป็นเรื่องภายในประเทศ และเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ศาลรัฐธรรมนูญคุณก็รู้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Constitutional Court เป็นศาลสูงสุดในประเทศไทย (ขอประทานโทษครับท่านผู้ชม) มึงมาเสือกอะไรกัน ช่วยแปลไปหน่อยได้ไหมเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกา แปลไปบอกโกเดค แล้วส่งไปบอกบลิงเคนหน่อย” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้แล้ว นายฟาร์ฮาน ฮัค รองโฆษกสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติ ให้สัมภาษณผู้สื่อข่าวว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการตัดสินใจดังกล่าว พร้อมระบุ มันคือการก้าวถอยหลังของความเป็นพหุนิยมและประชาธิปไตยในไทย เช่นเดียวกับพื้นฐานในเสรีภาพ การสมาคม และการแสดงออก
“คุณฟาร์ฮาน ฮัค รองโฆษกสำนักงานเลขาธิการสหประชาชาติ ศาลอาญาระหว่างประเทศประกาศจับเนทันยาฮู และประณามการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเนทันยาฮู อิสราเอล แล้วประกาศบอกให้ยุติสงคราม และยุติการยึดครองพื้นที่ฉนวนกาซา คุณฟาร์ฮาน ครับ คุณไปทำหน้าที่ของคุณหรือยัง ไปสิ ไปสิ อเมริกาอยู่เบื้องหลังในการส่งอาวุธให้ยูเครน ส่งอาวุธให้กับอิสราเอลในการฆ่าคน ทำไมคุณไม่ไปแจ้งเขาล่ะว่า เฮ้ย คุณทำไม่ได้ คุณไปวิ่งเต้นในสหประชาชาติก็ได้ ให้มีมติการประณามอเมริกา คุณยังไม่ประณามอเมริกาเลยที่ทำชั่วๆ แบบนี้ และโหดร้ายต่อมนุษยชาติแบบนี้ แล้วคุณมายุ่งอะไรกับประเทศไทยซึ่งเขาทำตามขั้นตอนและระเบียบ” นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาในการต่อสู้ของพรรคก้าวไกลในคดียุบพรรค ได้สู้ทุกประเด็นอย่างเต็มที่แล้วในแง่ของเนื้อหาและขั้นตอน กระบวนการไต่สวน แต่ข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลฟังไม่ขึ้น มิหนำซ้ำแล้ว คำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำเลยว่า มาตรา 112 เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองห้ามเข้าไปแตะต้องอย่างเด็ดขาด และในการปฏิบัติคงยากที่จะเกิดการแก้ไข ลดทอนโทษ หรือเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ
อนาคต สส. พรรคก้าวไกล เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองพอสมควร การทำการเมืองภายใต้พรรคการเมืองใหม่ซึ่งเปิดตัวในวันที่ 9 สิงหาคม รอบนี้ถือว่ามีความสำคัญ ยิ่งกว่าช่วงรอยต่อจากพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพรรคก้าวไกล เพราะส่วนหนึ่งจะเป็นการสร้างฐานอำนาจและคะแนนให้มีความเข้มแข็งและแข็งแรง เพื่อรอรับนายใหญ่ค่ายสีส้มอย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่จะสามารถกลับเข้าสู่สนามการเมืองได้อีกครั้งในปี 2573
จากปี 2567 ถึงปี 2573 ตั้ง 6 ปี อาจจะดูนาน แต่ต้องไม่ลืมว่า ด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และประสบการณ์ที่สั่งสมในฐานะฝ่ายค้าน 80 เสียง ฝ่ายค้าน 151 เสียง จึงไม่แปลกที่แกนนำหลายคนถึงประกาศมั่นใจว่า กระแสลมแห่งความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว เวลายังอยู่ข้างส้ม พร้อมกับรอวันชนะเลือกตั้งอย่างเบ็ดเสร็จเพื่อเป็นรัฐบาล
ดังนั้น พรรคก้าวไกล สามารถวางอิฐก้อนแรกได้อย่างมั่นคง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกลแล้วว่าจะมองการเมืองต่อจากนี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาพล่ามและพ่นว่าจะสู้ต่อเรื่องกรณี 112 ต้องการที่จะหาจุดยืนของตัวเอง ไม่ให้คนลืม แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พรรคใหม่นี้จะสู้เรื่องมาตรา 112 อีกต่อไปไม่ได้ เพราะมันมีบรรทัดฐานคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คงไม่ต้องการให้พลาดอีกครั้งในการที่จะต้องตั้งพรรคใหม่แล้วถูกยุบพรรคใหม่อีก ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้ถ้ามีคนบ้าอย่างนายปิยบุตรอยู่ และยังมีอิทธิพลทางความคิด
“ส่วนอดีตสมาชิกก้าวไกลที่กำลังจะก้าวสู่พรรคใหม่นั้น ต้องคิดให้ดีว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นทางลงให้ตัวเอง จริงๆ แล้วเป็นทางออก คุณจะได้ไม่ต้องไปแตะมาตรา 112 เป็นทางลงที่ดีแล้ว แต่ถ้าคุณยังทะลึ่งดื้อดึงเหมือนพิธา หรือว่าเหมือนธนาธร หรือว่าเหมือนปิยบุตร หมกมุ่นกับการล้มล้างสถาบันตามการชี้นำของคนที่ผมเอ่ยชื่อไปแล้ว ต่อให้พรรคคุณใหม่ ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ต้องถูกยุบซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ดี ไม่มีวันชนะได้ วันของคุณใกล้เข้ามาแล้ว แต่ผมยังข้องใจในความโง่เขลาเบาปัญญาของพวกคุณ ว่าเมื่อไรพวกคุณถึงจะฉลาดขึ้นเสียที แทนที่จะดักดาน โง่เง่า หมกมุ่นอยู่กับมาตรา 112” นายสนธิ กล่าว