xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องหลังเกมพลิก “กัญชา” กับ “ฟ้าทะลายโจร”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เดิมพันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์กับการพึ่งตัวเองด้านสุขภาพของคนไทยมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อนายกฯ ตัดสินใจไม่นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แต่ให้ออกเป็น พ.ร.บ.ควบคุมแทน ด้วยความจริงมีหนึ่งเดียวเรื่องความเสียหายที่จะเกิดขึ้น หากรัฐบาลเปลี่ยนนโยบายไปมา และพรรคเพื่อไทยประเมินแล้วได้ไม่คุ้มเสีย ขณะที่ฟ้าทะลายโจรก็กำลังจะถูกนำกลับเข้าสู่แนวเวชปฏิบัติรักษาโควิด หลังปลัด สธ.สั่งการแล้ว แต่ยังไม่คืบหน้า 



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงเดิมพันระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ขนาดใหญ่ กับ การพึ่งพาตัวเองได้ของประชาชน คือเรื่อง กัญชา กับ ฟ้าทะลายโจร โดยทั้ง 2 เรื่อง มี 3 คนที่เคลื่อนไหวคือ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต , ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออกฯ และ นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีต สว.กรุงเทพมหานคร ร่วมกันเปิดโปงการทุจริตในทางวิชาการเพื่อทวงคืนกัญชา และฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วย โดยมีตนคอยสนับสนุนและจัดรายการเปิดโปงอย่างต่อเนื่อง


และในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรากฏว่า มีการพลิกเกมถึง 2 เรื่องสำคัญ คือ

หนึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้พลิกนโยบายกัญชา คือให้กัญชาไม่ต้องกลับไปเป็นยาเสพติด แต่ให้ใช้พระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง เป็นตัวกำหนดการใช้ประโยชน์ และการควบคุมกัญชา ซึ่งก็เป็นไปตามที่พรรคภูมิใจไทย และภาคประชาชนเขาเรียกร้อง

ถือว่าจบได้อย่างสวยงาม


สอง กระทรวงสาธารณสุขมีการเคลื่อนไหวพยายามพลิกเกมจะเอายาฟ้าทะลายโจรกลับคืนเวชปฏิบัติในการรักษาโควิด-19 ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ แต่ยังไม่สำเร็จ

เบื้องหลังเกมพลิก “กัญชา”

มีหลายคนสงสัยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นคนเริ่มประกาศว่าจะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แล้วอยู่ดีๆ ทำไม วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 กลับกลายเป็นคนเจรจาระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสมศักดิ์ เทุสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่าจะไม่เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเสียเอง


โดยให้มีการใช้ประโยชน์และการควบคุมในรูปของพระราชบัญญัติแทน ซึ่งเป็นไปตามที่พรรคภูมิใจไทยเรียกร้องมาโดยตลอด

“คำตอบที่เป็นบทสรุปง่าย ๆ และตรงไปตรงมาที่สุด คือ คุณเศรษฐาเป็นคนใจกว้าง และเป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะหากความคิดเห็นนั้นมีเหตุมีผล” นายสนธิ กล่าว

ซึ่งในความเป็นจริงพรรคภูมิใจไทยได้แบะท่าเอาไว้แล้วว่า พร้อมจะโหวตสวนและยอมเป็นผู้แพ้ในคณะกรรมการ ป.ป.ส. แต่ก็ยังขอเกาะเป็นรัฐบาลต่อไป ดังนั้นลำพังเสียงของพรรคภูมิใจไทยจึงเป็นน้ำหนักที่ไม่มากที่จะทำให้นายเศรษฐาเปลี่ยนใจ

เสียงที่มีน้ำหนักจาก “ความจริงมีหนึ่งเดียว”

แต่การเคลื่อนไหวของ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา, และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีน้ำหนัก เพราะทักท้วงว่าหากรัฐบาลฝืนเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จะกลายเป็นผลร้ายต่อพรรคเพื่อไทยในท้ายที่สุด โดยมีพรรคภูมิใจไทยคอยสมน้ำหน้า

เพราะก่อนหน้าที่เราจะเห็นมติในวันนี้ มีการพูดคุย “นอกรอบ” กับ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์หลายครั้งในกระทรวงสาธารณสุข ทั้ง องค์การอาหารและยา, กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, ทีมที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

จนกระทั่งไม่มีใครมาโต้เถียงประเด็นสาระสำคัญของ เพราะอ.ปานเทพ แม้จะยืนโต้อยู่คนเดียว แต่ก็ยืนอยู่บนสัจจะและความจริง และความจริงก็คือความจริงอยู่วันยังค่ำ คือ


ถ้ากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จะทำให้เกิดการผูกขาดอยู่กับเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ยานำเข้าจากต่างประเทศ และโรงพยาบาลเอกชนเท่านั้น ทำลายแพทย์แผนไทย หมอพื้นบ้าน และการพึ่งพาตัวเองของชาวบ้าน เพราะมี 2 ปัจจัยสำคัญ

ประการแรก ในประมวลกฎหมายยาเสพติดมาตรา 32 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับเดือนเมษายน 2567 ได้มีการล็อกสเปคไม่ให้หมอพื้นบ้าน แพทย์แผนไทย และแพทย์แผนไทยประยุกต์สามารถจ่ายสารสกัดหรือน้ำมันกัญชาได้อีกต่อไป

เพราะถ้ายังจ่ายน้ำมันกัญชาที่ผลิตในประเทศได้ในราคาไม่แพง พวกยานำเข้าจากต่างประเทศก็จะขายน้ำมันกัญชาในราคาแพง ๆ ในประเทศไทยไม่ได้

ประการที่สอง ในประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 40 และ 95 ล็อกเสปก ว่า เกษตรกรผู้ปลูกกัญชา หรือแม้แต่คลินิกกัญชา จะต้องมี “เภสัชกรแผนปัจจุบัน” อยู่ตลอดเวลาทำการ

ทำให้เกษตกรผู้ปลูกกัญชา หมอแผนไทยและหมอแผนปัจจุบันในคลินิกที่เคยจ่ายน้ำมันกัญชาได้ ต้องไปหาเภสัชกรแผนปัจจุบันเงินเดือนเป็นแสนมาประจำอยู่ตลอดเวลา

การล็อกสเปกแบบนี้ คือการล็อกสเปกทำให้ทำลายเกษตรกรผู้ปลูกกัญชา กัญชงทั้งหมด เอื้อผลประโยชน์ให้เฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ปลูกกัญชาในระบบปิด ซึ่งมีต้นทุนแพงมาก ร่วมกับกลุ่มทุนต่างชาติ ที่มีโรงงานต่อเนื่องเป็นสายการผลิต จึงจะมีเภสัชกรประจำอยู่ได้

ซึ่งบังเอิญว่าอาจารย์ปานเทพ ได้แถลงข่าวเปิดประเด็น สำนักข่าวอิศราได้เคยรายงานต่อเนื่องหลายชิ้นว่า สถานภาพของ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลชุดนี้ เคยเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัทร่วมทุนสัญชาติแคนาดาในธุรกิจกัญชากัญชงด้วย


จึงย่อมมีคำถามตามมาว่าการล็อกสเปกเหล่านี้กำลังจะไปเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนไทยร่วมกับต่างชาติหรือไม่ ?

ในขณะเดียวกัน อ.ปานเทพ ก็ได้เปิดประเด็นอีกด้วยว่า เมื่อคลินิกกัญชาทั่วประเทศไม่สามารถจ่ายกัญชาได้ เพราะไม่มีเภสัชกรแผนปัจจุบันประจำอยู่เท่านั้น ในขณะที่โรงพยาบาลภาครัฐก็แทบไม่จ่ายกัญชาไทยให้กับคนไข้ ก็จะส่งผลทำให้มีแต่ “โรงพยาบาลเอกชน” เท่านั้นที่จะสามารถมีเภสัชกรแผนปัจจุบันอยู่ทำการตลอดเวลาได้

ซึ่งต้องไม่ลืมว่าครอบครัวชินวัตรเป็นผู้ถือหุ้นในโรงพยาบาลพระรามเก้า โดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ แม่ของหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีหุ้นในโรงพยาบาลนี้ 37.14%, ส่วนลูกๆ 3 คน คือ นางสาวพินทองทา นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีหุ้นคนละเท่าๆกัน คือแต่ละคนมีหุ้นอยู่ 0.64%

“และอย่างที่ผมเคยบอกเอาไว้ว่าคนที่มีส่วนสำคัญอยู่เบื้องหลังจะเอากัญชา และกัญชงกลับไปเป็นยาเสพติด ก็คือ “หมอมิ้งค์” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ “หมอเลี๊ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ถึงขนาดโต้เถียงกันอย่างหนักกับ หมอชลน่าน ศรีแก้ว อดีตรมว.สาธารณสุข และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย


“จนเป็นเหตุทำให้มีการปลด หมอชลน่าน ศรีแก้ว ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทั้งหมอมิ้งค์ และหมอเลี๊ยบ ต่างใกล้ชิดกลุ่มทุนในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ทั้งสิ้น

“แต่ถ้ายังฝืนทำต่อไป อย่าคิดว่าจะผูกขาดเอื้อกลุ่มทุนในระบอบทักษิณได้ เพราะผู้ป่วยและเกษตรกรที่ชาวบ้านทำกัญชาอยู่ไม่มีวันหยุดปลูกและหยุดใช้กัญชา เพราะจะยังคงใช้กัญชาใต้ดินต่อไป

“ส่วนกลุ่มทุนพรรคเพื่อไทย ที่หวังว่าจะรวยเพราะกำจัดชาวบ้านและเกษตรกรรายย่อยได้จะไม่มีวันสำเร็จ แถมยังจะต้องโดนประชาชนเปิดโปงและลุกขึ้นมาต่อต้านอีกด้วย รับรองได้ว่าหากยังฝืนทำต่อไป มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง

“ส่วนคุณเศรษฐา เขาไม่ใช่กลุ่มทุนบริษัทยาหรือกลุ่มทุนแพทย์ต่างจากหมอมิงค์และหมอเลี๊ยบ ถ้าเพียงแค่เขารู้ความจริงและมีความเข้าใจ คุณเศรษฐาก็ไม่จำเป็นต้องดันทุรังเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเพื่อกลุ่มทุนบริษัทยาหรือโรงพยาบาลเอกชนใด” นายสนธิ กล่าว

ประการที่สาม หนังสือฉบับสุดท้ายของเครือข่ายนักวิชาการและแพทย์ได้ร่วมลงชื่อกันจำนวนมาก นำโดย ศ.นพ.ธีระวัฒน์​ เหมะจุฑา และ อ.ปานเทพ ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 จับโป๊ะจากงบประมาณรายจ่ายจริงของทางราชการ พบการมีใช้ข้อมูลราชการที่เป็นเท็จ บิดเบือน และเกินจริง ในเรื่องผลร้ายของกัญชา ทำให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดหลงผิดลงมติให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติด


ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องในคดีทุจริตต่อไปได้ด้วย

“แต่การเคลื่อนไหวกลุ่มของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ หมอธีระวัฒน์ คุณรสนา และกลุ่มสหพันธุ์กัญชาไทย รวมถึงการอดอดอาหาร 12 วันของกลุ่มเขียนอนาคตกัญชาไทยจนร่างกายซูบผอมลงมาก คนเหล่านี้เขาทำเพื่อผู้ป่วย เพื่อประชาชน เพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพราะต้องการคะแนนเสียงหรือความนิยมใด ๆ

“จุดนี้ได้ทำให้กระตุ้นต่อมจิตสำนึกของพรรคภูมิใจไทยซึ่งเคยรู้สึกว่า แม้คนกัญชาไม่ได้เลือกพรรคภูมิใจไทยเท่าไหร่ แต่พรรคภูมิใจไทยจำเป็นต้องออกแรงมากขึ้น เพราะการต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจและสัจจะของภาคประชาชนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่สามารถทอดทิ้งได้ หากไม่ทำอะไรก็จะเป็นเรื่องที่น่าละอายมาก เพราะจะเสียธรรมต่อประชาชนในวันข้างหน้า”



เสียงกลุ่มที่สอง ภายในพรรคเพื่อไทย ห่วงสถานภาพความเชื่อมั่นนักลงทุน และการสั่นคลอนต่อรัฐบาล

สถานการณ์ภายในพรรคเพื่อไทยในเรื่องการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดที่หวังจะด้อยค่าพรรคภูมิใจไทย ได้เป็นที่ถกเถียงว่าจะคุ้มหรือไม่ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก

โดยเฉพาะคำว่า “ความเชื่อมั่นนักลงทุน” เพราะถ้านโยบายเรื่องสำคัญ ๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เพียงเพราะรัฐบาล ต่อไปจะไม่มีใครกล้าลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสาระสำคัญที่สุด

และอีกคนหนึ่งที่อ่านสถานการณ์ความไม่พอใจ ของพรรคภูมิใจไทย คือ นายภูมิธรรม เวชยชัย คือ คนที่เข้าไปเจรจาส่งสัญญาณไปที่นายกรัฐมนตรีว่า พรรคภูมิใจไทย “อึดอัดไม่พอใจ”

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พรรคภูมิใจไทย มีเครือข่ายสมาชิกวุฒิสภาเสียงข้างมากเกือบทั้งหมดอยู่ในมือ และอาจทำให้สถานการณ์รัฐบาลไปไม่รอดได้


โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 พรรคภูมิใจไทย ได้ลงมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พ.ศ. .... กรอบวงเงิน 122,000 ล้านบาท ในวาระแรก เสียง ส.ส. 296 คนเห็นชอบ ไม่เห็นชอบ 163 เสียง

เพราะเป็นที่รู้กันว่าลึก ๆ แล้ว พรรคภูมิใจไทยไม่ค่อยเห็นด้วยกับดิจิทัล วอลเล็ต แต่ก็ลงมติเห็นชอบในหลักการวาระแรก แต่อย่าลืมว่ายังมีวาระที่สอง และวาระสามอีก

เมื่อถึงวาระที่สาม ก็ต้องเป็นเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่า เป็น ส.ว.สีน้ำเงิน ที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท

เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วการด้อยค่าพรรคภูมิใจไทยด้วยการนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดอาจได้ไม่คุ้มเสีย

นั่นคือเหตุที่ทำให้ คุณเศรษฐา ทวีสิน ต้องกลับไปเจรจากับคุณอนุทิน ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว

เบื้องหลังเจรจา เศรษฐา อนุทิน และสมศักดิ์

ในตอนแรกนายเศรษฐาถึงขนาดเดินทางไปพบนายอนุทิน ถึงกระทรวงมหาดไทย ในตอนแรกนายเศรษฐาต่อรองว่า “ไม่รีบ” หมายถึงไม่รีบเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แต่นายอนุทินคงเห็นว่า หากยังกั๊กไว้ ก็จะยิ่งเสียหายต่อผู้ลงทุน และมีความไม่แน่ชัดด้วย

จนกระทั่งปลายสัปดาห์ที่แล้วนายเศรษฐา เริ่มเจรจากับนายอนุทิน จึงตกลงกันได้แล้วจึงโทรศัพท์ไปหานายสมศักดิ์ ให้ถอยในเรื่องกัญชา


แต่นายสมศักดิ์ ค่อนข้างจะไม่พอใจเพราะรับนโยบายกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดโดยนายกรัฐมนตรีเป็นคนให้นโยบายเองเอง การทำแบบนี้จะทำให้นายสมศักดิ์เสียหน้า ต่อไปจะปกครองลูกน้องในกระทรวงสาธารณสุขอย่างไร จึงยืนยันที่จะเดินหน้าจะเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ส.ให้ได้ ใน วันที่ 23 กรกฎาคม 2567

“ขอนอกเรื่องกันหน่อยว่า ความจริง คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน กับ คุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เขาอยู่ติดกันตลอด

“แต่มีเรื่องไม่พอใจคุณอนุทินกันมาก่อนหน้านี้ โดยมีเรื่องกันมาเป็นระยะ ๆ ในบางโครงการ แต่ในที่สุดก่อนการเลือกตั้ง คุณสุริยะ และคุณสมศักดิ์ ไปเจรจากับพรรคภูมิใจไทยว่าจะขอมาอยู่กับพรรคภูมิใจไทย แต่ขอโควต้า 2 รัฐมนตรีให้กับคุณสมศักดิ์ และคุณสุริยะ แต่พรรคภูมิใจไทยไม่เอา คุณสุริยะ และคุณสมศักดิ์ก็เลยไม่พอใจ

“แต่พอได้โอกาสที่คุณสุริยะ และคุณสมศักดิ์ ได้ไปย้ายเข้าพรรคเพื่อไทย จนพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ได้มอบกระทรวงที่เป็นหอกทิ่มย้อนเกล็ดกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยเคยดูแล”



คือ ให้นายสุริยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงคมนาคม และนายสมศักดิ์ ก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คงหวังว่าจะใช้คนที่ไม่พอใจพรรคภูมิใจไทย ไปจัดการในกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยเคยคุมอยู่

นายสุริยะ คุมคมนาคม โดยจับเรื่องที่ดินเขากระโดงเป็นตัวประกัน
นายสมศักดิ์ ​คุมสาธารณสุข คุมกัญชา คอยด้อยค่าภูมิใจไทย

นี่คือเบื้องหลังที่มา ของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

ในขณะที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน เมื่อรับสัญญาณชัดเจนจากพรรครัฐบาล ในฐานะรองนายกรัฐมตรี ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการ ป.ป.ส. ก็ได้ส่งสัญญาณชัดตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2567 ว่าจะยังไม่จัดประชุมในเรื่องนี้ เพราะต้องให้มีการชี้แจงให้ชัดเสียก่อน นโยบายกลับไปกลับมาเรื่องกัญชาได้อย่างไร ในเมื่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดก็เป็นกลุ่มคนชุดเดียวกันที่เคยปลดล็อกออกจากยาเสพติด


แต่นายสมศักดิ์ ก็ยังไม่ยอมง่าย ๆ พยายามโทรติดต่อนายพีระพันธุ์ให้เอาเข้าประชุมให้ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะความจริงนายพีระพันธุ์ คุยกับนายอนุทินและนายกรัฐมนตรีเอาไว้ก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว

จนกระทั่ง นายทักษิณ ชินวัตร ได้นำครอบครัวในช่วงสุดสัปดาห์พักผ่อนร่วมกับสมาชิกครอบครัวชินวัตร ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 รีสอร์ตของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็เป็นอันปิดดีล


เป็นผลทำให้เช้าวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 นายเศรษฐา เจรจากับนายอนุทิน และนายสมศักดิ์​ มีบัญชาการให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ กัญชา กัญชง มีความหมายว่าไม่ต้องนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด

“ด้วยคำที่แสดงถึงความเป็นลูกผู้ชายของนายกรัฐมนตรีมาก เพราะคุณเศรษฐาได้บอกคุณสมศักดิ์ว่า ถือว่าการสั่งการให้กัญชาเป็นยาเสพติดก่อนหน้านี้ เป็นความผิดพลาดของผมเอง

“เรื่องกัญชาเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อน ความผิดพลาดในการตัดสินใจจึงเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าได้หมั่นสังเกต เรียนรู้ และเปิดข้อมูลกว้าง แล้วรีบแก้ไขให้ถูกต้อง ตรงนี้ต้องถือว่านายกรัฐมนตรีได้ทำสิ่งที่น่าสนับสนุนและน่าชื่นชมอย่างยิ่ง” นายสนธิ กล่าว

เกมกำลังพลิกเรื่อง “ฟ้าทะลายโจร”

สำหรับเรื่องฟ้าทะลายโจร หลังจากที่มีการเปิดโปงเรื่องยาฟ้าทะลายโจรที่ถูกถอดออกจากเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ตั้งแต่ วันที่ 5 มิถุนายน 2567 ไม่มีขั้นตอนใดให้จ่ายฟ้าทะลายโจรได้ในผู้ป่วยโควิด-19 ได้


ส่งผลคือ ตั้งแต่ วันที่ 5 มิถุนายน 2567 เป็นต้นมา ใครป่วยเป็นโควิด-19 โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จะไม่จ่ายยาฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วยโควิด-19 ได้

แต่ยังคงมีฟาวิพิราเวียร์อยู่ ทั้ง ๆ ที่เป็นยาที่ทำให้เชื้อดื้อยามากขึ้น หากใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ

ปรากฏว่าเรื่องนี้ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา และนางสาวรสนา โตสิตระกูล ได้ไปยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม 2567 โดยร้องขอ 3 เรื่อง คือ

เรื่องที่ 1 ขอให้หยุดเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2567

เรื่องที่ 2 ขอให้เปิดเผยบันทึกการถอดเทปในการประชุมคณะกรรมการโควิด-19

เรื่องที่ 3 ขอให้เปิดเผยงานวิจัยเต็มฉบับที่ใช้อ้างในการถอดฟ้าทะลายโจรออกจากเวชปฏิบัติ


“ผมบอกให้เลย 3 คนนี้รวมตัวกันได้ ภายใต้หัวจดหมายเป็น บริษัท สำนักงานกฎหมายอรุณอัมรินทร์ จำกัด นั้นเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะ

“1.คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นภาคประชาชนที่เคยจับนักการเมืองและข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขที่ทุจริตยา ติดคุกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

“2.อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีประวัติไม่เคยแพ้คดีไหนเลยแม้แต่คดีเดียว และเป็นคนเก็บข้อมูลทุกกระเบียดนิ้ว แถมมีทักษะในการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย อีกทั้งยังมีสื่ออยู่ในมือ

“3.ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เป็นคนที่ในตอนแรก สนับสนุนฟาวิพิราเวียร์เอง แต่พอมีผลไม่ดีและใช้ไม่ได้ผลก็ขอให้หยุดใช้ และรณรงค์ให้ประชาชนใช้ฟ้าทะลายโจรแทน คุณหมอธีระวัฒน์เป็นศาสตราจารย์ นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอุบัติใหม่ เตรียมมาชำแหละการทุจริตงานวิชาการเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทยา ขอเพียงได้ข้อมูลมาครบเท่านั้น จะเปิดโปงให้ประชาชนได้รับรู้ความจริงอย่างแน่นอน

“เมื่อ 3 พลัง บวกกับสำนักงานกฎหมาย รับรองได้ว่าหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ และยังไม่เปิดเผยข้อมูล งานนี้มีโอกาสเป็นคดีทุจริตครั้งใหญ่อีกครั้งเป็นแน่

“โดยเฉพาะผมขอดักคอเอาไว้เลยคือ การนำงานวิจัยที่เก็บตัวอย่างน้อย ๆ ไม่ถึงมาตรฐานในผู้ป่วยโควิดสายพันธุ์ของโอไมครอน และการอ้างเรื่องค่าตับสูงขึ้นทั้ง ๆ ที่ค่าตับไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานมาตัดฟ้าทะลายโจรออกจากเวชปฏิบัติ จนประชาชนไม่ได้ยาฟ้าทะลายโจร อย่างอำมหิตโหดเหี้ยมสนองความโลภของหมอนักวิชาการบางคนละก็ พวกคุณมีสิทธิ์ติดคุกกันระนาว

“แต่ผมได้ข่าวดี ไม่ใช่มาจาก พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมการแพทย์ ที่พยายามออกมาแก้ตัว มากกกว่าแก้ไข


พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์
“เพราะหมออัมพร แก้ตัวว่าแพทย์ยังสามารถจ่ายฟ้าทะลายโจรในผู้ป่วยโควิด-19 ได้เหมือนเดิม เพราะอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติและเบิกค่าใช้จ่ายได้ แต่ถึงวันนี้ผู้ป่วยโควิด-19 ก็ยังไม่ได้ฟ้าทะลายโจรเหมือนเดิม” นายสนธิกล่าว

ทั้งนี้ เพราะคำว่า “เวชปฏิบัติ” คือ คู่มือที่แพทย์ “ต้องปฏิบัติ” ตาม หากไม่ปฏิบัติแล้วเกิดอะไรขึ้น แพทย์คนนั้นต้องรับผิดชอบ จนถึงสามารถถูกถอดใบประกอบวิชาชีพได้

คำว่า “แพทย์สามารถจ่ายได้” จึงมีความหมายว่า เวชปฏิบัติ ไม่มีระบุให้ใช้ฟ้าทะลายโจรเอาไว้ หมอคนนั้นต้องรับผิดชอบด้วยตัวเองหากมีอะไรเกิดขึ้น

เกิดหมอคนนั้นซวยเพราะจ่ายฟ้าทะลายโจรแล้วผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเรื่องอื่น เขาก็จะไปดูว่ามีการจ่ายยานอกเวชปฏิบัติหรือไม่ ถ้าไม่มีในเวชปฏิบัติ แพทย์ผู้นั้นต้องรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด

ดังนั้นคำว่า “สามารถจ่ายได้” จึงเป็นการเล่นคำเพื่อให้ดูดีเท่านั้น แต่แพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่จ่ายยาฟ้าทะลายโจรให้คนไข้อยู่ดี

ประเด็น : หนทางที่ถูกต้องคือการทำตามคำร้องขอของ อ.ปานเทพ และคณะคือให้หยุดเวชปฏิบัติวันที่ 5 มิถุนายน 2567 และรีบคืนฟ้าทะลายโจรให้ผู้ป่วยโควิด-19 ให้เร็วที่สุด

นี่เวลาผ่านมา 10 วันแล้ว จนป่านนี้ก็ไม่ให้บันทึกการถอดเทปรายงานการประชุม และงานวิจัยที่อ้างมาในการถอดฟ้าทะลายโจรออก ผมถามว่าการทำงานที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างขนาดนี้ยังมีการปิดบังข้อมูล ไม่โปร่งใสได้อย่างไร

นายสนธิ กล่าวว่า จะให้เวลาอีก 1 สัปดาห์ เพราะได้ข่าวการสั่งการจาก นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้สั่งการมอบนโยบายต่อข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันอังคารที่ 23 กรกฎาคม 2567 ให้หากแก้ไขเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ คือ เอาฟ้าทะลายโจรกลับมา แล้วถอดยาฟาวิพิราเวียร์ออก

“ถ้าทำอย่างนั้น แรงจูงใจในการดำเนินคดีความอาจจะลดน้อยลง เพราะประชาชนได้ทวงคืนฟ้าทะลายโจรสำเร็จแล้ว แต่หากยังยืดเยื้อ ผมว่าพวกคุณจะเสี่ยงคุกตะรางกันทั้งหมด

“ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน คนที่เคยสนับสนุนฟ้าทะลายโจรมาก่อน คงไม่ทำลายฟ้าทะลายโจรกับมือตัวเอง

“ผมจึงขอให้เวลาอีก 1 สัปดาห์ รีบทวงคืนฟ้าทะลายโจรให้ประชาชนและผู้ป่วยให้เร็วที่สุด และให้เอกสารกับ อ.ปานเทพและคณะโดยเร็วนะครับ เพื่อวัดใจว่าคุณสมศักดิ์ เทพสุทินทำเพื่อฟ้าทะลายโจรจริงๆ หรือไม่

“และคุณสมศักดิ์ครับ ผมฝากอีกเรื่องหนึ่ง คุณทอม เครือโสภณ คุณรู้จักใช่ไหม มาบอกอาจารย์ปานเทพ ว่า คุณสมศักดิ์ บอกว่าให้มาบอกผมว่าอย่าไปด่าเขาเลย คนสุโขทัยด้วยกัน คนสุโขทัยไม่ด่าซึ่งกันและกัน เอ๊ะ ผมกับคุณทักษิณก็คนประเทศไทยเหมือนกันนะ แสดงว่าผมกับคุณทักษิณด่ากันไม่ได้ใช่ไหม เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณสมศักดิ์ สิ่งแรกที่คุณควรจะทำ คุณอย่าไปใช้งานนายทอม เครือโสภณ คุณตัดทิ้งไปเลย คนๆ นี้ไม่มีประโยชน์ เป็นแค่ล็อบบี้ยิสต์

“ก็คุณนึกดูสิว่างานประชุมในเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นพระราชบัญญัตินั้น คุณทอม มากับบรรดาเครือข่ายนายทุนกัญชาเต็มไปหมดเลย โดนคุณอนุทิน ตีแสกหน้าจนหน้าซีดเผือด พูดไม่ออก รายละเอียดวันหลังผมจะเล่าให้ฟัง เอาแค่นี้ก่อนแล้วกัน

“และอีกประการหนึ่ง คุณสมศักดิ์ครับ พฤติกรรมหมออัมพร ถ้าคุณยังมีอยู่จนกระทั่งมีการเลื่อนตำแหน่ง ปลัดกระทรวงสาธารณสุขว่างอยู่ คุณอย่าตั้งหมออัมพร เด็ดขาด คุณตั้งเมื่อไร คุณมีเรื่องกับผมเลย เพราะคนๆ นี้ไม่เหมาะจะเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข” นายสนธิกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น