เปิดความเชื่อมโยงคดีวางยา 6 ศพกลางกรุง พบบุคคลต้องสงสัยอยู่ในห้องคนเดียวประมาณ 6 นาทีหลังชาและอาหารเข้ามาเสิร์ฟ และมีอาการพิรุธเดินไปหยิบของบางอย่างช่วงพนักงานเสิร์ฟเข้าไปในห้องด้วย หลังจากนั้นผู้เสียชีวิตอีก 5 รายได้เดินเข้าไปในห้องแล้วไม่พบใครเดินออกมาอีกเลย
วันที่ 17 ก.ค. จากกรณีชาวเวียดนามและชาวอเมริกัน 6 ราย เสียชีวิตจากสารไซยาไนด์ภายในโรงแรมดังย่านราชประสงค์ พบความเชื่อมโยงจากข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เป็นเบาะแสที่ได้จากพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ การสอบปากคำพยานมากกว่า 10 ปาก
โดยทั้ง 6 คนเกี่ยวข้องกันในฐานะนายหน้าที่ชักชวนไปลงทุนสร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น และผู้ลงทุน
นางสาวธิ เหงียน เฟือง อายุ 46 ปี ชาวเวียดนาม และ นายฮง ฟาม ธาน อายุ 49 ปี ชาวเวียดนาม ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน มีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” หลังจากให้กู้ยืมเงินลงทุนเป็นจำนวนเงินประมาณ 10 ล้านบาทแก่สองสามีภรรยา ได้แก่ นางสาวธิ เหงียน เฟือง ลาน อายุ 47 ปี หญิงชาวเวียดนาม กับสามี MR. TIEN THANG PHAM ซึ่งติดธุระอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
ทั้งนี้ ในวันเกิดเหตุ ลูกสาวของเจ้าหนี้ทั้งสองคนให้ข้อมูลว่าพ่อแม่เดินทางมาไทยเพื่อเคลียร์หนี้สินที่เกิดขึ้น สอดคล้องกับที่พนักงานนำอาหารของโรงแรมให้การว่าในวันเกิดเหตุ (16 ก.ค.) นางสาวเชอรีน ชอง อายุ 56 ปี ชาวเวียดนามสัญชาติอเมริกัน มีสถานะเป็น “ผู้ค้ำประกัน” ซึ่งเป็นเจ้าของห้อง 502 อยู่ในห้องคนเดียว ขณะที่พนักงานนำอาหารและเครื่องดื่มมาส่ง พนักงานยืนยันนำอาหารไปวาง และพนักงานขอชงชาให้ แต่หญิงดังกล่าวบอกว่าจะจัดการเอง เมื่อตรวจสอบกล้องวงจรปิดชัดเจนพบว่าหลังจากนั้นผู้เสียชีวิตอีก 5 รายได้เดินเข้าไปในห้องแล้วไม่พบใครเดินออกมาอีกเลย
โดยคาดว่านางสาวเชอรีน ชอง จะเป็นผู้ลงมือวางยาทุกคนจนเสียชีวิต และดับตัวเองเป็นคนสุดท้าย
สรุปผู้เสียชีวิตเป็นหมายเลข 1-6 ดังนี้
1. นางสาวธิ เหงียน เฟือง เพศหญิง อายุ 46 ปี
2. นางสาวธิ เหงียน เฟือง ลาน เพศหญิง อายุ 47 ปี
3. นายดิน ซาน ฟู เพศชาย อายุ 37 ปี
4. นายฮุง ดัง วาน เพศชาย อายุ 55 ปี
5. นางสาวเชอรีน ชอง เพศหญิง อายุ 56 ปี
6. นายฮง ฟาม ธาน เพศชาย อายุ 49 ปี
โดยหมายเลข 1 และหมายเลข 6 เป็นคู่สามีภรรยาเดินทางเข้าไทยด้วยกัน เปิดห้องพักนอนด้วยกันก่อนจะไปรวมตัวกับคนอื่นในช่วงบ่ายวันที่ 15 ที่ห้อง 502
หมายเลข 2 และหมายเลข 5 เป็นนายหน้า ชักชวนคู่สามีภรรยาหมายเลข 1 และ 6 ลงทุนสร้างโรงพยาบาลในประเทศญี่ปุ่น ลงทุนไปแล้วกว่า 10 ล้านบาท แต่ยังไม่เห็นผล
บุคคลที่ 7 เป็นน้องสาวของนายหน้าหมายเลข 2 เดินทางเข้าไทยพร้อมกันแต่กลับเวียดนามไปเมื่อวันที่ 10 ก.ค. ตำรวจอยู่ระหว่างติดต่อขอสอบปากคำ เชื่อไม่เกี่ยวกับเหตุนี้
ส่วนหมายเลข 3 และ 4 ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด คาดว่าเป็นผู้ถูกชักชวนมาพูดคุยเกี่ยวกับการลงทุน แต่ห้องพักของหมายเลข 4 มีนายหน้าหมายเลข 5 ทำการจองไว้ให้ แล้วจ่ายมัดจำและชำระค่าห้องพักด้วยบัตรเครดิตของหมายเลข 4
เหตุผลที่สงสัยหมายเลข 5 เพราะห้องที่เกิดเหตุ เป็นห้องพักในชื่อหมายเลข 5 มีช่วงที่หมายเลข 5 อยู่ในห้องคนเดียวประมาณ 6 นาทีหลังชาและอาหารเข้ามาเสิร์ฟ และมีอาการพิรุธ เดินไปหยิบของบางอย่างช่วงพนักงานเสิร์ฟเข้าไปในห้องด้วย