xs
xsm
sm
md
lg

ถุงขนม 2 พันล้าน ข่าวปล่อยเลื่อยขาเก้าอี้ศาล หลอกใช้ฝ่ายต้านทักษิณเป็นเครื่องมือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ถุงขนม 2 พันล้าน” แลกประกันตัวคดี 112 ส่อเป็นข่าวปล่อยจากตุลาการฝ่ายที่ต้องการเลื่อนขาเก้าอี้อธิบดีศาลอาญา ผสมโรงกับนายตำรวจใหญ่ที่หวังถอนแค้นจากการถูกออกหมายจับ หลอกใช้หัวหอกต้านทักษิณอย่าง “หมอวรงค์” เป็นเครื่องมือ พบตรรกะไม่ได้ ไทม์ไลน์ไม่สอดคล้อง ชี้การเมือง 3 ขั้ว แต่ละฝ่ายต่างสุดโต่ง บ้านเมืองไปต่อยาก ทักษิณเอาแต่ได้ ฝ่ายอนุรักษ์เรียกหาแต่รัฐประหาร ส่วนพรรคก้าวไกลยังหมกมุ่นอยู่กับการแก้ ม.112



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงเรื่อง “ถุงขนมภาคสอง 2 พันล้าน ณ ประเทศสารขัณฑ์” ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี ซึ่งไป ๆ มา ๆ ได้สร้างความปั่นป่วนให้วงการตุลาการ เสียยิ่งกว่าสร้างผลกระทบต่อนายทักษิณ ชินวัตร

ซึ่งตอนนี้นายทักษิณสั่งการให้ทนายคู่ใจอย่างนายวิญญัติ ชาติมนตรี ร่างคำฟ้องเรียกค่าเสียหายกับหมอวรงค์หลักร้อยล้านบาท

แต่ผลกระทบที่ไม่ปกติ บังเกิดในแวดวงตุลาการ เพราะสตอรี่ที่เขียนว่า มีตุลาการชั้นผู้ใหญ่ระดับอธิบดีศาล เดินทางไปเจรจารับสินบน 2 พันล้าน จากเจ้าพ่อกาสิโนฮ่องกง แลกกับการให้ประกันตัวนายทักษิณ ได้สร้างความเสียหายให้กับอธิบดีศาลท่านนั้นไปเรียบร้อยแล้ว ถึงขนาดคณะกรรมการตุลาการ หรือ ก.ต. สั่งตั้งกรรมการสดับตรับฟังข้อเท็จจริง

คำถามคือข่าว “ถุงขนม 2 พันล้าน” ของหมอวรงค์ มีมูลความจริงมากน้อยแค่ไหน?
เมื่อมีการสดับตรับฟัง สืบสาวราวเรื่องในเบื้องต้น ก็พบว่าเป็น “ข่าวปล่อย” ข่าวโคมลอยทั้งดุ้น

ดูเผิน ๆ เหมือนข่าวนี้ ต้องการสกัดกั้นไม่ให้นายทักษิณได้รับการประกันตัว เพื่อจะได้ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ

แต่ในเชิงลึกที่เช็กข่าวมาได้ พบว่าวัตถุประสงค์แท้จริงของการปล่อยข่าวดังกล่าว คือเพื่อเลื่อยขาเก้าอี้อธิบดีศาล

เป็นการสมคบกันระหว่างตุลาการที่ต้องการแย่งชิงตำแหน่ง ร่วมหัวกับ “ไอ้โม่ง” ตำรวจใหญ่หน้าดำ ๆ คนดัง ผู้ขยันเดินเกมใต้ดินไม่รู้เหนื่อย

เพราะ “ไอ้โม่ง” อาฆาตแรงที่โดนศาลอาญา รัชดาฯ ออกหมายจับ จึงต้องการล้างแค้น

โอกาสนี้ก็หาทางเปลี่ยนตัวอธิบดี เพื่อดันพวกพวกเดียวกัน ให้มาเสียบแทนไปเลย
จึงมีการเขียนสตอรี่ ผูกเรื่องเป็นตุเป็นตะ ให้เนียน ๆ ไปกับสถานการณ์จริง จังหวะที่อธิบดีศาลเป้าหมายที่จะโค่น เดินทางไปฮ่องกง ก่อนถึงกำหนดมอบตัวของนายทักษิณเกือบหนึ่งเดือน

แล้วใครละจะกระจายข่าวให้สะเทือนเลื่อนลั่น ได้เท่ากับ “หมอวรงค์” ในฐานะคู่อาฆาตทางการเมืองของนายทักษิณ


ซึ่งหมอวรงค์ ก็งับข่าวปล่อยนี้เต็มแรง ประสาคนรักชาติ เกลียดนายใหญ่ แต่มันกลายเป็นเครื่องมือทำลายล้างวงการตุลาการ

จากการวิเคราะห์พบว่า สตอรี่ถุงขนมภาคสอง ขาดตรรกะในหลายเรื่อง

หนึ่ง เริ่มจากไทม์ไลน์ อธิบดีศาลและคณะ พูดคุยเพื่อไปเที่ยวฮ่องกงกันตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จัดการซื้อตั๋ว เดือนมีนาคม 2567 กำหนดเดินทางวันที่ 23-26 พฤษภาคม 2567 โดยใช้บริการบริษัททัวร์ เดินทางไปเป็นกรุ๊ป 13 คน โปรแกรมหลัก คือพาหลาน ๆ ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ ส่วนผู้ใหญ่ก็เข้าวัดไหว้พระ

ณ เวลาที่เริ่มชวนกันเที่ยว จนถึงวันยื่นใบลาต่อประธานศาลฎีกา วันที่ 7 พฤษภาคม และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ก็ยังไม่ปรากฎหรือมีประเด็นเรื่องนายทักษิณใด ๆ เลย

เมื่อกลับจากเที่ยวฮ่องกงแล้ว อัยการสูงสุดจึงสั่งฟ้องนายทักษิณคดีมาตรา 112 ใน วันที่ 29 พฤษภาคม 2567

สอง จะเห็นว่าอัยการสูงสุดยังไม่ทันสั่งฟ้องนายทักษิณ แต่เจ้าพ่อกาสิโนฮ่องกง ก็ชิงมาให้สินบน 2 พันล้านก่อน มันเป็นสตอรี่ที่ย้อนแย้ง

ยิ่งถ้าหากย้อนไปถึง“คดีถุงขนม ภาคแรก”ปี 2551 ตอนนั้นเงินสดในถุงคือ 2 ล้านบาท แลกกับการไม่ดำเนินคดีนายทักษิณ แต่เวลาผ่านไป 16 ปี“คดีถุงขนม ภาคสอง”ปี 2567 ยอดพุ่งไปเป็น 2 พันล้านบาท แค่แลกกับการได้ประกันตัว นี่ก็ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน

สาม การผูกเรื่องว่าเจ้าพ่อกาสิโนฮ่องกงยอมควักสินบนช่วยนายใหญ่ถึง 2 พันล้านบาท แลกกับการได้สิทธิ์ใน “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” ก็ขาดความสมจริง เพราะโครงการนี้ยังไม่มีรูปร่างชัดเจนใดๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนกล้าลงทุนถึง 2 พันล้านบาท แลกกับโครงการสวรรค์วิมานในอากาศ

อีกทั้งจะนัดรับสินบนกันทั้งที ดันยกทัพกันไปเที่ยวเฮฮากันถึง 10 กว่าคน นี่ก็ขาดตรรกะเช่นกัน

หากจะทำเรื่องเลวร้ายเช่นนั้น นัดกันเงียบๆ ในประเทศไทย จะง่ายกว่าหรือไม่?

มิหนำซ้ำ การไปรับเงินถึงฮ่องกงก็จะก่อภาระหนัก ใครจะกล้าขนเงิน 2 พันล้านบาท จะตั้งบัญชีไว้ที่ไหน หรือจะเปิดบัญชีไว้ที่บ่อนการพนันแล้วให้ไปเบิกเอง

หากหมอวรงค์ มีเวลาใจเย็นๆ กลับไปนั่งพิจารณาพิรุธทีละประเด็น ก็อาจมองเห็น “ความจริงลวง” ที่ตัวเองถูกขบวนการนี้หลอกใช้ ได้ไม่ยาก


คนจำนวนไม่น้อยอยากให้ทักษิณ ติดคุก เพราะถ้าทักษิณติดคุกแต่แรกก็จบไปแล้ว แต่วันนี้ข้อเท็จจริงคือ ทักษิณถูกปล่อยโดยมีเหตุผลหนึ่งก็คือ อัยการไม่คัดค้านการประกันตัว ประเด็นนี้สำคัญมาก คนที่อยากให้ทักษิณติดคุกทำไมไม่ไปบี้ที่อัยการ จะมีถุงขนมภาค 3 อีกหรือไม่ ไม่รู้ แต่ถ้าอัยการคัดค้านการประกันตัวแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ประกันก็คงจะยาก แต่เมื่ออัยการไม่คัดค้านเลย คดี 112 ศาลเคยให้ประกันตัวไปแล้ว ก็ย่อมให้ประกันตัวอีก

ส่วนเงื่อนไขการหนีหมายจับของนายทักษิณก็จบไปแล้ว เพราะได้กลับมามอบตัว

เหล่านี้คือ เหตุผลที่ศาลจะให้มีการประกันตัวได้ ไม่ว่าจะวิ่งศาล หรือไม่วิ่งศาลก็ตาม

กรณีนี้ถ้าฝ่ายหนึ่งจะเอาให้ได้ดั่งใจ คือ “ทักษิณไม่ได้ประกันตัว” ถามว่าจะมีโทษ หรือ เกิดประโยชน์มากกว่า?

เพราะตอนนี้การเมืองแบ่งเป็น 3 ขั้ว คือขั้วทักษิณ ขั้วอนุรักษ์นิยม และขั้วก้าวไกลและจะต้องมี 2 ขั้วขึ้นไปคือ 2 ใน 3 จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

ถ้าทักษิณวันนี้ติดคุก โดยมีพรรคก้าวไกลอยู่ ก็จะมีการบีบเกิดการนิรโทษกรรม ม.112 โดยทันที เพื่อช่วยนายใหญ่ ผลลัพธ์ก็มีอยู่สองแบบ คือ

หนึ่ง “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” แพ้ในสภาอย่างราบคาบ และมีการนิรโทษกรรมทางการเมือง และรวม 112 เข้าไปด้วย

สอง เกิดการต่อต้าน และเกิดการรัฐประหาร ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งอันตรายมาก

เพราะฉะนั้นสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน จึงไม่ใช่เวลาที่เอาแต่เรื่องอารมณ์ หรือ เอาแต่ที่ใจอยาก แต่ต้องคิดในเชิงยุทธศาสตร์ด้วยว่า ผลร้ายมันจะเกิดขึ้นอย่างไรต่อสถาบันสำคัญ

นอกจากนี้ ต่อให้ทักษิณประกันตัวได้ เรื่องก็ไม่ได้จบ ณ วันนี้ แต่ยังต้องผ่านศาลชั้นต้น-ศาลอุทธรณ์-ศาลฎีกา ซึ่งใช้เวลาอีกเป็นปี ๆ ดังนั้นต่อให้มีการจ่ายส่วยจริง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดตลอดไป ด้วยเหตุนี้ ตอนนี้ทักษิณก็ถือว่าตกนรกอยู่ทั้งเป็น

ภาพยุทธศาสตร์รวมแต่ละฝ่ายต่างสุดโต่งทั้ง 3 ขั้ว คือ


ขั้วทักษิณ - เอาแต่ได้ ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว ถ้าทักษิณยอมติดคุกแต่แรกที่กลับเข้ามาในประเทศไทย ไม่ไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ประเทศชาติก็เดินหน้าต่อไปได้แล้ว แต่นี่เห็นแก่ตัวจนคนเขารับไม่ได้ ไม่รู้จักการเสียสละ กินรวบอำนาจ แทรกแซงองค์กรต่าง ๆ ไปจนถึงส่งน้องเขยลงเลือกตั้ง สว.และวางไว้เป็นตัวเต็งประธานวุฒิสภา

ขั้วอนุรักษ์นิยม – เมื่อแพ้ราบคาบจากการเลือกตั้ง ไม่สามารถครองใจประชาชนได้ ก็มุ่งแต่จะสร้างเงื่อนไขเพื่อให้นำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งก็จะแพ้ราบคาบอีกและยิ่งแพ้มากกว่าเดิม

ขั้วก้าวไกล - ทั้ง ๆ ที่เรื่องอื่นมีให้แก้ไข ให้ทำตั้งเยอะ แต่กลับมัวนั่งคิดนั่งแค้น แต่เรื่อง ม.112, เรื่องสถาบันกษัตริย์ ไปจนถึงคิดเรื่องล้มสถาบัน ซึ่งสังคมก็รับไม่ได้

เพราะฉะนั้น “ใน 3 ขั้ว” นี้ ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียสละ มิฉะนั้นประเทศไทย สังคมไทยก็จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้


กำลังโหลดความคิดเห็น