รายงาน
ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการเยือนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคณะทูตจากประเทศมุสลิม 8 ประเทศ ได้แก่ บรูไน อียิปต์ อิหร่าน มาเลเซีย มัลดีฟส์ ไนจีเรีย อินโดนีเซีย และอุซเบกิสถาน พร้อมด้วยเอกอัครราชทูต และผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ ในโครงการเสริมสร้างความเข้าใจและสานสัมพันธ์คณะทูตกลุ่มมุสลิม ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 11-13 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา
กิจกรรมนี้จัดขึ้นโดย ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ร่วมกับ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คณะทูตและเอกอัครราชทูตประเทศมุสลิมได้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงในพื้นที่ พร้อมเรียนรู้ความหลากหลายทางวัฒนธรรม เสริมสร้างความร่วมมือทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์
เช่น การเยี่ยมชมมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี พร้อมพบปะพูดคุยกับคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด 3 จังหวัด การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มรดกทางวัฒนธรรมอิสลามและศูนย์การเรียนรู้คัมภีร์อัล-กุรอาน จังหวัดนราธิวาส เพื่อนำเสนอการดำเนินการและการสนับสนุนของภาครัฐในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมอิสลามในพื้นที่ และพัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยว
การนำเสนอผ้าลายพระราชทาน "ผ้าลายสิริวชิราภรณ์" และ "ผ้าลายชบาปัตตานี" ต่อด้วยการเยี่ยมชมการสาธิตทำผ้าบาติก ของกลุ่มยาริงบาติก อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เพื่อนำเสนอการส่งเสริมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสตรีที่มีความโดดเด่นในการผลิตผ้าบาติกทำมือ โดยใช้เทคโนโลยีดั้งเดิมผสมผสานนวัตกรรมสมัยใหม่
การนำเสนอแนวทางการดำเนินงานและผลงานการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การพบปะพูดคุยระหว่างคณะทูต กับกลุ่มนักธุรกิจส่งออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และกลุ่มสถาบันการศึกษา ที่มีความร่วมมือด้านการศึกษากับกลุ่มประเทศ OIC
การนำเสนอโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อยกระดับการค้าชายแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เช่น โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งที่ 2 การนำเสนอเส้นทางรถไฟเชื่อมจังหวัดนราธิวาสกับเมืองตุมปัต รัฐกลันตัน เพื่อยกระดับสู่การเป็นเมืองคู่แฝด (Twin cities) กับรัฐติดชายแดนของมาเลเซีย
การเยี่ยมชมศูนย์การศึกษาการพัฒนาที่ดินพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส เพื่อนำเสนอการจัดการทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กับการพัฒนาอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน โดยเฉพาะ "โครงการแกล้งดินตามพระราชดำริ" ที่แก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวจัด ให้เกษตรกรกลับมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว พืชผัก พืชไร่ และไม้ผล
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศอ.บต. กล่าวว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติทั้งทางบกและทางทะเล ประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ 80 นับถือศาสนาอิสลาม มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ถือเป็นจุดแข็งที่เอื้อต่อการพัฒนาในหลายด้าน เช่น การเกษตร การท่องเที่ยว การพัฒนาธุรกิจและบริการฮาลาล
ปัญหาสำคัญในพื้นที่ก็คือ คุณภาพชีวิตด้านเศรษฐกิจ การศึกษา สาธารณสุข และปัญหาสังคมจิตวิทยา โดย ศอ.บต.ได้วางแนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่โดยน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน ควบคู่กับบูรณาการด้านการทำงานทุกภาคส่วน โดยมีกว่า 40 หน่วยงานร่วมขับเคลื่อนงานพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและสร้างสันติสุขในพื้นที่
ส่วนความร่วมมือกับประเทศโลกมุสลิม ที่ผ่านมามีหลายประเทศให้การสนับสนุนและประสานงานกับภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ เช่น การศึกษาต่อต่างประเทศ การประกอบพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ การร่วมมือด้านการค้า การท่องเที่ยว และมุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือในมิติต่างๆ อย่างใกล้ชิดและเกิดผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้านผลตอบรับจากคณะทูต เริ่มจาก เอกอัครราชทูตบรูไน กล่าวว่า หลังจากได้สัมผัสวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่ามีวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับบรูไน ซึ่งบรูไนมองเห็นโอกาสในการร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล นอกจากนี้ ยังมีเยาวชนไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไปศึกษาต่อที่ประเทศบรูไน ซึ่งจะส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและวัฒนธรรมอีกด้วย
ด้านเอกอัครราชทูตอียิปต์กล่าวชื่นชมการนำเสนอข้อมูลให้เกิดความเข้าใจพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้น ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง พร้อมชื่นชมรัฐบาลไทยที่สนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาพื้นที่ แม้จะไม่ได้มีพื้นที่ติดกับประเทศไทย แต่ก็มีข้อเสนอแนะบางประการ
โดยมีสองเสาหลัก ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ยกระดับความร่วมมือส่งเสริมด้านการค้าการลงทุน โดยยินดีที่จะเชิญนักลงทุนอียิปต์เข้ามาลงทุนในไทย พร้อมเชิญนักลงทุนไทยไปลงทุนที่อียิปต์ และด้านสังคม ส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา ซึ่งปัจจุบันมีนักศึกษาไทยไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรจำนวนมาก ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพัฒนาระหว่างไทยกับอียิปต์ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่อุปทูตมาเลเซียกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-มาเลเซียที่มีในทุกระดับ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน อยากให้พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่ฟรีโซน (Free Zone) ที่มีความเป็นกลาง นอกจากนี้ มาเลเซียยังมีส่วนร่วมในการพูดคุยเจรจาเพื่อสันติภาพ คาดว่าจะประสบความสำเร็จในปี 2570
ขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนการพูดคุยเพื่อให้เกิดสันติภาพ ซึ่งทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ก็รู้สึกเสียใจและเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ไทยและมาเลเซียมีภารกิจร่วมกันหลายประการเรื่อยมา เช่น เรื่องความมั่นคง การท่องเที่ยว ความร่วมมือตามแนวชายแดน อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล และการพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญรุดหน้าต่อไป
ส่วนอุปทูตไนจีเรียกล่าวชื่นชมรัฐบาลไทยที่พัฒนาคุณภาพชีวิตในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง รับรู้สิ่งที่รัฐบาลไทยได้ลงมือทำ และรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างละมุนละม่อมและนุ่มนวล จึงขอให้กำลังใจรัฐบาลต่อไป
นายธนวัต ศิริกุล รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม การเชิญคณะทูตมุสลิมครั้งนี้เพื่อให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของคนในพื้นที่ รวมทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ และความร่วมมือทั้งด้านการศึกษา สังคม วัฒนธรรม ซึ่งได้มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่
ที่ผ่านมามีความพยายามพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่จากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน จากการพูดคุยเห็นว่าพื้นที่แห่งนี้มีศักยภาพ ทำอย่างไรที่จะเกิดความร่วมมือเชิญชวนให้คนมาเที่ยว โดยมีจุดเชื่อมโยงเดียวกันคือศาสนา เท่าที่พูดคุยคณะทูตทุกคนก็ประทับใจ และจะกลับมาอีกในฐานะนักท่องเที่ยว เมื่อได้รับความเชื่อมั่นเชื่อว่าจะมีสิ่งที่ดีตามมา และสิ่งท้าทายลดน้อยลง
"ถ้ามองจากความตั้งใจและความพร้อมของประชาชนในพื้นที่ด้วยสายตาที่เป็นมิตร เมื่อลงพื้นที่ทุกคนพร้อมยิ้มแย้มแจ่มใส ตื่นเต้นดีใจที่ได้พบปะผู้แทนจากประเทศต่างๆ ได้เห็นถึงความพร้อมในการต้อนรับของประเทศไทยที่ไม่น้อยหน้าใคร โดยมีจุดแข็งด้านวัฒนธรรมด้วยรอยยิ้ม ซึ่งรับรู้ได้ถึงความตั้งใจว่าจะเชิญชวนนำเสนอสิ่งที่ดี สิ่งสำคัญก็คือ คณะทูตได้เห็นด้วยตัวเอง เชื่อว่าหลายคนกลับไปด้วยสิ่งประทับใจและต่อยอดกันได้"
ขั้นตอนต่อไปคือการสานต่อ สอบถามความต้องการว่าประทับใจประเด็นไหนเป็นพิเศษ ด้านไหนที่จะร่วมมือกันในอนาคต แม้ต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยได้เริ่มต้นในทางที่ถูกหลายปีแล้ว มีการสานต่อทั้งความร่วมมือด้านการศึกษา เปิดโอกาสให้เยาวชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นจุดเชื่อมโยงที่เรียกว่า People to People Connectivity ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน