xs
xsm
sm
md
lg

ราคาทองผันผวนระยะสั้น อนาคตมีแต่พุ่งกับพุ่ง คาดใน 5 ปีทะลุบาทละ 8 หมื่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ราคาทองพุ่งต่อแน่ แม้ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาจะผันผวน แต่เป็นแค่สัญญาณหลอกทำกำไรระยะสั้น และทุบราคาเพื่อซื้อเก็บ ด้วยสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์การเมืองโลก อเมริกาหาเรื่องก่อสงคราม เพื่อแก้ปัญหาหนี้ของตัวเอง ทั่วโลกเกิดความไม่ไว้ใจเงินดอลลาร์เป็นประวัติการณ์ เทขายพันธบัตรสหรัฐ หันมาซื้อทองเก็บแทน บทวิเคราะห์โดยกองทุน Incrementum ชี้ชัดทองคำมีแต่ขาขึ้น คาดภายใน 5 ปี จะขึ้นอีก 1 เท่าตัว หรือคิดเป็นบาทละ 8 หมื่นบาท



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้วิเคราะห์สถานการณ์ราคาทองคำ ซึ่งในห้วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาเกิดปรากฏการณ์ “ความผันผวนของราคาทองคำอย่างรุนแรง ทั้งขึ้นและลงกลับไปมาได้ถึง 120 กว่าเหรียญต่อออนซ์ ถ้าเป็นราคาทองคำไทยก็ถือว่าราคาขึ้นลงนับพันบาท จนคนเกิดความสับสนอย่างมากว่าตกลงราคาทองคำต่อไปจะขึ้นได้หรือไม่ ถือถึงจุดสูงสุดแล้ว หรือกำลังจะร่วงยาวและแรงกันแน่

เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพ ในช่วงเวลานี้ อาจจะกล่าวได้ว่าความผันผวนของ ราคาทองคำ นั้นสะท้อนให้เห็นถึงภาพของสมรภูมิสงครามทางเศรษฐกิจ ระหว่างมหาอำนาจ 2 ขั้ว โดย ขั้วหนึ่ง คือสหรัฐอเมริกา และ อีกขั้วหนึ่ง คือจีนและรัสเซีย


โดยฝ่ายสหรัฐอเมริกาต้องการตรึงเงินดอลลาร์ให้รักษาคุณค่าได้ต่อไป

ส่วนฝ่ายจีน-รัสเซียและอีกหลายประเทศ ได้เทขายพันธบัตรและเงินดอลลาร์สหรัฐ และหันไปซื้อทองคำมาเก็บในทุนสำรองของประเทศตัวเองมากขึ้น

โดยเมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน คือต้นเดือนพฤษภาคม มีข่าวการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ ทำให้ราคาทองคำตกลง วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ราคาทองคำโลกอยู่ที่ราคา 2,303 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำในประเทศไทยรับซื้ออยู่ที่บาทละ 40,000 บาท ราคาขายอยู่ที่บาทละ 40,100 บาท


ผ่านไป 14 วัน มีการพบกันระหว่างนายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย กับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนระหว่างวันที่ 16-17 พฤษภาคม 2567 คือสัญญาณการปฏิบัติการครั้งสำคัญของรัสเซียในอีกไม่นาน ในวันนั้น ราคาทองคำโลกอยู่ที่ราคาประมาณ 2,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำในไทย ปรับราคาขึ้นถึง 4 ครั้ง ราคาเพิ่มขึ้นในรอบ 2 สัปดาห์ ประมาณบาทละ 750 บาท ปิดที่ราคารับซื้อบาทละ 40,750 ราคาขายที่บาทละ 40,850 บาท

พอถึง วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมีข่าวสำคัญ ราคาทองคำได้ทะลุเพดานที่สำคัญทางเทคนิคขาขึ้นกรอบใหม่ ถึงขนาดที่ทำลายสถิติราคาทองคำสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือสูงสุดถึง 2,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์(ราคาเพิ่มขึ้นมาถึง 137เหรียญสหรัฐใน 2 สัปดาห์เศษๆ)

โดยใน วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2567 ราคาทองคำปรับตัวถึง 16 ครั้งภายใน 1 วัน ปิดที่ราคารับซื้อที่บาทละ 41,500 บาท ราคาขายอยู่ที่บาทละ 41,600 บาท โดยเฉพาะข่าวประธานาธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านเสียชีวิตเพราะเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ตก


หลังจากนั้นอีก 2-3 วัน ก็เป็นที่ชัดเจนว่า เฮลิคอปเตอร์ตกครั้งนั้น เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่การฆาตกรรม สำทับด้วยข่าวที่ธนาคารกลางสหรัฐจะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลง (อย่างที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์)

หลังจากนั้นราคาทองคำก็ร่วงลงอย่างรุนแรงถึงจุดต่ำสุด วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2567 คือประมาณ 2,330 เหรียญต่อออนซ์ ในประเทศไทยโชคดีหน่อยที่เงินบาทอ่อนทำให้ราคายังไม่ร่วงลงรุนแรงอย่างที่ควรจะเป็น โดย วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม 2567 สมาคมค้าทองคำประเทศไทย มีการปรับราคามากถึง 7 ครั้งภายในวันเดียว โดยปิดราคารับซื้อที่บาทละ 40,500 บาท และขายที่บาทละ 40,650 บาท

จนหลายคนชักไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ทองคำจะเป็นไปอย่างไรต่อไป ?

“สำหรับผมแล้วการวิเคราะห์ทองคำในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ การวิเคราะห์ให้น้ำหนักผ่านภูมิรัฐศาสตร์ เป็นปัจจัยสำคัญสูงที่สุด เหนือกว่าการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจการเงินทั่วไป หรือนักวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค


“และถ้าใครติดตาม รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ มาตลอดคงจำได้ว่า ใน Ep 215 ที่ผมออกมาพูดในหัวข้อเรื่อง “อเมริกาหนี้ท่วม ดอลลาร์ล่มสลาย” เมื่อ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 หรือ 6 เดือนที่แล้ว ตอนนั้นผมวิเคราะห์ว่าธนาคารกลางจะเทขายพันธบัตรดอลลาร์และซื้อทองคำมากขึ้น ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับตอนนั้นราคาทองคำอยู่ที่ 1,938 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนราคาในประเทศไทยรับซื้อบาทละ 33,000 บาท และขายบาทละ 33,100 บาทเท่านั้น

“หากใครเชื่อผมตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วและซื้อตั้งแต่วันนั้นถ้าขายในวันที่สูงสุดคือ วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ถึงแม้ว่าช่วงนี้ราคาลงแต่ก็คงกำไรไปแล้ว เกือบ 25% ในระยะเวลา 6 เดือนเองนะครับ

“อย่างไรก็ตาม หลายคนที่เข้ามาฟังผม และตอนนั้นยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มาถึงวันนี้ก็คงมีคำถามว่ายังจะซื้อต่อได้ไหม ผมก็ยังยืนยันว่าราคาทองคำจะยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป ขอเพียงรอจังหวะเพียงการย่อตัวลงทางเทคนิกบ้างเท่านั้น หรือในจังหวะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นที่ทำให้ราคาทองคำถูกลงจึงค่อยเข้าไปซื้อ”


เหตุผลที่กล้าฟันธงอย่างนี้ก็ เพราะการขึ้นราคาทองคำหลายระลอกครั้งนี้เกิดขึ้น เพราะการไม่ไว้ใจเงินสกุลดอลลาร์อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โดย อเมริกาหนี้ท่วมและพิมพ์แบงก์ไม่หยุด และเป็นตัวบีบให้อเมริกาต้องสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เพื่ออ้างเหตุในการชักดาบ ยึดทุนสำรองประเทศเจ้าหนี้มาล้างหนี้ตัวเอง


ดังนั้น ปัจจัยการขึ้นทองคำจึงอยู่รอบด้าน เต็มไปหมดในลักษณะ “ถูกล้อม” และ “รุกฆาต” ได้แก่

1.ถ้าดอกเบี้ยธนาคารกลางอเมริกาลดลง พันธบัตรอเมริกายิ่งผลตอบแทนต่ำ ราคาทองคำก็ยิ่งสูงเพิ่มขึ้น เพราะขนาดตอนนี้ดอกเบี้ยไม่ลดลง ราคาทองคำยังขึ้นไม่หยุด เลยทำให้ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐไม่ยอมลงซักที

2.ถ้าดอกเบี้ยธนาคารกลางอเมริกาไม่ลดลง ดอกเบี้ยยิ่งท่วมสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องจบด้วยการพิมพ์แบงก์ดอลลาร์เพิ่ม หรือ ทำ QE ทำให้เงินดอลลาร์ยิ่งท่วมโลกขึ้น ดอลลาร์ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ คนยิ่งแห่งซื้อทองคำ ราคาทองคำก็ต้องสูงยิ่งขึ้น

3.อเมริกาจึงเหลือหนทางเดียว คือทำสงคราม และอ้างเหตุความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในการเข้ายึดทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศคู่ขัดแย้งมาชำระหนี้

แต่เกิดสงครามเมื่อไหร่ เงินเฟ้อยิ่งขึ้น ราคาทองคำขึ้นทันทีและแรงยิ่งกว่านี้

และเมื่อทุกประเทศอ่านสถานการณ์ได้เหมือนกัน ธนาคารกลางของทุกประเทศจึงต้องเทขายพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐทิ้ง และเปลี่ยนเป็นทองคำให้มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นในทุนสำรองระหว่างประเทศ


ตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือ ไตรมาสแรกของปี 2567 จีนได้ขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกาทิ้ง 53,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และไปซื้อทองคำและโภคภัณฑ์อื่น ๆ แทน

เพราะไม่ว่าจะออกทางไหน ทองคำก็ต้องมีราคาแพงขึ้นยาวแน่นอน

ยิ่งในกลุ่มประเทศ“เจ้าหนี้”พันธบัตรของสหรัฐอเมริกา หรือเข้าร่วมกับกลุ่ม BRICS ยิ่งต้องมีความคิดรีบลดการถือครองดอลลาร์ลดลงให้เร็วที่สุด เพราะมีโอกาสตกเป็นเป้าหมายการสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งจากสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน

ประกอบกับการที่มีกรณีการยึดทุนสำรองของรัสเซียด้วยแล้ว ประเทศไหนรีบซื้อทองคำมาถือครองจริง ๆ ในประเทศเร็วที่สุด ก็เท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงในการถูกยึดทุนสำรองที่เป็นเงินหรือพันธบัตรดอลลาร์สหรัฐได้

ดังนั้นคำว่า "In God we trust" บนธนบัตรสหรัฐอเมริกา ที่แปลว่า ให้เชื่อเงินดอลลาร์ดั่งพระเจ้ากำลังจะล่มสลาย และกำลังไปสู่การพลิกโลกไปสู่ In Gold we trust หรือ เราเชื่อในทองคำ แทน


นอกจากการวิเคราะห์ผ่าน “ภูมิรัฐศาสตร์” แล้ว ยังมีการวิเคราะห์ที่น่าสนใจอีก 2 บทวิเคราะห์ ดังนี้

บทวิเคราะห์แรกที่เป็นงานวิจัยอย่างเป็นระบบ พบทองคำมีแต่ขาขึ้น

บทวิเคราะห์ราคาทองคำที่มีการวิจัยอย่างเป็นระบบ เผยแพร่เมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม 2567 ของกองทุนชื่อ Incrementum AG ตั้งอยู่ประเทศลิกเตนสไตน์ แต่บริหารการลงทุนที่เน้นความยั่งยืน ซึ่งนอกจากจะเป็นกองทุนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนแล้ว ยังเป็นกองทุนได้รับรางวัลกวาดมาจำนวนมากในยุโรป

ความสำคัญของกองทุนนี้คือการเผยแพร่ในรูปของงานวิจัยโดยเฉพาะการวิเคราะห์เรื่องราคาทองคำมาต่อเนื่องหลายปีแล้ว ถึงขั้นมีวารสารการวิเคราะห์ทองคำชื่อ “In Gold we trust” และมีการวิเคราะห์ว่าราคาทองคำจะขึ้นในปี 2567 นี้

โดยงานวิเคราะห์ฉบับเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 หรือ สัปดาห์ที่แล้วนี้เอง ขึ้นหน้าปกว่า “The New Gold Playbook” แปลเป็นไทยว่า “คู่มือทองคำฉบับใหม่”


บทวิเคราะห์ชุดนี้มีการพิจารณาข้อมูลความสัมพันธ์หลายมิติ ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่

1.“ราคาทองคำ” เป็นอิสระจาก “มูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ” แล้ว

2.สมาชิกประเทศ BRICS เพิ่มขึ้นทำให้ขนาดเศรษฐกิจของ BRICS มีสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลกอิทธิพลแซงสหรัฐอเมริกาแล้ว

3.ก่อนสงครามรัสเซียกับยูเครนธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 118 ตันต่อปี แต่หลังสงครามรัสเซียกับยูเครนในปี 2565 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2567 ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 291 ตันต่อปี

4.กลุ่มประเทศ BRICS ครอบครองกำลังการผลิตน้ำมันไปแล้ว 43% ของโลก และการสำรองน้ำมันถึง 44% ของโลกแล้ว อิทธิพลของเงินดอลลาร์ในการซื้อน้ำมันทั่วโลกย่อมมีสัดส่วนลดลงไปด้วย

5.ธนาคารกลางทั่วโลกส่งสัญญาณให้มีทองคำในทุนสำรองเพิ่มขึ้น 22% โดยจีนเร่งซื้อทองคำมากที่สุดตลอด 18 เดือนที่ผ่านมาจาก 1,950 ตัน มาเป็น 2,620 ตันเมื่อจบไตรมาสแรกในปี 2567 โดยไม่ว่าราคาทองคำจะแพงขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม ในทางตรงกันข้ามจีนก็เทขายพันธบัตรสหรัฐอเมริกา 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐออกจากทุนสำรองของจีน

นอกจากนั้น สัญญาณพันธบัตรสหรัฐอเมริกาในสัดส่วนทุนสำรองธนาคารกลางทั่วโลกก็ลดลง และซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่องด้วย

6.คนจีนมีเงินออมเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยไตรมาสสุดท้ายปี 2562 เริ่มเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ครัวเรือนจีนมีเงินออม 84% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีน แต่ปลายปี 2566 ครัวเรือนมีเงินออมเพิ่มขึ้นเป็น 108.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของจีน ผลคือครัวเรือนจีนนิยมไปซื้อทองคำจำนวนมาก รวมถึงวัยรุ่นจีนด้วย

7.ทองคำในโลกตะวันตกลดลงไปตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น รวมถึงการขายสุทธิของกองทุน ETF ทองคำ แต่ทองคำจริงกลับถูกย้ายไปในโลกตะวันออกแทน

8.หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากไตรมาส 4 ปี 2562หนี้สาธารณะสูง 23 ล้านล้านสหรัฐฯในขณะที่ปลายปี 2566หนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาสูงถึง 34 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯโดยปัจจุบันก็พุ่งขึ้นอีก 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ เท่ากับ 34.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว 1,250 ล้านล้านบาท)แล้ว


9.ราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นสัมพันธ์กับหนี้สหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และกำลังมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าหนี้สินของสหรัฐอเมริกาที่คาดเดาได้ว่าจะเพิ่มไม่หยุด โดยไตรมาสแรก 2567 มีดอกเบี้ยจ่าย 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐและพอถึงปีหน้า ปี 2568 ดอกเบี้ยหนี้สินของสหรัฐฯ อย่างเดียวจะเพิ่มเป็น 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

10.ทองคำและบิตคอยน์ต่างเป็นทรัพย์สินที่ราคาสูงขึ้นทั้งคู่ แต่ตลาดของทองคำมีขนาดใหญ่กว่าบิดคอยน์มาก และมีอัตราผลตอบแทนดีกว่า ดัชนีที่ติดตามและวัดผลการดำเนินงานของหุ้น 4,500 บริษัทจาก 23 ประเทศ โดย Morgan Stanley Capital International (MSCI)

นอกจากนั้นบทวิเคราะห์ยังมีการเปรียบเทียบเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กับญี่ปุ่น เยอรมัน ฯลฯ โดยหลังจากนำเสนอข้อมูลรอบด้านแล้ว เห็นว่าแนวโน้มการซื้อขายทองคำให้ส่งมอบจริงกำลังเพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นต่อทองคำกระดาษ ที่มีการเก็งกำไรในสัญญาล่วงหน้า และความไม่เชื่อมั่นต่อระบบการเงิน อีกทั้งธนาคารกลางของแต่ละประเทศที่มีเงินทุนไหลสุทธิ ก็พยายามจะหาการลงทุนอย่างอื่นเพื่อลดสัดส่วนพันธบัตรสหรัฐอเมริกาหรือเงินดอลลาร์สหรัฐในทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก

“สรุป ผมแนะนำธนาคารกลาง หรือ แบงก์ชาติ รวมถึงนักลงทุนทั่วไปที่มีศักยภาพว่าควรปรับพอร์ตด้วยการ ซื้อทองคำเพิ่มอีก 15% สำหรับการลงทุนระยะยาว และ ให้ลงทุนทองคำ 10% สำหรับการเก็งกำไร”

นอกจากนี้ บทวิเคราะห์ดังกล่าวได้สรุปคู่มือการลงทุนทองคำ 10 ประการ

ประการแรก ที่ผ่านมาดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกากับทองคำจะต้องสวนทางกัน คือ ดอกเบี้ยสหรัฐฯ สูงขึ้น ราคาทองคำ ต้องลดลง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ดอกเบี้ยขึ้นสูง ทองคำกลับราคาสูงขึ้นยิ่งกว่า ดังนั้นหมายความว่า อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นของสหรัฐอเมริกาจึงไม่สามารถหยุดยั้งราคาทองคำได้แล้ว

ประการที่สอง ธนาคารกลางทั่วโลกสะสมทองคำในทุนสำรองเพิ่มขึ้น แม้ราคาทองคำจะสูงขึ้นจากเดิมมากก็ตาม

ประการที่สาม การยึดทรัพย์ทุนสำรองของรัสเซียโดยอ้างปฏิบัติการทางทหาร ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวในการเปลี่ยนแปลงทุนสำรองของแต่ละประเทศ ทั้ง รัสเซีย จีน และ ตะวันออกกลาง ฯลฯ มีการเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินฝากทุนสำรอง พันธบัตร และทองคำ ซึ่งเดิมอยู่กรุงลอนดอน นิวยอร์ก และ แวนคูเวอร์ กำลังย้ายประเทศไปยังซีกโลกฝั่งตะวันออกแทน


ประการที่สี่ ทรัพย์สินที่เคยปลอดภัย (Safe Haven) กำลังมีความน่ากลัว และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทรัพย์สินเดิมกับทรัพย์สินในรูปแบบใหม่

ประการที่ห้า จากทองคำไหลเทออกจากทุนสำรองโดยสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1960 หรือเมื่อประมาณ 60 ปีที่แล้ว ได้กำลังกลายเป็นทองคำกำลังเพิ่มขึ้น ซึ่งนำโดยประเทศจีน ทำให้ผู้ซื้อผู้ขายไม่ได้อยู่ภายใต้การชี้นำโดยนักลงทุนโลกตะวันตกอีกต่อไป

ประการที่หก บรรยากาศทางการเงินเปลี่ยนไป การที่โลกตะวันตกเต็มไปด้วยหนี้มหาศาล เมื่อดอกเบี้ยแพงขึ้น ทำให้ปัญหาเรื่องหนี้อันมโหฬารกำลังกลายเป็นเรื่องที่ไม่มั่นคงทางการเงินและการคลังอีกต่อไป

ประการที่เจ็ด ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้เกิดความผันผวนของเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น

ประการที่แปด เป็นการอวสานสัดส่วนการลงทุน 60% ในหุ้น และ 40% ลงในพันธบัตรของนักลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เงินเฟ้อสูงขึ้น ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจึงไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมต่อไปได้

ประการที่เก้า กลยุทธ์ของธนาคารกลางที่เคยตั้งเป้าเงินเฟ้อที่ 2% ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป และทำให้ธนาคารกลางโลกตะวันตกเริ่มผ่อนคลายนโยบายและเปลี่ยนแปลงนโยบายเพื่อให้มีข้อจำกัดต่าง ๆ น้อยลง

ประการที่สิบ สินทรัพย์ที่ราคาไม่ได้กระทบจากอัตราเงินเฟ้อ เช่น ทองคำ เงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และบิตคอยน์ กำลังเพิ่มบทบาทสำคัญของนักลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ

รายงานชิ้นนี้เมื่อได้วิเคราะห์แล้ว คาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปี 2567 นี้ ราคาทองคำจะมีราคาไปถึง 2,665 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์และถ้าเก็บทองคำต่อไปอีก 5 ปีข้างหน้า ในตอนสิ้นปี 2573 ราคาทองคำจะมีราคาที่ 4,821 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

หรือหมายความว่าถ้าคุณซื้อทองแท่งในวันนี้ที่ราคา 2,419 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ภายในอีก 5 ปีข้างหน้าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว หรือ 106%

เพราะฉะนั้นราคาทองคำแท่งคิดเป็นเงินบาทไทยก็จะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 40,000 บาทต่อบาททอง เป็น 80,000 บาทต่อบาททองทันที

“ทั้งนี้ สำหรับผม ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์โลกน่าจับตามองที่สุดก็คือ ในจุดยุทธศาสตร์ของโลก หากเกิดสงครามรุนแรงเมื่อไหร่ ทองคำจะพุ่งเร็วยิ่งขึ้นกว่านี้อีก”

บทวิเคราะห์ที่สอง สัญญาณกดราคาทองคำเกิดจากการ “ปล่อยข่าว” สมประโยชน์การเทขายทำกำไร และธนาคารกลางแต่ละประเทศซื้อทองคำได้ถูกลง

สัญญาณจาก ไมเคิล เบอร์รี่ ลงทุนทองคำครั้งแรก


ในแวดวงนักลงทุนทั่วโลกที่มีผลงานการลงทุนระดับเทพ แม้จะไม่ได้รวยที่สุด แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักลงทุนที่แหลมคมที่สุดแห่งยุคคนหนึ่ง ก็คือ นายไมเคิล เบอร์รี่ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง ไซออน แคปิตอล (Scion Capital) และ ไซออน แอสเซต แมเนจเมนต์ (Scion Asset Management)

จุดเด่นของไมเคิล เบอร์รี่ คือ มักจะวิเคราะห์แม่นยำก่อนเกิดวิกฤติ เห็นวิกฤติการณ์ฟองสบู่ก่อนคนอื่น ซึ่งสวนกระแสนักลงทุนส่วนใหญ่ สิ่งที่เขาทำคือเทขายหุ้นในช่วงราคาดี ก่อนที่จะร่วงต่อมาเพราะวิกฤติแล้วจึงค่อยเข้าไปซื้อช้อนในราคาถูกภายหลัง

ชื่อเสียงของไมเคิล เบอร์รี่ ที่โด่งดังคือการทำนายวิกฤติ จนเป็นที่มาของการสร้างภาพยนตร์คือThe Big Shortในปี 2558 นำแสดงโดย คริสเตียน เบล, แบรด พิตต์, สตีฟ คาเรล และ ไรอัน กอสลิง เป็นต้น


ไมเคิล เบอร์รี่ สามารถเคยทำกำไรในปี 2545-2546 ตลาดหุ้นในสหรัฐสวนกระแสติดลบทั้งตลาด ด้วยการเทขายหุ้นทำกำไรสวนกระแสเทคโลยีที่มีแต่คนไปแห่ซื้อจนเกิดฟองสบู่จนราคาสูงเกินไป เพราะรู้ล่วงหน้าว่าราคาจะต้องลดลง จนเกิดฟองสบู่แตกเรียกว่า ฟองสบู่ดอทคอม (Dot com bubble) แต่กองทุนไซออนของไมเคิล เบอร์รี่ จึงสามารถกำไรอย่างมหาศาลสวนกระแสด้วยเพราะมองเห็นวิกฤติก่อนคนอื่น

ในช่วง 2 ปีก่อนเกิดวิกฤติอสังหาริมทรัพย์สหรัฐอเมริกาในปี 2551 (ค.ศ.2008) ไมเคิล เบอร์รี่ ได้อ่านขาดเป็นคนแรกๆ ว่าจะเกิดวิกฤติตลาด Subprime ในสหรัฐอเมริกา

เพราะไมเคิล เบอร์รี่ มองเห็นล่วงหน้า 3 ปีว่า ธนาคารปล่อยกู้ให้คนทั่วไปที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อซื้อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาแบบขาดวินัย จนเกิดฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหากพ้นช่วงเวลาดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำเพื่อจูงใจให้กู้ ไปสู่ดอกเบี้ยสภาพจริงหลังปี 2548 ตลาดสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์จะต้องเกิดวิกฤติแน่นอน

ไมเคิล เบอร์รี่ ได้เทขายอนุพันธ์ตราสารหนี้อสังหาริมทรัพย์ ก่อนเกิดวิกฤติในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ.2551 ฟองสบู่แตกกลายเป็นวิกฤติระดับโลก จนธนาคารกลางต้องพิมพ์แบงก์เพิ่มเข้ามาอุ้มที่เรียกว่ามาตรการ QE


แต่คนที่ทำกำไรอย่างมหาศาลในการเทขายอนุพันธ์ตราสารหนี้อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นสถานการณ์วิกฤติในสหรัฐอเมริกา กลับเป็น ไมเคิล เบอร์รี่ ที่กำไรเฉพาะส่วนตัวในปีเดียวไปถึง 3,400 ล้านบาท และทำกำไรให้ลูกค้าที่มาร่วมลงทุนได้อีก 24,000 ล้านบาท เพียงเพราะคาดการณ์สถานการณ์อย่างแม่นยำ ถูกต้อง และถูกจังหวะด้วย

หลังจากทำกำไรอย่างมหาศาล ไมเคิล เบอร์รี่ ในปี 2551-2552 ได้ปิดกองทุนที่เขาก่อตั้งขึ้น ตั้งแต่ปี 2543 เขาสรุปผลกำไรในระดับตำนานคือทำกำไรสูงถึง 489% และมาเน้นการลงทุนส่วนตัวมากขึ้น แต่ขึ้นชื่อในการมองเห็นวิกฤติในมูลค่าที่เกินจริงก่อนคนอื่นได้อย่างแม่นยำ

ต่อมาใน ปี 2556 ไมเคิล เบอร์รี่ได้เปิดกองทุนเฮดจ์ ฟันด์อีกครั้ง คือ ไซออน แอทเสท แมเนจเมนต์ และมาสนใจในการลงทุนในกลุ่ม น้ำ, ที่ดินในการทำเกษตร และทองคำ และก็ยังมีการเก็งกำไรแทงสวนเทขายตราสารอนุพันธ์หุ้นต่างๆ ส่วนใหญ่ในรูปของ Put Options มาเป็นระยะๆ ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาจะอยู่ในการลงทุนตราสารอนุพันธ์หุ้นและกองทุนเป็นหลัก

“แต่เมื่อไหร่ถ้าเราเริ่มเห็นวิกฤติ ผมเชื่อว่าการขยับของ ไมเคิล เบอร์รี่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่เห็นพร้อมกันทั้งโลก”

ในไตรมาสที่ 1 (มกราคม-มีนาคม 2567) ปีนี้ ไมเคิล เบอร์รี่ นำ ไซออน แอสเซท แมเนจเมนต์ เปลี่ยนแปลงสัดส่วนลงทุนในกองทุนทองคำเป็นครั้งแรกรวดเดียว 260 ล้านบาท และยังลงทุนเพิ่มในอีคอมเมิร์ซในจีน 2 แห่ง คือ อาลีบาบา เจดีดอทคอมด้วย และยังเพิ่มการลงทุนพลังงาน และสุขภาพเพิ่มขึ้น


ในขณะที่ไมเคิล เบอร์รี่ ขายหุ้นเทคโนโลยีอเมริกา ทั้ง หุ้นออราเคิล หุ้นกูเกิล หุ้นแอมะซอนทิ้ง สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนอเมริกันเอง ก็รับทราบรู้ถึงแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่กำลังเสื่อมถอยไปเรื่อย ๆ และเห็นว่าความรุ่งโรจน์กำลังจะย้ายมายังซีกโลกตะวันออกแล้ว

“แต่ อย่าเพิ่งครับเพราะการปล่อยข่าวสัดส่วนการลงทุนของไมเคิล เบอร์รี่นั้น เขาพูดถึงเรื่อง “อดีต” คือไตรมาสแรก ของปี 2567 แต่ตอนนี้มันอยู่ระหว่างไตรมาสที่ 2 แต่ปล่อยข่าวเปิดสัดส่วนการลงทุนของตัวเอง

“โดยแท้ที่จริงการปล่อยข่าวของผู้ที่มีอิทธิพลแบบนี้ อาจะเป็นส่งสัญญาณหลอก “เทขายทำกำไรระยะสั้น” ของกองทุนทองคำที่ไมเคิล เบอร์รี่ถือหุ้นอยู่ รวมถึงกลุ่มตลาดล่วงหน้าทองคำ และเฮดจ์ฟันด์ก็ถือโอกาสทำกำไรในช่วงนี้เพื่อรอช้อนซื้อรอบใหม่”

ข่าวที่สองคือช่วงตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2567 จีนได้ปล่อยข่าวออกมาว่าช่วงเดือนเมษายนนี้ จีนได้ซื้อทองคำเข้าทุนสำรองของจีนน้อยลงไปประมาณ 30% แต่ก็ยังซื้อสุทธิอยู่ นี่เป็นสัญญาณการกดราคาทองคำไม่ให้สูงเกินไป

พอเห็นข่าวที่เป็นการ “ส่งสัญญาณ” เช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นได้เลยว่ามีคนได้ประโยชน์ในการเทขายราคาทองคำได้ทั้งกลุ่มตลาดฟิวเจอร์ เฮดจ์ฟันด์ ในขณะที่ธนาคารกลางของจีนก็มีโอกาสซื้อทองคำได้ถูกลงด้วย

เพราะอย่างไรเสียทองคำก็มีแต่จะต้องแพงขึ้น เพราะ
1.แร่ทองคำนับวันจะหายากขึ้น จึงมีต้นทุนที่แพงขึ้นเรื่อยๆ
2.แร่ทองคำไม่ใช่เป็นเพียงทรัพย์สินในธนาคารกลาง และเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังใช่เป็นแร่ที่สำคัญในการผลิตอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ด้วย
3.ในภาวะมีความขัดแย้งสูงในทางภูมิรัฐศาสตร์ส่งผลทำให้มีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอยู่

“ผมไม่ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้การลงทุนทองคำในระยะสั้น เพราะมันมีแต่ข่าวปล่อยที่ปั่นและทุบราคาทองคำได้ตลอดเวลา แต่ผมสนับสนุนการลงทุนทองคำระยะยาว ให้ซื้อตอนราคาตกลงและเงินบาทที่แข็งขึ้น

“ทำไมผมถึงกล้าพูดว่าทองคำจะมีโอกาสขึ้นตลอดเวลา ? เมื่อเราดูดอกเบี้ยธนาคารกลางของอเมริกา เราดูอัตราเงินเฟ้อแล้ว ทั้งหมดนี้ไม่สำคัญเท่ากับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งในโลกนี้ ระหว่างอเมริกา จีน และรัสเซีย ผมเชื่อเลยว่าความขัดแย้งนั้นจะนำไปสู่สงครามย่อยๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง หรือแม้กระทั่งการที่กลุ่มนาโตกระเหี้ยนกระหือรือ กลัวว่ารัสเซียจะชนะยูเครน แล้วทำให้ตัวเองไม่มีหมากที่จะเอามาใช้ได้ อาจจะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ให้กองกำลังนาโตเข้าไปช่วยยูเครน

“รือความขัดแย้งในทะเลจีนตอนใต้ ภูมิรัฐศาสตร์ 3 จุดนี้ จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และจะไม่สงบลง มีแต่รุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ ท่านผู้ชมจำคำพูดผมไว้ ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความขัดแย้งสูงและรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นคือราคาทองคำที่จะวิ่งพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ดังจรวด ในตอนนั้น ท่านผู้ชมจับตาดูดีๆ นะครับ แล้วอย่าหาว่าผมไม่เตือน ขอให้เชื่อผมเถอะ (1) ผมไม่เล่นทองคำ (2) ผมไม่เล่นหุ้น แต่ผมชอบจับตาดูเหตุการณ์ แล้ววิเคราะห์” นายสนธิ กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น