วอนนอนคุกเสียแล้ว ป.ป.ช.ยังดื้อดึง ใช้ลูกเล่น ไม่ยอมเปิดเผยสำนวนการไต่สวนคดีนาฬิกาบิ๊กป้อม ให้ครบถ้วน ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด จน“วีระ สมความคิด” ในฐานะผู้ร้องต้องยื่นขอศาลให้ออกหมายจับมากักขังไว้ก่อน แต่ขณะเดียวกันข้อมูลในสำนวนคดี “บิ๊กต่อ” ที่ยังอยู่ในชั้นไต่สวนถือเป็นความลับ กลับหลุดถึงมือสื่อให้ "หมาแก่" นำไปออกรายการ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีศาลปกครองมีคำสั่งปรับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการ ป.ป.ช.รายละ 5,000 บาท ฐานไม่ยอมเปิดสำนวนการสอบสวนคดีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตามคำร้องของนายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน (คปต.) ซึ่งนอกจากจะปรับแล้ว คำสั่งของศาลปกครองยังบังคับให้ ป.ป.ช. และ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา คือการเปิดสำนวนสอบสวนภายใน 15 วัน ซึ่ง 15 วันดังกล่าว ก็ครบกำหนดไปแล้วเมื่อ วันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา
ซึ่งเมื่อ วันที่ 23 พฤษภาคม ที่นายวีระไปรับเอกสารจำนวน 3 รายการที่ศาลปกครองมีคำสั่งให้ ป.ป.ช. เปิดเผย และส่งมอบให้นายวีระก็เป็นไปตามคาด คือใช้เล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น
-การคาดดำเอกสารทั้งหน้า หรือ เกือบทั้งหน้า
-ใช้กราฟิกเป็นวงกลมดำรอบตัวหนังสือให้อ่านไม่ได้ใจความ
-สำเนาบัตรประชาชนของผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีก็คาดดำจนไม่รู้ว่าเป็นใคร มีตัวตนจริงหรือไม่ ?
-รูปที่อยู่ในสำนวนคดีก็มีการคาดดำหน้าตา และ อัตลักษณ์บุคคลทั้งหมดจนไม่รู้ว่าเป็นใครบ้าง?
-ภาพสำเนานาฬิกาต่าง ๆ ที่ปรากฎเป็นหลักฐานในคดีก็เป็นภาพจางๆ แทบมองไม่เห็น
ทั้งยังมีการคาดดำปกปิดข้อมูลอื่นๆ จนแทบจะไม่สามารถระบุความหมายใดๆ ได้คล้ายกับการส่งกระดาษเปล่า ๆ ให้นายวีระ
ด้วยเหตุนี้เมื่อได้รับเอกสารดังกล่าวแล้ว ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นายวีระ สมความคิด จึงออกมาเปิดเผยว่า ป.ป.ช. ยังให้เอกสารรายการที่ 1 และรายการที่ 2 ที่มีการคาดดำปิดทับข้อความแทบทุกหน้า และเอกสารรายการที่ 3 เชื่อว่ายังให้ไม่ครบที่สำคัญเอกสารทั้ง 3 รายการที่ได้รับในวันนี้จำนวนหลายร้อยหน้า ก็ไม่มีการลงนามรับรองสำเนาถูกต้องแม้แต่หน้าเดียว นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังอ้างว่าเอกสารที่ให้ทั้งหมดในวันนี้ เป็นเอกสารลับที่ห้ามเปิดเผย หากนำไปเปิดเผยจะมีความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 36 มีโทษจำคุก 1 ปี
นายวีระ ได้ประกาศว่า ขอแจ้งต่อสาธารณะให้ทราบโดยทั่วกันว่า เอกสารที่ได้รับในวันนี้ หากมีประเด็นใดที่ทำให้เชื่อว่า ป.ป.ช.มีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นายวีระจะนำมาเปิดเผยเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะในการป้องกันปราบปรามการทุจริต ไม่กลัวว่าจะถูก ป.ป.ช. ดำเนินคดี
สรุปแล้วล่าสุด นายวีระเพิ่งจะได้รับเอกสารรายการที่ 1 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 500 แผ่นซึ่งก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์เช่นเดิมแต่ที่ ป.ป.ช. ให้เอกสารไม่ครบนั้น มีความสำคัญเนื่องจากเป็นใบเสร็จและหลักฐานที่ยืนยันว่า ป.ป.ช.โกหก และที่สำคัญโกหกตอแหลกับศาลปกครองมาโดยตลอดว่า ที่ผ่านมาทั้ง 2 ครั้ง ป.ป.ช.ได้ให้เอกสารถูกต้องครบถ้วนแล้ว แต่มาในวันนี้ เมื่อ ป.ป.ช. ต้องจำนนกับคำบังคับของศาลปกครองกลาง ป.ป.ช. จึงยอมรับสารภาพด้วยการต้องส่งมอบเอกสารรายการที่ 1 อีก 500 แผ่น 500 หน้า ทั้งหมดนี้ จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุดกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต่อไป
“วีระ” รุกฆาต ขอศาลออกหมายจับ ป.ป.ช.เล่นแง่
เมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2567 นายวีระ สมความคิด ได้ไปยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครอง ออกหมายจับ เลขาธิการ ป.ป.ช.(นายนิวัติไชย เกษมมงคล ; ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และคณะกรรมการ ป.ป.ช.(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) มากักขังไว้ จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษาและคำบังคับของศาลในคดีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ไม่ยอมให้เอกสารจำนวน 3 รายการ แก่นายวีระ กรณีนาฬิกา 22 เรือนของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่อ้างว่าเป็นนาฬิกายืมเพื่อน
โดยคำร้องของนายวีระระบุว่า “เนื่องจากล่าสุด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ยังดื้อดึง ยังบังอาจท้าทายกฎหมาย ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งคำบังคับของศาลปกครอง โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ส่งมอบเอกสารที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยต่อผู้ฟ้องคดี อย่างไม่ถูกต้องและไม่ครบถ้วนตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ที่ สค 333/2562
“โดยเอกสารที่ส่งมอบรายการที่ 1 จำนวน 500 กว่าแผ่น มีการคาดแถบดำปกปิดเนื้อหาในเอกสารในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ทำให้ผู้ฟ้องคดี (นายวีระ สมความคิด) ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อความส่วนที่ปกปิดดังกล่าวเป็นข้อความใด หมายถึงอะไร ทำให้เสียประโยชน์ไม่สามารถตรวจสอบหาความจริงของผู้ที่กระทำความผิดได้ ทำให้เชื่อได้ว่าการปกปิดสาระสำคัญดังกล่าว มีเจตนาอำพรางความผิด
“นอกจากนั้นผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยังให้กระดาษที่แทบจะเหมือนกระดาษเปล่า ทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่าเอกสารหน้าดังกล่าวมีรายละเอียดอะไร หมายถึงเรื่องอะไร ไม่ได้ใจความอะไรเลย อีกจำนวนนับสิบแผ่น ทำให้เชื่อได้ว่ารายละเอียดต่าง ๆ ในหน้านั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองต้องการจะปกปิดไม่ยอมเปิดเผย
“ที่สำคัญเอกสารทั้ง 3 รายการ จำนวนกว่า 500 หน้า 500 แผ่น ซึ่งผู้ฟ้องคดี (นายวีระ) ได้รับในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 นั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองก็ไม่มีการลงนามรับรองความถูกต้องของเอกสารที่ส่งมอบให้แก่นายวีระ เลยแม้แต่หน้าเดียว จึงไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงตามที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้เปิดเผยแก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่?
“การกระทำดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงถือได้ว่ามีเจตนาฝ่าฝืนคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดอย่างชัดแจ้ง สมควรที่จะถูกลงโทษตามกฎหมาย เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างที่เลวต่อสังคมต่อไป”
“ผมคิดว่า ถึงเวลาต้องวัดใจ “ศาลปกครอง” แล้วละครับว่าจะกล้าจัดการกับหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นองค์กรอิสระปราบการคอร์รัปชั่นแท้ๆ แต่กลับกล้าละเมิดคำสั่งศาลแบบเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป เช่นนี้” นายสนธิกล่าว
ป.ป.ช. หลายมาตรฐาน
ขณะที่ ป.ป.ช.แสดงความดื้อดึงต่อคำสั่งศาล ไม่ยอมเปิดเผยสำนวนการสอบสวนคดีนาฬิกาหรูของ “บิ๊กป้อม” ทั้งที่คดีสิ้นสุดไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันรายละเอียดของสำนวนคดี พล.ต.อ.ต่อสักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)กลับหลุดออกมาอยู่ในมือของสื่อมวลชนบางคน ทั้งที่คดียังอยู่ในขั้นตอนการไต่สวน
รายการวิเคราะห์ข่าวเจาะลึกทั่วไทยของนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ หมาแก่ เมื่อ วันที่ 28 พฤษภาคม วันเดียวกันกับที่ ป.ป.ช.ออกมติให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.เนื่องจากมีปัญหาน่าสงสัยเรื่องบ้านในชื่อภรรยาที่ประเทศอังกฤษ ก่อนให้ทางคุณต่อศักดิ์ชี้แจงก่อนจะแจ้งข้อกล่าวหา
ในรายการวันดังกล่าวนายดนัย นำข้อมูลและภาพถ่าย ของ ป.ป.ช. มาเสนอข่าว โดยเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่อยู่ในสำนวนการไต่สวน พล.ตงอ.ต่อศักดิ์กับ ภรรยาคือ “กุ๊กไก่” นางนิภาพรรณ สุขวิมล
“ผมไม่ได้ติดใจอะไรกับการตรวจสอบทรัพย์สินของคุณต่อศักดิ์ กับ ครอบครัวหรอก แต่คำถามที่ ผมกับประชาชน ต้องถามไปยัง ป.ป.ช. ดัง ๆ ก็คือ ข้อมูลเหล่านี้มาอยู่ในมือ หมาแก่ ได้อย่างไร? ไหนว่า “ข้อมูลในสำนวนเป็นความลับ” ไม่สามารถเปิดเผยได้ ที คุณวีระ สมความคิด ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ ป.ป.ช. เปิดเผยสำนวนการไต่สวนกรณี “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” ของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ป.ป.ช. กับดึงแล้วดึงอีก ยื้อแล้วยื้ออีก อ้างโน่นอ้างนี่ จนศาลต้องสั่งปรับโทษฐานที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ทั้งที่การไต่สวนแล้วเสร็จ สำนวนการไต่สวนจึงควรต้องเปิดเผยสู่สาธารณะได้
“แต่นี่สำนวนการไต่สวนของ ต่อศักดิ์กับ ภรรยาอยู่ระหว่างการไต่สวน ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย แต่กลับมีการนำเอาข้อมูลบางส่วนมาเผยแพร่ ได้อย่างไร ซึ่งผิดกฎหมายอาญา หรือ ของแบบนี้อยู่ที่คุณเป็นคนของใคร ใครเป็นพรรคพวกก็ช่วยกัน ใครไม่ใช่พรรคพวกก็ตามขยี้ซ้ำ นี่หรือ คือ องค์กรปราบโกง เราจะเชื่อมั่น ป.ป.ช. ในยุคหลายมาตรฐานแบบนี้ได้อย่างไร
“คุณวัชรพลครับ คุณนิวัติไชยครับ คุณยังจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ยังทำนิ่งเฉยแบบนี้ต่อไปจริงๆหรือ เราจะอยู่กันแบบนี้ต่อไปจริง ๆ หรือ
“แล้วกรณีที่ ศาลปกครองกลางนัดให้ สำนักงาน ป.ป.ช. กับคุณวีระ ไปไต่สวนคู่กรณีทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ใน วันอังคารที่ 4 มิถุนายน 2567 เวลา 09.30 น. ที่ศาลปกครองกลาง ชั้น 3 ห้องพิจารณาคดี 10 และ ให้สำนักงาน ป.ป.ช. นำเอกสารที่ยังปกปิดและยังไม่ได้ส่งมอบให้กับคุณวีระ
“คุณนิวัติไชย เลขาธิการ ป.ป.ช. ก็อย่าหลบอยู่ใต้กระโปรง มีความกล้าหาญหน่อย ไปตามหมายเรียกของศาลปกครองเอง อย่าส่งลูกน้องผู้หญิงซึ่งตอบอะไรไม่ค่อยได้ และไม่สามารถตัดสินใจอะไรเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้ อย่าส่งลูกน้องไปอีกเลย คุณเองเป็น เลขาธิการ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 สมควรต้องไปด้วยตัวเอง กล้า ๆ หน่อย” นายสนธิกล่าว