xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนแย้ง! พี่ชายซื้อบ้านปรีดีสานต่อสร้างสังคมเท่าเทียม น้องชายติดสินบนหวังเช่าที่ดินทรัพย์สินไม่ต้องประมูล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



2 พี่น้องสุดย้อนแย้ง “ธนาธร” ซื้อบ้านปรีดี อ้างสานต่อภารกิจ 2475 สร้างประชาธิปไตย สังคมคนเท่ากัน ขณะ “สกุลธร” น้องชาย โดนคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่ 20 ล้านหวังเช่าที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์โดยไม่ต้องผ่านการประมูล จนถูกศาลสั่งจำคุก



ในรายการ  “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด น้องชายของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ถูกดำเนินคดีกรณีติดสินบนเจ้าหน้าที่จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อให้ได้เช่าที่ดินทรัพย์สินพระมหากษัตริย์โดยไม่ต้องผ่านวิธีการประมูล ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาจำคุกนายสกุลธร เป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อจูงใจให้กระทำการ และประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อจูงใจให้กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้แทนนิติบุคคล และเพื่อประโยชน์ของนิติบุคคล


ตามคำพิพากษา ศาลเห็นว่ากรณีที่นายสกุลธรติดสินบนเจ้าพนักงานและนายหน้า เป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาทเพื่อเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ จำนวน 2 แปลง ในซอยร่วมฤดี และย่านชิดลมนั้น มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 84 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และ มาตรา 123/5 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84

แต่เนื่องจากเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 ประกอบมาตรา 84 เพียงบทเดียว จำคุก 8 เดือน แต่ในทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงให้ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำนวน 1 ใน 4 คงจำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา

อย่างไรก็ตาม นายสกุลธรได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ โดยศาลตีราคาประกัน 150,000 บาท โดยไม่กำหนดเงื่อนไขใด ๆ หลังจากที่ญาตินายสกุลธรได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี


สำหรับนายสกุลธร นั้นเป็นบุตรคนที่ 4 ของนายพัฒนา และ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีพี่น้องรวมกัน 5 คน ได้แก่

1.นางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานอาวุโส กลุ่มบริษัทไทยซัมมิท,

2. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักการเมือง อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะก้าวหน้า

3. นางรุจิรพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารสนามกอล์ฟ พัฒนา กอล์ฟคลับ แอนด์ รีสอร์ท ถนนสาย 331 (พนมสารคาม-สัตหีบ) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

4. นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปัจจุบันอายุ 41 ปี

5. นายบดินธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(แทนพี่ชายนายสกุลธร ซึ่งต้องคดีสินบน)

ย้อนรอยคดีสินบนเช่าที่ดินทรัพย์สินฯ

คดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว ในปี 2560 ซึ่งเวลานั้น นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งจากคำชี้แจงในเวลาต่อมาของนายสกุลธรระบุว่า มีนายหน้าได้แนะนำให้ตนเองรู้จัก นายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช นายหน้าค้าที่ดิน ซึ่งอ้างว่าสามารถประสานให้ติดต่อกับ นายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อดำเนินการติดต่อให้จัดสรรที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม)ซึ่งเป็นทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ให้บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ฯ ได้สิทธิการเช่าที่ดินระยะยาว โดยไม่ต้องผ่านการประมูลแข่งขันตามขั้นตอนปกติได้


ก่อนหน้านี้ หากใครเคยขึ้นรถไฟฟ้า BTS แล้วขึ้นหรือลงที่สถานีชิดลม จะต้องเคยเห็นที่ดินผืนนี้ซึ่งเดิมทีเป็นที่ตั้งของบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) สำนักงานชิดลม ซึ่งเป็นที่ดินขนาด 12 ไร่ ใจกลางเมือง ติดกับแยกชิดลม และราชประสงค์ ใกล้กับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ห้างเซ็นทรัลชิดลม อยู่ตรงข้าม รร.มาแตร์เดอี และมีบันไดเชื่อมรถไฟฟ้าลงตรงหน้าที่ดินพอดี

ข่าวในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ใน ช่วง 6-7 ปีที่แล้วระบุว่า สัญญาเช่าที่ดิน 12 ไร่ของทีโอที สาขาเพลินจิต (ติด กฟน.สำนักงานใหญ่ ชิดลม) กำลังจะหมดลงในปี 2565 มีข่าวว่าทางสำนักงานทรัพย์สินฯ จะเปิดการประมูลผู้เช่ารายใหม่ในเร็วๆ นี้ งานนี้หลายค่ายต่างให้ความสนใจเข้าร่วมประมูล เนื่องจากถือว่าเป็นที่ดินผืนใหญ่ผืนท้ายๆ ในทำเลไข่แดงกลางใจเมืองที่เหมาะแก่การพัฒนาโครงการได้หลายแบบ ทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า สำนักงานให้เช่า และคอนโด รวมถึงการพัฒนาแบบมิกซ์ยูส

ค่ายค้าปลีกที่ตบเท้าแสดงความสนใจในที่ดินผืนนี้ เช่น กลุ่มเกษร กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มทีซีซีฯ และกลุ่มซีพี คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่าสรุปแล้วใครจะได้ที่ดินผืนนี้ไปและทำโครงการมาในลักษณะไหน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าการพัฒนาที่ดินผืนนี้คงมีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด และการพัฒนาน่าจะครบวงจรเพื่อใช้ศักยภาพของที่ดินให้เต็มที่ เนื่องจากที่ดินบริเวณนี้เคยมีการซื้อขายที่ดินสูงสุดถึง 2.5 ล้านบาทต่อตารางวามาแล้ว

นั่นคือราคาเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินแถวชิดลมในปัจจุบันนั่นขึ้นไปที่ 3-4 ล้านบาทต่อตารางวาแล้ว


ระหว่าง กลางเดือนมีนาคม 2560 ถึง 18 กันยายน 2560 นายประสิทธิ์ และ นายสุรกิจ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ร่วมกันทำเอกสารราชการของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ปลอม ชื่อหนังสือ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ ฝบอ.2000/0064 ลงวันที่ 18 กันยายน 2560 เรื่อง การพัฒนาที่ดินบริเวณองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ชิดลม) เรียนนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ... โดยตั้งแท่นลงนามเป็นชื่อ นายสุรพล เล็กเลิศผล นักบริหารงานอสังหาฯ แต่เป็นการลงนามปลอม โดยนายประสิทธิ์เป็นผู้ลงนามเอง

ใจความสำคัญของหนังสือปลอมดังกล่าวคือ“บริษัทเรียลแอสเสทฯ ได้ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ลงทุนในเบื้องต้นแล้ว สำนักงานทรัพย์สินฯ จึงใคร่ขอให้ท่านยื่นแผนการพัฒนาพื้นที่และการลงทุนของท่านภายใน 90 วัน ... ”


จากนั้น นายสุรกิจ จำเลยที่ 2 ได้นำหนังสือปลอมดังกล่าวไปแสดงให้นายสกุลธร นอกจากนี้ ได้มีการทำหนังสือปลอมอีกฉบับหนึ่ง ชื่อ หนังสือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่ ฝบอ. 2000/002 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2560 ถึงนายสกุลธร อีกฉบับเพื่อเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับแผนการพัฒนาที่ดินผืนดังกล่าวใน วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560

เมื่อทั้ง 2 คน ได้นำข้อมูลไปแจ้งต่อนายสกุลธร ว่า ที่ดินผืนดังกล่าวกำลัง จะหมดสัญญาเช่ากับ บ.ทีโอที โดยเสนอสัญญาสิทธิการเช่าที่ดิน (ปลอม) ให้กับนายสกุลธร จำนวน 500 ล้านบาทถ้วน จากนั้นได้เรียกรับเงิน งวดแรก จำนวน 5 ล้านบาท โดยอ้างถึงเอกสารข้อ 1 และ ข้อ 2 ทำให้นายสกุลธรหลงเชื่อ

โดยเมื่อนายสกุลธรหลงเชื่อ ก็ได้จ่ายเงิน งวดแรก จำนวน 5 ล้านบาท งวดที่ 2 จำนวน 5 ล้านบาท และ งวดที่ 3 จำนวน 10 ล้านบาท รวม 3 งวดเป็นเงิน 20 ล้านบาท

ใน เดือนธันวาคม 2563 เรื่องนี้ก็แดงออกมา โดยนายสกุลธร ตกเป็นข่าวว่าให้เงินใต้โต๊ะแก่เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ขณะนั้น) พร้อมนายหน้าเป็นจำนวน 20 ล้านบาท ทำให้ต่อมา มีการเปิดเผย คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ลง วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 พิพากษาจำคุกนายประสิทธิ์ อภัยพลชาญ เจ้าหน้าที่บริหารโครงการ ระดับ บ.4 แผนกโครงการธุรกิจ 1 กองโครงการธุรกิจ 1 ฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อเดิม) และนายสุรกิจ ตั้งวิทูวนิช นายหน้าค้าที่ดินอิสระ เป็นเวลา 6 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกคนละ 3 ปี

อย่างไรก็ตาม นายประสิทธิ์ และนายสุรกิจ พ้นโทษจากเรือนจำไปเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ในห้วงเวลาที่เรื่องราวของนายสกุลธรปรากฏเป็นข่าวโด่งดัง

หลังปรากฏเป็นข่าวดัง ในเมื่อ “คนรับสินบน” ถูกลงโทษจำคุกไปแล้ว สังคมก็ตั้งคำถามว่า ทำไมถึงไม่ดำเนินคดีกับ นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานเป็น “ผู้ให้สินบน” บ้าง 


ในที่สุด นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่นหนังสือถึง นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม 2563 เพื่อสอบถามว่าเหตุใดอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จึงไม่ฟ้อง นายสกุลธร เพราะตนเกรงว่าอาจจะซ้ำรอยคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทกระทิงแดง ภายหลังสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน ไม่ได้สอบสวนความผิดของนายสกุลธร แต่ได้แยกสำนวนคดีนายสกุลธรออกมาอีกคดีหนึ่ง อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ข้อกล่าวหาที่ว่าอัยการไม่ดำเนินคดี หรือสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธรจึงไม่เป็นความจริง

นอกจากนี้ นายวัชระยังได้ยื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สอบสวนเจ้าของคดีว่าเหตุใดถึงสั่งไม่ฟ้องนายสกุลธร จึงพบว่ากองปราบปรามสอบสวนในทางลับตั้งแต่ปี 2560 และได้ข้อมูลที่ทำผิดอย่างชัดเจน จึงได้ให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แจ้งความ โดยมี พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน

“สกุลธร” แถ “ค่านายหน้า” ไม่ใช่ “สินบน” เป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่จำเลย

อีกด้านหนึ่ง ปลายปี 2563 นายสกุลธรได้ออกแถลงการณ์ ชี้แจงจำนวน 3 หน้ากระดาษ ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ชี้แจงว่า ไม่เคยรู้จักนายประสิทธิ์ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นการส่วนตัว มารู้ภายหลังที่ตำรวจสืบคดีแล้วเท่านั้น แต่รู้จักนายสุรกิจ นายหน้าที่ดินผ่านคนรู้จัก อีกทั้งที่ดินบริเวณชิดลมตนไม่ได้ไปวิ่งหาที่ดินตั้งแต่แรก แต่เป็นนายหน้าเข้ามาเสนอที่ดิน ซึ่งมีคณะนายหน้าหลายคนรวมตัวเข้ามาเสนอที่ดิน ส่วนการชำระเงิน 20 ล้านบาทนั้น เป็นค่าจ้างในฐานะที่ปรึกษา ไม่ได้หลีกเลี่ยงการตรวจสอบ และเมื่อมีการยื่นเอกสารปลอม ทำให้ตนได้รับความเสียหาย เมื่อทราบภายหลังว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ ยังไม่มีนโยบายหาผู้เช่ารายใหม่ จึงได้ยกเลิกสัญญาและส่งหนังสือทวงหนี้ 2 ครั้ง ยืนยันว่าเป็นผู้เสียหายและไม่ได้ทำความผิดแต่อย่างใด

นั่นคือแนวทางการต่อสู้ของนายสกุลธร


อย่างไรก็ตาม คดีนี้กองปราบปรามเรียกเรียกนายประสิทธิ์ และนายสุรกิจมาสอบปากคำในฐานะพยานเพื่อขยายผลเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมาเคยสอบปากคำพยานทั้งสองในเรือนจำมาแล้ว แต่ทั้งสองไม่ให้ความร่วมมือ พยายามปกปิดผู้ที่รับเงินต่อไปอีกทอดหนึ่ง กระทั่ง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 นายสกุลธรเข้าพบกองปราบปรามตามหมายเรียก และในเวลาต่อมาก็มีการส่งเรื่องขึ้นถึงชั้นอัยการ และอัยการก็ส่งต่อให้ศาล

จนกระทั่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางมีคำพิพากษาออกมาเมื่อวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ให้ลงโทษจำคุกนายสกุลธรเป็นเวลา 6 เดือนในที่สุด

“อัยการปรเมศร์” หน้าแหกซ้ำ จาก“คดีบอส”ถึง “คดีสกุลธร”

คำพิพากษาคดีสินบนของนายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่เพียงเป็นการเปลือยคนในสกุล “จึงรุ่งเรืองกิจ” อย่างล่อนจ้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปลือยบุคคลในกระบวนการยุติธรรม อย่างอัยการคนหนึ่งที่ชอบออกมาเจื้อยแจ้วในคดีดัง ๆ หลาย ๆ คดีด้วย นั่นคือ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นอัยการอาวุโส สำนักงานอัยการสูงสุด ด้วย


แม้เรื่องนี้จะผ่านเวลามา 3-4 ปีแล้ว ในเวลานั้น นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม ซึ่งในตอนนั้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาด คดีอัยการสูงสุด ออกมาเดินสายปกป้อง น้องชายนายธนาธร แบบสุดลิ่มทุ่มประตู ทั้งให้สัมภาษณ์สื่อ แถมโพสต์เฟซบุ๊กอ้างด้วยนะว่า “เมื่อคนจ่ายเงิน(นายสกุลธร)ถูกหลอกให้หลงเชื่อ ก็น่าจะไม่มีความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน”

นอกจากนี้ นายปราเมศวร์ ยังใช้สถานะการเป็นอัยการของตัวเอง โพสต์เฟซบุ๊กยกแม่น้ำอ้างโน่นอ้างนี่เอา “คดีให้สินบน” นี้ไปเปรียบเทียบกับ “คดีหลอกลวงฝากคนเข้ารับราชการ” ว่า "คนจ่ายเงิน" หลงเชื่อว่า "คนรับเงิน" สามารถฝากเข้ารับราชการได้จริง แต่จริง ๆ แล้วฝากไม่ได้ เพราะฉะนั้น "คนจ่ายเงิน" น่าจะเป็นผู้เสียหาย เพราะถูกหลอกลวงไม่น่าจะ ไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิดกระทำความผิด !?!

“ประเด็น คุณปรเมศวร์ครับ วันนี้คำพิพากษาศาลออกมาแล้วว่านายสกุลธร มีความผิดจริง จากกรณีให้สินบน ศาลสั่งจำคุก 6 เดือน นายสกุลธร เป็นผู้ที่จ่ายเงินสินบน ไม่ใช่ผู้เสียหาย

“คุณปรเมศวร์ ทำไมไม่ออกมาโพสต์ ไลฟ์เฟซบุ๊ก ให้สัมภาษณ์สื่อ แย้งศาลด้วยเหตุผลและตรรกะที่บิดเบี้ยวของคุณต่อไป หรือที่ผ่านมาคุณล้วนแล้วแต่มีวาระซ่อนเร้น คุณรับเงานใครมาหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลมหาเศรษฐีอย่าง "บอส" วรยุทธ อยู่วิทยา คุณสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ และล่าสุดที่คุณออกมาปกป้องสุรเชษฐ์ หักพาล

“คุณปรเมศวร์ครับ ถ้าคุณยืนยันว่าคุณจะทำอย่างนี้ คุณจะลาออกจากราชการ ลาออกจากตำแหน่งอัยการสูงสุดดีกว่า คุณน่าจะมาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย เป็น Celebrity ด้านกฎหมายไปเลย เวลาพูดอะไรประชาชนจะได้ไม่สับสน เพราะที่ผ่านๆ มาเวลาคุณพูดอะไร รู้สึกว่าจะเป็นการออกโรงปกป้องผู้กระทำความผิดตลอดเวลา คุณไม่อายประชาชนคนดู อายตราครุฑ อายตำแหน่งหน้าที่ในราชการบ้างหรือ” นายสนธิกล่าว

น้องโดนคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่ทรัพย์สินฯ พี่ชายเดินสายเปิดตัวบ้านปรีดี


ในห้วงเวลาใกล้เคียงกันกับที่นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ คนในตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจถูกศาลตัดสินจำคุก 6 เดือน จากการให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะต้องการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยไม่ผ่านวิธีการประมูล ซึ่งชัดเจนว่าเป็นการมุ่งเอารัดเอาเปรียบเอกชนรายอื่น และสร้างความเสียหายให้กับสำนักงานทรัพย์สินฯ

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะก้าวหน้าก็ยกพลพรรคคนใกล้ชิดและมีความคิดเหมือน ๆ กันไปที่ฝรั่งเศส เพื่อทำพิธีเปิดบ้านนายปรีดี พนมยงค์ ที่ตัวเองซื้อเอาไว้ โดยอ้างว่า เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ปฏิวัติ 2475 และ จะทำเป็นพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานของผู้ถูกกระทำจากรัฐ


คนไปร่วมงานก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เช่น นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.พรรณิการ์ วานิช นายปิยบุตร แสงกนกกุล นายชำนาญ จันทร์เรือง กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นางสุดา พนมยงค์ บุตรสาวของนายปรีดี พนมยงค์ นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้สนับสนุนม็อบ 3 นิ้ว และขบวนการล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ตัวยง เป็นต้น


การที่นายธนาธรและบริวาร มัวแต่เคลื่อนไหวสานต่อภารกิจคณะราษฎร 2475 โดยอ้างว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน รวมทั้งเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการสร้างสังคมคนเท่ากัน ช่างย้อนแย้งกับคนใน “ครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ” น้องชายแท้ ๆ อย่างนายสกุลธร ที่มีพฤติกรรมติดสินบนเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เสียเอง

แม้จะยกแม่น้ำทั้งห้า อ้างว่าตนเองเป็น “ผู้เสียหาย” แต่คำตัดสินของศาลก็ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าการจ่ายเงิน 20 ล้านบาทดังกล่าวเป็นการกระทำทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินแปลงงามใจกลางเมือง โดยไม่ใช้วิธีการประมูลสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามปกติ เป็นการประกอบธุรกิจเอาเปรียบนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นแบบไร้คุณธรรม ขาดจริยธรรม และ ไม่มีธรรมาภิบาลอย่างสิ้นเชิง


กำลังโหลดความคิดเห็น