“ภูมิธรรม” มัวแต่โชว์กินข้าวเก่า 10 ปีเพื่อล้างภาความเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ขณะที่ภาคส่งออกกำลังทรุด ติดลบครั้งแรกในรอบ 8 เดือน ติดลบอันดับต้นๆ ของเอเชีย ซ้ำตลาดทุเรียนในจีนก็ถูกเวียดนามแซงขึ้นเบอร์หนึ่ง และส่อแววว่าปีนี้จะแพ้เวียดนามอย่างราบคาบ
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พยายามจัดฉากกินข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เก็บไว้ในโกดังในจังหวัดสุรินทร์เป็นเวลา 10 ปี โดยบอกว่าเป็นข้าวที่สามารถนำมารับประทานได้ตามปกติ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดหลักของความเป็นจริง สวนทางกับสามัญสำนึกและวิธีปฏิบัติของชาวบ้านทั่วไปที่เขาปลูกข้าว บริโภคข้าวกันมาเป็นร้อย ๆ ปี และผิดหลักวิทยาศาสตร์ เพราะนักโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์การอาหารต่างบอกว่าข้าวเก็บ 10 ปีนั้นอันตรายห้ามคนรับประทาน แต่แม้แต่นักสัตวศาสตร์ก็ยังบอกว่าแม้แต่สัตว์ก็กินไม่ได้ นอกจากเอาไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือ น้ำส้มสายชู
นอกจากนี้ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ออกมาเปิดเผยผลการตรวจตัวอย่างข้าว 10 ปีจากโกดังในโครงการรับจำนำข้าว ใน จ.สุรินทร์ ที่ทีมข่าวสถานีโทรทัศน์ช่องวันส่งไปให้ตรวจ โดยพบสารอะฟลาทอกซิน หรือ สารก่อมะเร็งที่มีอันตรายมาก อยู่ในระดับ 20 ส่วนในพันล้านส่วน (ppb) ซึ่งสะท้อนว่าอยู่ในระดับไม่ปลอดภัย ไม่ควรนำมารับประทาน
ส่วน รศ.ดร.รุ่งนภา พงศ์สวัสดิ์มานิต นักวิชาการจาก คณะอุตสาหกรรมเกษตร ม.เกษตรฯ ให้สัมภาษณ์กับทางสื่อไทยรัฐ อย่างชัดเจนว่าว่า ข้าวเก่าเก็บ นอกจากอันตรายจากสารตกค้างจากการรมควัน และพิษจากเชื้อราต่างๆ แล้ว พิษจากแบคทีเรียสาเหตุอาหารเป็นพิษ ก็เป็นเรื่องอันตราย ยิ่งในเรื่องรสชาติ การชิมด้วยคนเพียง 2-3 คนยังไม่เพียงพอ
แต่แม้จะถูกก่นด่าจากคนทั้งประเทศ ทุกภาคส่วน ตั้งแต่ชาวนา สื่อมวลชน ไปจนถึงนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ขนาดนี้แล้วนายภูมิธรรม กับสื่อมวลชนในเครือข่าย ก็ยังคงยึดมั่นกับภารกิจ“กินเพื่อนาย ตายช่างมัน”อย่างไม่ลดละ
เริ่มด้วย เมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2567 นายภูมิธรรมออกมาขู่ว่าสำหรับกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์ ตอนนี้จะยังไม่ถึงขั้นฟ้องร้อง แต่ถ้ายังไม่หยุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของตน คงต้องไปจัดการให้เหมาะสม หมายถึง กระทรวงพาณิชย์อาจจะดำเนินการฟ้องร้องในข้อหานำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
จากนั้นก็ให้สื่อในเครือข่าย โดยเฉพาะช่อง 3 ไม่ว่าเป็นรายการเรื่องเล่าเช้านี้ นายสรยุทธ สุทัศนจินดา, รายการข่าวสามมิติ ซึ่งจับมือกับ The Reporter ของ น.ส.ฐปณีย์ เอียดศรีไชย หรือ “แยม” ออกมาปกป้องเรื่องข้าว 10 ปีว่า ตรวจไม่พบสารพิษ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังให้หน่วยงานในสังกัดของรัฐบาลอย่างกระทรวงสาธารณสุขออกมายืนยันผลตรวจข้าวสาร 10 ปีอีก ว่านอกจากตรวจไม่พบสารพิษแล้ว ยังสามารถกินได้อย่างปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ
วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2567 นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงผลตรวจสอบข้าวสาร 10 ปี จากกระทรวงพาณิชย์ โดยระบุว่า
-จากการตรวจสอบพบว่า ทางด้านกายภาพและสิ่งแปลกปลอม พบมอดมีชีวิตและชิ้นส่วนแมลง
-จากตรวจสอบซ้ำ 2 ครั้ง ไม่พบเชื้อรา หรือสารอะฟลาท็อกซิน ,ไม่พบสารรมควัน , โลหะหนักปนเปื้อน อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
-ขณะที่การตรวจสอบคุณค่าทางโภชนาการ จากการตรวจสอบเปรียบเทียบกับข้าวสาร 4 ตัวอย่าง พบว่า คุณค่าทางโภชนาการ วิตามิน แร่ธาตุ และเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่แตกต่างกัน
“อย่าใช้คำว่าข้าว 10 ปี ต้องใช้คำว่าข้าวที่เราได้รับมาจากทางกระทรวงพาณิชย์ มีคุณค่าทางโภชนาการ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน ไม่แตกต่างจากข้าวที่บริโภคอยู่ในท้องตลาด แต่ผิดมาตรฐานสินค้าการเกษตรของเรื่องปลอมปน เพราะพบตัวมอดที่มีชีวิตซึ่งมันไม่ควรมี” นายแพทย์ยงยศ กล่าว
“ประเด็น คือข้าวเก็บไว้สิบปี การจะเอาแล็บตรวจ ต้องเปิดเผยชื่อแล็บ และไม่ควรตรวจแล็บเดียว แล้วที่ อาจารย์อ๊อด รศ.ดร.วีรชัย เอาข้าวจากนักข่าวช่องวัน มาตรวจ ทำไมตรวจเจอหมดเลย ตรงนี้จะตอบอย่างไร?
“ส่วนที่ นพ.ยงยศ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท ออกมาบิดเบือนเพื่อนักการเมือง เจตนาหลอกลวงประชาชน ข้าวที่เอามาตรวจไม่ได้ไปเก็บเอง นพ.ยงยศพูดเองว่าเป็นข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ส่งมาให้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน ทำไมไม่ไปตรวจหน้าโกดังเลย การตรวจข้าวต้องโปร่งใสหมด ต้องมีประจักษ์พยาน” นายสนธิ กล่าว
นอกจากนี้ ลูกน้องโดยตรงของนายภูมิธรรม อย่าง นายวัฒนศักดิ์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน ก็รีบตีปี๊บใหญ่เลยว่า อยากจะนำข้าวมาระบายเพื่อนำเงินคืนกลับมาทางรัฐ ได้ใช้เซอร์เวเยอร์กลางกับมาตรฐานระดับโลก ผ่านกองลงไป 15 ชั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจ เพราะทางกระทรวงก็อยากจะรู้เหมือนกันจะได้ให้พี่น้องประชาชนสบายใจ เพราะฉะนั้นเรียนว่า ข้าวไทยต้องไปต่อ
“ผมถามหน่อยจะไปต่อยังไง เพราะแค่ข่าวว่า รัฐบาลเตรียมเอาข้าวเก่าอายุ 10 ปีออกมาขาย และนายภูมิธรรมบอกว่าคนไทยไม่ได้กินหรอก เพราะจะส่งออกไปแอฟริกา เพราะคนแอฟริกันชอบกินข้าวเก่า แค่นี้ก็แตกตื่นกันทั้งแอฟริกาแล้ว” นายสนธิ กล่าว
คนไนจีเรียโวยไทยจะขายข้าวข้ามทศวรรษให้คนแอฟริกา
สัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 เว็บไซต์ businessday.ng เว็บไซต์ข่าวธุรกิจของไนจีเรีย เผยแพร่รายงานระบุว่า เวลานี้มีความกังวลและความหวั่นเกรงเพิ่มมากขึ้นในไนจีเรีย ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของแอฟริกาเกือบ 220 ล้านคน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ข้าวจากโครงการจำนำข้าวที่เก็บเอาไว้อายุกว่า 10 ปีของไทยจะถูกขายไปยังทวีปแอฟริกา และประเทศไนจีเรีย ตามคำประกาศของรัฐบาลไทย
รายงานดังกล่าวระบุด้วยว่า ประเทศไทยวางแผนที่จะเปิดประมูลข้าวจำนวน 150,000 กระสอบที่ถูกเก็บไว้ในโกดังมานาน 10 ปี โดยคาดว่าจะทำรายได้เข้ารัฐราว 200-400 ล้านบาท แต่การเปิดประมูลดังกล่าว กลับถูกประชาชน และนักวิชาการด้านโภชนาการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
ในส่วนของชาวไนจีเรียเอง เมื่อได้ทราบข่าวดังกล่าวก็ออกมาให้ความเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้าวต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นเรื่องความปลอดภัยของอาหาร และการตรวจสอบต่าง ๆ ที่อาจมีการดำเนินการอย่างลวก ๆ
ใน แพลตฟอร์ม X ผู้ใช้คนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามอยู่ราว 25,000 คน โพสต์ โดยอ้างอิงต้นเรื่องจากสำนักข่าวในประเทศไทยเป็นรูปนายภูมิธรรม เวชยชัย โดยระบุว่า“ตอนนี้แม้แต่ชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็พยายามเอารัดเอาเปรียบพวกเรา”
ขณะที่ยังมีผู้ชาวแอฟริกาตั้งคำถามใน X ด้วยเช่น
-เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอาย ผมมั่นใจว่าข้าวบางส่วนจะต้องถูกส่งไปที่ไนจีเรีย"
-ข้าว 10 ปีแล้วสารอาหารยังมีอยู่ไหม?
-เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่แอฟริกานั้นเป็นเหมือนบ่อทิ้งขยะชั้นดี
ทั้งนี้ กลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกา ถือเป็นหนึ่งในผู้ซื้อหลักของข้าวไทย เนื่องจากปริมาณการซื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวบนเว็บไซต์ โดยในช่วงปี 2566 ถึง 2567 ประเทศไทยได้กลายเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับสองของโลกด้วยปริมาณ 8.2 ล้านตัน
แม้ว่าไนจีเรีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในทวีปแอฟริกาจะไม่อยู่ในรายชื่อประเทศที่นำเข้าข้าวจากไทยติดอันดับต้นๆ เนื่องจากก่อนหน้านี้ธนาคารกลางของไนจีเรียมีนโยบายในการจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสำหรับผู้นำเข้าข้าว เพื่อเอื้อให้กับผู้ปลูกข้าวภายในประเทศ ทำให้ข้าวนำเข้าส่วนใหญ่ของไนจีเรียนั้นมีต้นทางมาจาก ประเทศเบนินและโตโก ผ่านการลักลอบผ่านแดนทางบก
ด้าน นายเจมส์ มาร์ช ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยด้านอาหาร และผู้อำนวยการบริหารจุดวิเคราะห์อันตรายและจุดควบคุมวิกฤต (HACCP) กล่าวว่าโดยปกติแล้วข้าวอายุ 10 ปีจะไม่มีสารอาหารหลงเหลืออยู่แล้ว ทั้งยังย้ำด้วยว่า ข้าวอายุ 10 ปี อาจมีสารพิษ และสารเคมีอันตรายปนเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยขึ้นอยู่กับว่าในการเก็บรักษาข้าวของโกดังนั้น ๆ ใช้สารเคมีชนิดใด
“มันไม่มีสารอาหารหลงเหลืออยู่ในข้าวที่เก็บไว้นานถึง 10 ปีหรอก การเก็บรักษาข้าวและธัญพืช โดยเฉพาะข้าวไม่ควรเกิน 5 ปี” นายมาร์ชกล่าว และว่า“โชคไม่ดีที่ข้าวเหล่านี้อาจจะไหลทะลักเข้าสู่ไนจีเรียเพราะการควบคุมพรมแดนที่หละหลวม รัฐบาลไนจีเรียต้องเร่งดำเนินการในเวลานี้ เพื่อรับประกันว่าเมื่อมีการประมูล ข้าวเหล่านี้จะไม่เข้ามายังประเทศของเรา และนั่นคืองานของ NAFDAC (อย.ของไนจีเรีย) และ SON (หน่วยงานมาตรฐานสินค้าของไนจีเรีย)”
“ประเด็นครับ คุณภูมิธรรมครับ ข้าวสิบปีที่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการ นักสัตวศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ เขียนตำราอาหารสัตว์ เขายังบอกเลยว่า อย่าว่าแต่ให้คนกินเลย ให้หมากินก็ยังไม่ได้ เอาไปทำได้อย่างมากคือเป็นน้ำส้มสายชู แอลกอฮอล์
“พอคนไทยที่รักชาติออกมาโวยวาย คุณก็อ้างว่าจะส่งออกข้าวไปให้คนแอฟริกา ไปด้อยค่าคนแอฟริกาว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ คนแอฟริกาก็มีสมองนะ เขาไม่ได้โง่เหมือนติ่งพวกคุณหรอก ไอ้ที่กินข้าวโชว์ทีวี ติ่งพวกคุณทั้งนั้น โง่ บางคนโง่ยอม โง่เพราะรับเงินรับทองมาเพื่อโชว์ออฟให้
“ส่วนที่คุณออกมาขู่ฟ่อๆ หลุดเรื่องนี้ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นกระทรวงพาณิชย์จะฟ้อง เท่าที่ผมทราบ ได้พูดคุยกับหลายคนในแวดวงนี้ ไม่มีใครเขากลัวที่คุณขู่เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นประชาชน สื่อมวลชน นักวิชาการ พรรคฝ่ายค้าน หรือตาสีตาสาทั่วไปก็ตาม เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณภูมิธรรม และพรรคเพื่อไทย พยายามทำอยู่นั้น คือการพยายามสร้างเรื่อง ปูทางเพื่อแก้ปมคดีจำนำข้าวให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หนีคดีจำนำข้าวอยู่ต่างประเทศ ให้สามารถกลับมาประเทศไทยได้แบบเท่ๆ เหมือนพี่ชาย คือคุณทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง
“เพราะฉะนั้นพวกผมและคนทั่วไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่เพียงไม่กลัวคุณนะ เขาเห็นแล้ว เขาได้แต่หัวเราะกับสิ่งที่คุณทำ ว่ามันโคตรตลกเลย และไร้สาระมาก แล้วเขารู้อยู่แล้วว่า ทำไมคุณทักษิณ ถึงจับคุณมานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็เพื่อภารกิจในการเดินเรื่องล้างผิดให้น้องสาวอย่างเดียว ไม่สนใจว่าสินค้าภาคการเกษตร ภาคการค้า ภาคการส่งออกของไทยนั้นจะฉิบหายหรือตกต่ำลงไปแค่ไหน” นายสนธิกล่าว
ส่งออก มี.ค.ติดลบครั้งแรกรอบ 8 เดือน แถม 3 เดือนแรกส่งออกหดตัว 0.2%
ถ้าติดตามตัวเลขเศรษฐกิจกับการส่งออกอย่างใกล้ชิดจะทราบดีกว่า ตอนนี้ภาคการส่งออกสินค้าของไทยในมือนายภูมิธรรม รมว.พาณิชย์คนนี้นั้นตกอยู่ในภาวะย่ำแย่อย่างยิ่ง กล่าวคือ
-ในเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา มูลค่าการส่งออกของไทยมีมูลค่า 24,960.6 ล้านดอลลาร์ หดตัว 10.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ถือเป็นการกลับมาติดลบครั้งแรกในรอบ 8 เดือน
-ส่วนภาพรวมการส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้ ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม ก็ติดลบอยู่ 0.2%
-ทั้งนี้เมื่อเทียบตัวเลขของไทยกับตัวเลขของประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ในภูมิภาคทยอยประกาศตัวเลขการส่งออก ปรากฎว่า การส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม 2567 นี้ติดลบสูงที่สุดในภูมิภาค คือ การส่งออกของจีนติดลบ 7.5% มาเลเซียติดลบ 6.1% ,อินโดนีเซียติดลบ 4.2% สิงคโปร์ติดลบ 3.4% ไต้หวันบวก 18.9%และ เวียดนามบวก 13.0%
ทุเรียนไทยพ่ายเวียดนามยับ บทพิสูจน์ “อ้วน ภูมิธรรม” ไร้น้ำยา
ที่น่าสนใจคือ สินค้าเกษตรของไทย ที่นอกจาก“ข้าวไทย”ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้สูญเสียแชมป์การส่งออกให้กับอินเดีย และกำลังจะสูญเสียอันดับที่ 2 ให้กับเวียดนาม”ในระยะเวลาอันใกล้นี้แล้ว ล่าสุดยังมีข่าวช็อก ชาวสวนบ้านเราก็คือ“ทุเรียนไทย”ได้สูญเสียตลาดในประเทศจีนให้กับ “ทุเรียนเวียดนาม” ไปเรียบร้อยแล้ว ในเวลาเพียงแค่ไม่ถึง 2 ปี เป็นประจักษ์พยานถึงความอ่อนด้อยของกระทรวงพาณิชย์ ที่รัฐมนตรีเอาแต่เล่นการเมือง จนทำให้ไทยต้องเสียตลาด “ราชาแห่งผลไม้” ที่มีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี
โดยเมื่อ ต้นเดือนพฤษภาคม 2567 มีข่าวชิ้นหนึ่งจากสำนักข่าวซินหัวที่ถูกกล่าวถึงกันอย่างมาก นั่นคือข่าวที่ว่า “ทุเรียนไทยแพ้เวียดนาม หลุดแชมป์ส่งออกไปจีน” โดยข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน บอกว่า ในขณะนี้ ทุเรียนจากเวียดนามครองตลาดจีนถึง เกือบ 62% ตามมาด้วยทุเรียนไทย 37% และ ทุเรียนฟิลิปปินส์ประมาณ 1% กว่าๆ
ข้อมูลและตัวเลขเรื่องส่วนแบ่งตลาดทุเรียนในจีน ดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากเพราะว่าเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ ทุเรียนไทยครองสัดส่วนในตลาดจีนสูงถึง 95%เนื่องจากไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกทุเรียนสดไปจีนได้ แต่หลังจากที่จีนเปิดตลาดเพิ่มเติม ทุเรียนเวียดนามก็หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดจีนอย่างรวดเร็วมาก
โดย จีนเพิ่งอนุญาตให้เวียดนามส่งออกทุเรียนไปยังประเทศจีนได้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 หรือไม่ถึง 2 ปีก่อนนี่เองแต่ว่าตอนนี้ ทุเรียนเวียดนามกลับแซงหน้าทุเรียนไทยในตลาดจีนเสียแล้ว !
ก่อนหน้านี้ มีผลการวิเคราะห์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า ทุเรียนจากเวียดนามจะเป็นคู่แข่งที่น่ากังวลที่สุดของไทยเราในวันข้างหน้า คือ ต้องใช้เวลาอีก 3-5 ปีแต่หลายคนก็คงคาดไม่ถึงว่าเวลาแค่ไม่ถึง 2 ปีทุเรียนไทยจะสูญเสียตลาดให้กับทุเรียนเวียดนาม
ความจริงแล้ว ถ้ากระทรวงพาณิชย์ไม่มัวแต่มะงุมมะงาหรา นิ่งนอนใจว่า ทุเรียนไทยจะผูกขาดตลาดทุเรียน ในจีนได้ไปอีกนานก็น่าจะรู้ตัวตั้งแต่ปีที่แล้วว่า ทุเรียนเวียดนามมีแนวโน้มจะแซงทุเรียนไทย เพราะข้อมูลตัวเลขเห็นได้ชัดเจนว่า ปี 2565 จีนนำเข้าทุเรียน 825,000 ตัน เป็นทุเรียนไทยมากกว่า 780,000 ตัน หรือคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 95% ปี 2566 จีนนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 1.42 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นทุเรียนไทย 929,000 ตัน และทุเรียนเวียดนาม 493,000 ตัน โดยทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดจีนเพิ่มขึ้นกว่า 30% ภายในหนึ่งปี และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
มาถึงปีนี้ ปี 2567ช่วง 3 เดือนแรกของปี 2567 เวียดนามแซงหน้าไทย ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในการส่งออกทุเรียนไปจีน เพิ่มขึ้น 2.4 เท่า ทั้งปริมาณและมูลค่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ตัวเลขช่วงต้นปีนี้ ชี้ให้เห็นว่า ส่วนแบ่งการตลาดของของทุเรียนเวียดนามในจีนเพิ่มขึ้นเป็น 57%ในปี 2567จากเดิม 32%ในปี 2566
ขณะที่ไทยส่งออกทุเรียนไปยังจีนตกลงเป็นอันดับ 2 หรือ ลดลง 50.3% ในแง่ปริมาณ และ 45.2% ในแง่มูลค่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
แม้ว่าช่วงฤดูกาล หรือหน้าทุเรียนของไทยคือเดือนเมษายน- พฤษภาคม เป็นต้นไป ไทยหวังจะเอาคืนจากเวียดนาม แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะว่าในปีนี้ ผลผลิตทุเรียนของไทยมีปริมาณลดลง และเสียหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง เพราะว่าขาดน้ำจากภาวะเอลนิญโญ
เมื่อเราไม่มีของไปขาย ก็ยิ่งเปิดทางให้เวียดนามยึดตลาดได้มากขึ้น และมีแนวโน้มว่า ตลอดทั้งปีนี้ ทุเรียนไทยจะพ่ายแพ้เวียดนามอย่างราบคาบ
สาเหตุที่ทุเรียนเวียดนามได้เปรียบทุเรียนไทยก็คือ เวียดนามมีพรมแดนติดกับจีน ทำให้ต้นทุนการขนส่งถูกกว่า ราคาขายของทุเรียนเวียดนามก็เลยถูกกว่าไทย คือราว ๆ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน เปรียบเทียบกับทุเรียนไทยที่ขายในราคา 6,100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน หรือเปรียบเทียบเป็นตัวเลขง่ายๆ ก็คือ ทุเรียนเวียดนามขายถูกกว่าทุเรียนไทยประมาณ 20%
นอกจากนี้ ทุเรียนไทยที่ส่งไปขายในจีน ส่วนใหญ่จะใช้การขนส่งทางบกคือ รถบรรทุกเป็นหลัก ซึ่งก็ต้องขนส่งผ่านเส้นทางประเทศเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางสาย R8, R9 หรือ R12
และแน่นอนว่า เมื่อเป็นคู่แข่งด้านสินค้าส่งออกประเภทเดียวกัน เวียดนามก็ต้องอำนวยความสะดวกให้ทุเรียนของตัวเอง มากกว่าจะอำนวยความสะดวกให้กับทุเรียนไทย ทำให้ทุเรียนเวียดนามเข้าสู่ตลาดจีนได้รวดเร็วกว่า และมีสภาพที่สดใหม่กว่า
เมื่อเส้นทางขนส่งเราต้องอาศัยเวียดนาม ผ่านเวียดนาม ทางการเวียดนามก็อาจจะใช้วิธีการ “กักของ” คือ ปล่อยทุเรียนเวียดนามให้ผ่านด่านเข้าจีนเร็วขึ้น แต่ประวิงเวลากักทุเรียนไทยเอาไว้นานหน่อย
ที่สำคัญที่สุดก็คือปัญหาใหญ่ของทุเรียนไทยนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องโลจิสติกส์ หรือการขนส่งแต่เป็นปัญหาที่เกษตรกรไทยและประเทศไทยเอง ไม่สามารถที่จะเข้าถึงตลาดทุเรียนจีนได้ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยพ่อค้าคนจีน หรือ ล้งจีน หรือ พ่อค้าจากประเทศอื่นเพื่อนำทุเรียนไทยเข้าสู่ประเทศจีน
ด้วยเหตุนี้ ล้ง หรือพ่อค้าคนกลาง ซึ่งเป็นคนที่ได้กำไรมากที่สุดจากการส่งออกทุเรียน แต่ทุกวันนี้ ล้งในเมืองไทย กลับเป็นของทุนจีนไปเกือบหมด
ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อ 2 ปีก่อนกระทรวงพาณิชย์ กับ กระทรวงเกษตรในยุคนั้นคุมโดย พรรคประชาธิปัตย์ คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่ตอนนั้นมีที่ปรึกษาคือ นายอลงกรณ์ พลบุตร เป็นที่ปรึกษา ก็ออกมาตอบโต้ผมแบบข้าง ๆ คู ๆ ว่าไม่ยอมให้ใครมาผูกขาดทุเรียนไทย
แล้ววันนี้กระทรวงพาณิชย์ก็ตกมาอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทย นาภูมิธรรม ซึ่งก็พิสูจน์ชัดว่าไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว !!!
เรื่องของ “ล้งจีน” ที่ถูกกล่าวถึงกันมากนั้น เราจะไปโทษทุนจีนหรือชาวสวนทุเรียน หรือ ชาวสวนผลไม้ ทั้งหมดก็คงไม่ถูกต้อง เพราะ ชาวสวนต้องเลือกขายผลไม้ให้กับคนที่ให้ราคาดี รับซื้อเร็ว รับซื้อปริมาณมาก หรือ จองซื้อเหมาสวนก็ยิ่งดี เพราะชาวสวนก็อยากที่จะได้เงินเร็ว ขายได้แน่นอน และราคาสูง โดยไม่สนใจว่า จะเป็นทุนจีนหรือว่าทุนไทย
การแก้ปัญหานี้ ทางการไทยสามารถออกกฎได้ว่าล้งต้องเป็นของคนไทย และห้ามใช้นอมินี
แต่ก็ต้องมีมาตรการรับประกันด้วยว่า“ล้งไทย”จะมี “เงินทุน” ในการซื้อทุเรียนจากชาวสวนได้ราคาดีเหมือนกับ“ล้งจีน”และ มีศักยภาพในการนำทุเรียนไปขายที่จีนได้เหมือนล้งจีนมิฉะนั้นแล้วก็จะเกิดการขายเป็นทอดๆ จากล้งไทย - ไปให้ล้งจีน - ส่งออกไปขายที่เมืองจีน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีพ่อค้าคนกลางหลายคน ก็จะต้องกดราคารับซื้อจากชาวสวน
ที่จริงแล้ว หน่วยงานราชการของไทยมีมากมาย แต่ก็ไม่เคยจะคิดช่วยเหลือชาวสวน และวางยุทธศาสตร์ที่เป็นรูปธรรม ทั้ง องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ อ.ต.ก., สำนักงานพาณิชย์ ณ กรุงปักกิ่ง, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น
หน่วยงานราชการไทยมัวกินบุญเก่า หลงคิดแต่คิดว่า ไทยเคยยึดตลาดทุเรียนในจีนได้เกือบทั้งหมด โดยไม่สนใจความจริงเลยว่า เป็นไปไม่ได้ที่จีนจะให้สิทธิ์พิเศษกับประเทศไทยประเทศเดียวตลอดไป
ทุกวันนี้ทุเรียนเป็นผลไม้เพียงไม่กี่ชนิด ที่ปลูกแล้วได้กำไรและมีราคาดี ทำให้เกษตรกรปลูกทุเรียนกันเป็นจำนวนมาก ทุเรียนเวียดนามปลูกกันเป็นไร่ขนาดใหญ่ ทำกันเป็นอุตสาหกรรม เกษตรกรเวียดนามที่เคยปลูกกาแฟกันมากมาย ในตอนนี้เกษตรกรเวียดนามก็หันมาปลูกทุเรียนแทน เพราะว่าความนิยมของทุเรียนในหมู่ผู้บริโภคชาวจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ตอนนี้ เวียดนามถือเป็นผู้ผลิตทุเรียนรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และยังปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองเป็นหลัก ไม่ต่างอะไรกับกับทุเรียนไทย
โดยข้อมูลของเวียดนามชี้ว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 การส่งออกทุเรียนของเวียดนามเพิ่มขึ้นเกือบ 19 เท่าเมื่อเทียบเป็นรายปี นอกจากนี้ พื้นที่ปลูกทุเรียนในเวียดนามยังเติบโตอย่างรวดเร็วจาก 230,000 ไร่ในปี 2560 มาเป็น 7 แสนไร่ในปัจจุบัน โดยมีผลผลิตรายปีประมาณ 863,000 ตัน
เมื่อพิจารณาแนวโน้มในระยะยาว คงไม่ใช่แค่ปีนี้ที่ทุเรียนไทยจะพ่ายแพ้ให้กับทุเรียนเวียดนามเพราะว่าเจอภัยแล้ง โดยในระยะยาวแล้ว ทุเรียนไทยจะยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วงมากขึ้น จากทั้งเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ รวมถึงลาว
และก็ไม่ใช่แค่ทุเรียนสดเท่านั้น ยังมีทุเรียนแช่แข็ง ที่ตอนนี้ทุเรียน “มูซันคิง” ของมาเลเซียครองตลาดอยู่ โดยมีข่าวว่าจีนกำลังจะอนุญาตให้มาเลเซียสามารถ ส่งทุเรียนสดเข้าไปในประเทศจีนได้ในช่วงปลายปี 2567 นี้อีกด้วย!!!
ธนาคารแห่งประเทศไทย เคยวิเคราะห์ไว้ว่ามาเลเซีย เป็นคู่แข่งอีกประเทศที่น่ากังวลพอสมควร คือ ถ้ามาเลเซียสามารถส่งออกทุเรียนสดไปประเทศจีนได้ ทุเรียนมูซันคิงที่ตอนนี้เป็นที่รู้จักของคนจีนในระดับหนึ่งแล้วก็จะทำตลาดได้มากขึ้น นอกจากนี้ มาเลเซียยังมีผลผลิตมาก สัดส่วนส่งออกปัจจุบันยังน้อย ทุเรียนพันธุ์พื้นเมืองของมาเลเซียก็จะเป็นอีกทางเลือกที่เป็นคู่แข่งของทุเรียนไทยอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ยังมีลาวที่ตอนนี้กลุ่มทุนจีนและเวียดนามเริ่มลงทุนปลูกทุเรียนในลาวจริงจัง ผลผลิตจะมีมากขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ความได้เปรียบของลาว คือ ขนส่งได้เร็วกว่าไทย ได้ทั้งทางบกและรถไฟ โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟลาว-จีนที่ตอนนี้ เป็นช่องทางใหม่ในการส่งออกทุเรียนจากไทยไปยังลาว และเข้าสู่ประเทศจีนนั้น ถ้าหากลาวสามารถส่งออกทุเรียนได้ แน่นอนว่า การจัดสรรตู้คอนเทนเนอร์ และการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทางการลาวย่อมจะให้สิทธิ์พิเศษกับทุเรียนของตัวเอง มาก่อนทุเรียนของประเทศไทยอย่างแน่นอน
ในขณะที่คู่แข่งหลายประเทศกำลังเร่งสปีดเบียดแซงจะแย่งตลาดทุเรียนมูลค่าหลายแสนล้านบาทในประเทศจีน แต่ทางการไทยกลับยังหลงตัวเองว่าทุเรียนไทยอร่อยที่สุด – รสชาติดีที่สุด – ไม่มีชาติไหนสู้ได้ เหมือนกับการที่เมื่อ 2 ปีที่แล้วเราหลงระเริงอยู่ว่า ประเทศไทยครองตลาดทุเรียนจีนได้ 95% หรือเกือบหมด แต่วันนี้กลับเหลือสัดส่วนอีกไม่ถึงครึ่ง
นอกจากนี้ เราอย่าลืมว่ารสชาติความอร่อย ก็ขึ้นอยู่กับความเคยชิน และวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นด้วย เพราะมีข้อมูลว่า จริง ๆ คนจีนก็อาจจะคุ้นเคยกับรสชาติของทุเรียนเวียดนามมาตั้งนานแล้ว เพราะก่อนที่จีนจะเปิดตลาดให้เวียดนามส่งทุเรียนไปขายได้ ก็อาจจะมีทุเรียนเวียดนามสวมสิทธิ์เป็นทุเรียนไทยส่งไปขายที่จีน และตอนนี้ ก็ยังมีอดีตล้งไทยหลายรายไปทำล้ง ส่งทุเรียนจากเวียดนามไปขายที่จีน
ผู้ส่งออกทุเรียนในภูมิภาคนี้ต่างรู้ดีว่า ตลาดทุเรียนในประเทศจีนยังมีความต้องการอีกมากเพราะว่า อัตราการบริโภคทุเรียนต่อคนของจีนยังไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับประเทศผู้บริโภคทุเรียนอื่น ๆ คนจีนทั้งประเทศกินทุเรียนอยู่ที่ 0.58 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หากดูเฉพาะในเมืองใหญ่ของจีน การบริโภคทุเรียนของคนจีนในเมืองอยู่ที่ 3.09 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับคนไทยเรา ที่กินทุเรียนเฉลี่ยเกือบ 5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือ ชาวมาเลเซียที่กินทุเรียนมากถึง 12.62 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
ถ้าเราตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า จะทำให้คนจีนกินทุเรียนเพิ่มขึ้นอีก 1 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ก็แปลว่า ในประเทศจีนจะต้องการทุเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านตัน
แต่คำถามก็คือ เมื่อตลาดทุเรียนในประเทศจีนขยายตัวใหญ่ขึ้นแล้ว ทุเรียนที่ส่งเข้าไปขายในเมืองจีนมากๆ จะเป็นทุเรียนไทย หรือว่าเป็นทุเรียนเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ หรือว่า ทุเรียนลาว ?
“สรุปแล้ว คุณภูมิธรรมครับ คุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของพ่อค้า เกษตรกร ประชาชนคนไทยทั่วประเทศนะครับ คุณไม่ใช่พ่อบ้านตระกูลชินวัตร รับหน้าที่นี้มา 9-10 เดือน ก็เดินหน้า ตั้งหน้าตั้งตาฟอกขาวให้คนตระกูลชินวัตรอย่างเดียว รอบที่แล้วคุณมาให้สัมภาษณ์โกหกแบบหน้าด้านๆ ว่าทักษิณนั้น เส้นเอ็นไหล่ขาด เอ็นเปื่อยยุ่ย คนเขาหัวเราะกันทั้งบ้านทั้งเมือง นี่ยังมาฟอกขาวข้าวสิบปีให้น้องสาวทักษิณอีก
“คุณภูมิธรรมครับ คุณทำอะไรไม่อายประชาชน ก็อายตัวเอง อายญาติพี่น้องคุณ อายลูกหลาน อายบรรพบุรุษของคนไทยด้วยนะครับ” นายสนธิ กล่าว