"สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ" น้องชายธนาธร ออกจดหมายแจง โต้ปมคดีติดสินบน 20 ล้าน ลั่นจากผู้เสียหาย-แจ้งเบาะแสทุจริต กลับกลายเป็นจำเลย
จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตสั่งจำคุก นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คดีติดสินบน 20 ล้าน เกี่ยวกับการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 6 เดือนไม่รอลงอาญา ก่อนจะมีการยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวออกไป ล่าสุดมีการออกจดหมายชี้แจงเพิ่มเติมเนื้อหาใจความระบุว่า "ผมเป็นผู้แจ้งเบาะแสทุจริต แต่กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริต?"
เมื่อวันที่ 21 พ.ค. นายสกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานบริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด น้องชายของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ชี้แจง 6 ประเด็นในคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหา และถูกศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในคดีติดสินบนเจ้าพนักงานและนายหน้าเป็นเงินจำนวน 20 ล้านบาท เพื่อเช่าที่ดินของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2 แปลง ใน ซ.ร่วมฤดี และย่านชิดลม กรุงเทพฯ
นายสกุลธรระบุว่า ผมเป็นผู้แจ้งเบาะแสทุจริต แต่กลับกลายเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริต สืบเนื่องจากคดีการทุจริตซึ่งเกิดขึ้นกับสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ตามที่ปรากฏในข่าวเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 โดยมีผมเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำเลยในคดีนี้ ขอชี้แจงดังนี้
1. ผมและคณะทำงานในขณะนั้น ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยได้ดำเนินการเป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนตามกฎหมายตามที่เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้แจ้งกับผมและทีมงานทุกประการ แต่ต่อมาภายหลัง ผมได้ทราบว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวได้หลอกลวงผม ด้วยการปลอมแปลงเอกสารของสำนักงานทรัพย์สินฯ
2. เมื่อผมได้ทราบว่าถูกเจ้าหน้าที่คนนี้หลอก ก็แสดงความบริสุทธ์ใจ โดยรีบแจ้งข้อเท็จจริงถึงเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานทรัพย์สินฯ จนเป็นเหตุทำให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ดำเนินคดีอาญากับบุคคลนี้ จนศาลพิพากษาลงโทษเขาพร้อมกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง และคดีถึงที่สุดไปแล้ว
3. ระหว่างสอบสวนคดีดังกล่าวในช่วงปี 2562 ผมยังเคยได้รับเชิญไปให้การในฐานะผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวด้วย แต่เนื่องจากในขณะนั้นผมติดภารกิจสำคัญอยู่ที่ต่างประเทศจึงไม่ได้ไปให้การเป็นพยานกับพนักงานสอบสวน
4. ในช่วงระหว่างการดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่หลอกลวงปลอมแปลงเอกสารสำนักงานทรัพย์สินฯ กลุ่มนี้ ตั้งแต่ในชั้นสอบสวนกระทั่งถึงในชั้นศาล พนักงานสอบสวนไม่เคยดำเนินคดีใดๆ กับผมทั้งสิ้น
5. หลังจากนั้น กลับมีนักร้องไปร้องให้ดำเนินคดีผม หาว่าผมรู้เห็นเป็นใจกับบุคคลนี้ และเป็นผู้ใช้ให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวไปกระทำการทุจริต
6. ขอตั้งคำถามให้ลองพิจารณาด้วยใจเป็นธรรมว่า หากผมมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าวจริงแล้ว เหตุใดผมจะต้องวิ่งไปแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการหลอกลวงดังกล่าว เพื่อให้ตัวเองเดือดร้อนถูกดำเนินคดีไปด้วย ผมคือผู้เสียหายจากการหลอกลวงของเจ้าหน้าที่รัฐ สมควรได้สิทธิคุ้มครอง เยียวยาไม่ใช่จำเลย การที่ผมเป็นผู้เริ่มคดีขึ้นเสียเองด้วยการแจ้งเบาะแสการทุจริตไปยังสำนักงานทรัพย์สินฯ ก็เพราะไม่อยากให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ได้รับความเสื่อมเสียจากการที่มีบุคลากรแอบแฝงกระทำการหลอกลวงผู้อื่นเช่นที่ผมพบเจอด้วยตนเอง ผมเคารพในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ผมขอใช้สิทธิต่อสู้คดีจนถึงที่สุด และพร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ความสุจริตใจของผมตามครรลองของกระบวนการยุติธรรมต่อไป