รายงานพิเศษ
“เมื่อปี 2557 มีกรณีที่เราตรวจพบฝุ่นแดง กรมโรงงานอุตสาหกรรมส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจ กว่าจะตรวจครบ กว่าจะดำเนินคดี มีค่าใช้จ่ายหมดไปเป็นเงินนับล้านบาท แต่พอเราส่งฟ้อง ศาลพิพากษาสั่งปรับโรงงานแห่งนั้นเป็นเงิน 1.5 หมื่นบาท ... กฎหมายมันเป็นแบบนี้ครับ”
นี่เป็นตัวอย่างที่ถูกยกขึ้นมากล่าวถึงโดย นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมาร่วมเสวนา “ทางออกกรณีมลพิษหนองพะวา ภาพสะท้อนปัญหากากอุตสาหกรรมอันตรายของไทย” ซึ่งจัดโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2567
เป็นการขึ้นเวทีขององค์กรพัฒนาเอกชน หลังใบลาออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ถูกยับยั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเหลือเวลาอีกประมาณ 4 เดือน จะเกษียนอายุราชการ
ข้อเสนออธิบดีกรมโรงงานฯ ... แก้กฎหมายโรงงาน เพิ่มโทษ ขยายอายุความ
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างนี้ขึ้นมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า พระราชบัญญัติโรงงานอุตสาหกรรม จเป็นต้องถูกแก้ไขในหลายส่วน โดยเฉพาะส่วนสำคัญที่ได้เสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปแล้ว คือ การกำหนดโทษผู้ประกอบการที่ลักลอบทิ้งของเสียอันตราย ซึ่งไม่ทำให้ผู้กระทำความผิดเกรงกลัว
“โทษลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในประเทศไทย คือ ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท มีอายุความ 1 ปี ... จากประสบการณ์ที่ผมรับราชการซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกรมโรงงาน มารวม 38 ปี ก็พบว่า คดีในกรณีนี้ส่วนใหญ่จะขาดอายุความ ดังนั้นผมจึงได้เสนอต่อกระทรวงอุตสาหกรรมว่าจะต้องแก้กฎหมายโรงงาน โดยมีแนวคิดเพิ่มโทษจำคุกกับผู้ประกอบการ แต่ต้องอธิบายเพิ่มว่า การเสนอเพิ่มโทษจำคุก มีเจตนาที่จะทำให้สามารถขยายอายุความของคดีเหล่านี้ได้ เช่น ถ้ามีโทษจำตุก 1 ปี คดีจะมีอายุความ 5 ปี ,ถ้ามีโทษจำคุก 2 ปี ก็จะมีอายุความ 10 ปี ... ผมขอยกตัวอย่างที่ประเทศญี่ปุ่นในกรณีเช่นเดียวกันนี้ จะมีโทษจำคุก 10 ปี ปรับเป็นเงิน 100 ล้านเยน (ประมาณ 25 ล้านบาท)”
อธิบดีจุลพงษ์ อธิบายเพิ่มเติมโดยยืนยันว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษด้วยการลักลอบทิ้งกากของเสียอันตราย แท้จริงแล้วเป็นเพียงส่วนน้อยที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ผ่านการลดค่ากำจัดของเสีย แต่แม้จะมีอยู่เพียงไม่กี่โรงงานที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ก็ยังทำให้เห็นปัญหาได้อย่างชัดเจนว่า หน่วยงานภาครัฐและกฎหมายในส่วนการกำกับดูแลของรัฐที่มีอยู่ยังตามปัญหานี้ไม่ทัน
ข้อเสนออธิบดีกรมโรงงานฯ ... สร้างกลไก Check & Balance ตรวจสอบโรงงาน
อำนาจการออกใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เป็นของ “อุตสาหกรรมจังหวัด” ซึ่งมีสายบังคับบัญชาขึ้นตรงกับปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ... ไม่ได้ขึ้นตรงกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นหนึ่งในประเด็นที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกล่าวบนเวทีนี้ว่าจำเป็นจะต้องสร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลผู้ออกใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานกับการรับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบโรงงานที่ถูกร้องเรียน
“อย่างกรณีโรงงาน วิน โพรเสส โรงงานที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ จ.ระยอง มีใบอนุญาตทั้งหมด 4 ใบ ในจำนวนนี้มี 3 ใบอยู่ในจุดเพลิงไหม้ที่หนองพะวา ซึ่งสามารถไปดูในเอกสารได้ว่า ใบอนุญาตที่มีอักษร จ.อยู่ด้วย มีความหมายว่าถูกออกโดยอุตสาหกรรมจังหวัด”
“ในอดีตการอนุญาตจัดตั้งโรงงานทั้งหมดมากองอยู่ที่กรมโรงงานฯ ผู้ประกอบการมายืนรอกันเต็มไปหมด ก็เลยต้องใช้หลักกระจายอำนาจไปที่จังหวัด โดยให้อุตสาหกรรมจังหวัดเป็นผู้ออกใบอนุญาต เหลือเพียงบางส่วนไว้ที่ยังวเป็นอำนาจของกรมโรงงานฯเท่านั้น และในอนาคตการขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน ก็มีแนวโน้มที่จะโอนไปเป็นหน้าที่ของหน่วยงานในท้องถิ่นทั้งหมด ดังนั้น เราจึงควรต้องสร้างระบบการถ่วงดุล เพื่อไม่ให้ผู้ที่มีอำนาจออกใบอนุญาต เป็นหน่วยงานเดียวที่มีมีอำนาจในการกำกับดูแลโรงงานนั้นๆด้วย แต่ต้องทำให้มีกลไดที่เจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมีอำนาจในการเข้าไปร่วมตรวจสอบโรงงานหรือตรวจสอบข้อร้องเรียนของประชาชนด้วย”
“ส่วนอำนาจในการออกใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน ผมก็มีข้อสังเกตด้วยว่า ในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ยังกำหนดให้การจัดตั้งโรงงานที่มีความเสี่ยงจะก่อมลพิษหรือสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง จะต้องมาขออนุญาตจากหน่วยงานของรัฐบาลกลาง โดยไม่ปล่อยให้ท้องถิ่นพิจารณาได้เอง”
ข้อเสนออธิบดีกรมโรงงาน ... ตั้งกองทุนกำจัดกากอุตสาหกรรมปนเปื้อน สร้างหลักประกันความเสี่ยงเป็นเงื่อนไขก่อนตั้งโรงงาน
แม้ในหลักกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมมลพิษของไทย จะยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงของเหตุการณ์การรั่วไหลของมลพิษที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของไทย ทั้ง พระนครศรีอยุธยา นครราชสีมา เพชรบูรณ์ ชลบุรี ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา รวมถึงกรณีที่ผู้ได้รับผลกระทบฟ้องร้องจนชนะคดีไปแล้วอย่างที่ ราชบุรี และ ระยอง ก็จะเห็นได้ว่า ยังไม่มีพื้นที่ใดเลย ที่ผู้ก่อมลพิษได้แสดงความรับผิดชอบอย่างแท้จริง ชาวบ้านยังไม่เคยได้รับค่าชดเชยเยียวยา กากของเสียอันตรายไม่ได้ถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้อง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นปมปัญหาใหญ่ที่อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม นำเสนอด้วยว่า ต้องมีกระบวนการใหม่ๆขึ้นมารองรับอย่างเร่งด่วน
อธิบดี จุลพงษ์ พูดถึงสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ การออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง “การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566” ที่นำหลักการ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายหรือเป็นผู้รับผิดชอบมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2566
โดยก่อนหน้าที่จะมีประกาศฉบับนี้ เมื่อโรงงานต้นทางที่ทำให้เกิดของเสียส่งของเสียอันตรายไปถึงโรงงานปลายทางที่มีหน้าที่รับกำจัดหรือบำบัดของเสียแล้ว ก็จะหมดภาระความรับผิดชอบต่อของเสียนั้นไปทันที
แต่เมื่อมีประกาศฉบับนี้ “ภาระความรับผิดของโรงงานต้นทางจะไม่มีวันจบสิ้น” หากตรวจพบว่ายังมีของเสียอันตรายที่มาจากโรงงานนั้นๆ ไปถูกลักลอบทิ้งหรือปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้โรงงานต้นทาง จะต้องเลือกโรงงานรับกำจัดที่มีศักยภาพนำของเสียไปกำจัดได้จริง แทนที่จะเลือกใช้แต่โรงงานที่รับจ้างกำจัดในราคาถูก
แต่ในเมื่อยังไม่สามารถทำให้หลักการ “ผู้ก่อมลพิษ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ” เกิดขึ้นได้จริง จึงยังสิ่งที่จะต้องทำอีกนั่นคือ การหาเงินมารองรับการกำจัดของเสียอันตรายให้ไม่สร้างผลกระทบต่อเนื่องจากประชาชน
“ที่แว็กซ์ กาเบ็จ ราชบุรี กรมโรงงานฯ ต้องไปของบกลางจาก ครม. 59 ล้านบาท มากำจัดของเสียที่อยู่บนพื้นดินออกไปก่อน โดยก่อนนี้เราไปของบปี 2567 มา 60 ล้านบาท ได้รับอนุมัติมา 6.9 ล้านบาท ซึ่งก็ต้องเอาไปทำอย่างอื่น เพราะไม่เพียงพอที่จะนำไปกำจัดของเสีย ... ส่วนที่หนองพะวา ระยอง เรามีเงินที่ วิน โพรเสส วางหลักประกันต่อศาลอยู่ 10 ล้านบาท (ไม่ใช่เงินที่โรงงานยอมจ่ายเพื่อนำของเสียไปกำจัดโดยสมัครใจ) ใช้จ้างบำบัดน้ำไปส่วนหนึ่ง และเหลืออยู่ 4.9 ล้านบาท ก็จะนำไปดำเนินงานตามแผนการกำจัด ซึ่งแน่นอนว่า ทำได้เพียงบางส่วนเท่านั้น และยังต้องทำต่อในเฟส 2 ทั้งสำรวจน้ำบาดาล ลทำแผนกำจัดของเสียที่คาดว่าจะมีฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งของงบประมาณปี 2568 ไว้อีก 30 กว่าล้านบาท ... จะเห็นว่า ทั้งที่ราชบุรี และระยอง ระบบกฎหมายของเรายังไม่สามารถทำให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบกำจัดของเสียได้ ในขณะที่ในรัฐเอง ก็ไม่มีเงินในระบบมารองรับ จึงต้องไปของบจากรัฐบาลมาก่อน แล้วจึงค่อยมาฟ้องร้องเรียกคืนในภายหลัง”
“ในแต่ละปี กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้เงินค่าปรับจากผู้ประกอบการที่ทำกระทำความผิดมาเป็นจำนวนไม่น้อยเลยครับ ซึ่งเดิมก็จะถูกนำส่งให้กระทรวงการคลังไป แต่ในเมื่อเรามีปัญหาไม่มีเงินมาใช้กำจัดของเสียไปก่อน และยังอาจจะมีอีกหลายพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะเหมือนที่ราชบุรีและระยอง ซึ่งจะต้องเร่งกำจัดของเสียอันตรายเพื่อลดผลกระทบกับประชาชนไปก่อน เราจึงขอเสนอให้นำเงินค่าปรับที่ได้มาไปตั้งเป็น กองทุนอุตสาหกรรม เพื่อให้กรมโรงงานมีเงินนำมาใช้ในการกำจัดของเสียอันตรายไปก่อน”
เห็นได้ชัดเจนว่า ในระหว่างการขึ้นเวทีงานเสวนาที่จัดโดยมูลนิธิบูรณะนิเวศครั้งนี้ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้ ได้พยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงระบบที่ต้องเร่งแก้ไขจากกลไกของรัฐในหลายประเด็น ทั้งข้อกฎหมาย โครงสร้างที่ต้องการการปรับเปลี่ยนให้มีกลไกตรวจสอบถ่วงดุลกันเองมากขึ้น รวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้หน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถปกป้องหรือดูแลประชาชนให้ปลอดภัยจากผลกระทบจากกากของเสียอุตสาหกรรมได้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา
หากปัญหาที่ถูกสะท้อนออกมาจากคนที่ระบุตัวตนไว้ว่าเป็น “ลูกหม้อกรมโรงงานอุตสาหกรรม” กลับยังไม่ถูกนำไปแก้ไขปรับปรุงตามข้อเสนอแนะที่พยายามผลักดันมา เชื่อได้ว่า ผลกระทบจากระบบที่ปล่อยให้เกิดขบวนการลักลอบทิ้งอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ก็จะทยอยแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาประจานความล้มเหลวของรัฐในการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมอีกหลายกรณี ... อย่างแน่นอน