สวนสัตว์บึงฉวาก จ.สุพรรณฯ เผยลูกเสือโคร่งสัตว์ป่าของกลางมีนิสัยร่าเริง กินเก่ง ติดพี่เลี้ยง "พัชรวาท" ตั้งชื่อ "น้องนีน่า" ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ เตรียมเรียกค่าดูแล 10 ปี 1.3 ล้านบาท แก่ผู้ครอบครองก่อนหน้านี้
วันนี้ (19 พ.ค.) เฟซบุ๊ก "สวนสัตว์บึงฉวาก จังหวัดสุพรรณบุรี" ของศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก ต.เดิมบาง อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ได้เผยแพร่ภาพลูกเสือโคร่งสัตว์ป่าของกลางที่ชื่อว่า "น้องนีน่า" เป็นลูกเสือโคร่ง เพศเมีย น้ำหนัก 20.5 กิโลกรัม อายุประมาณ 3-4 เดือน พบว่าวันที่สองมีนิสัยร่าเริง กินเก่ง ติดพี่เลี้ยง โดยก่อนหน้านี้ลูกเสือโคร่งดังกล่าวได้มาถึงสวนสัตว์บึงฉวากเมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับมอบจากหัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ 2 (กระบกคู่) และเจ้าหน้าที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) จังหวัดชลบุรี
ก่อนหน้านี้ ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวากรายงานอาการและพฤติกรรมโดยทั่วไปที่ตรวจเช้าวันที่ 18 พ.ค. พบว่าลูกเสือโคร่งตัวนี้มีความสนใจสิ่งแวดล้อมดี มีพฤติกรรมค่อนข้างติดคน มีความอยากใกล้ชิคคนตลอดเวลา การกินเนื้อวัว และนม ปกติ ปัสสาวะปกติ ยังไม่ถ่ายอุจจาระ สัตวแพทย์ตรวจอาการ เบื้องต้นพบว่า สองขาหลังลงน้ำหนักได้ แต่ไม่แข็งแรงมาก (ขาหลังอ่อน) ซึ่งจะต้องตรวจดูอาการต่อไปอย่างต่อเนื่อง ต้องเสริมสารอาหารจำพวกแคลเซียม และให้กินอาหารที่ถูกหลักตามโภชนศาสตร์ที่ลูกเสือโคร่งควรได้รับตามหลักวิชาการ เพื่อป้องกันภาวะโรคกระดูกบาง กระดูกเสื่อม ในลูกสัตว์ได้ โดยอาหารประกอบด้วย นม KMR ชนิดผง (ชง) ภายใน 1 วัน แบ่งให้กินนมทุก 3 ชั่วโมงต่อครั้ง ครั้งละ 500 มิลลิลิตร เนื้อวัวสับหยาบ ให้กินวันละ 2 มื้อ ครั้งละ 500 มิลลิกรัม และผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม สำหรับสุนัข แบบเม็ด
การเลี้ยงดูแล จะต้องทำการแยกเลี้ยงเดี่ยวเพื่อทำการกักโรค ภายใน 7 วัน ไม่ปล่อยเดินเล่นนอกอาคารเลี้ยงดูลูกสัตว์ แต่ที่อาคารเลี้ยงดูลูกสัตว์สามารถเปิดรับแสงแดดได้ในยามเช้า และในระหว่างการกักโรค ภายใน 7 วัน สัตวแพทย์จะต้องดำเนินการเจาะเลือดเพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป และทำการส่งเก็บเลือดไปยังหน่วยนิติวิทยาศาสตร์ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อทำการตรวจชนิดพันธุ์ของลูกเสือโคร่ง และทำการฝังไมโครชิปเพื่อทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ป่าต่อไป
ก่อนหน้านี้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งชื่อให้กับลูกเสือโคร่งว่า "น้องนีน่า" ขณะเดียวกัน กรมอุทยานแห่งชาติฯ เตรียมเรียกค่าดูแลลูกเสือโคร่งจากผู้ระบุว่าเป็นเจ้าของ จากการประเมินว่ากรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องดูแลเสือโคร่งมากกว่า 10 ปี เป็นเงิน 1,394,000 บาท ซึ่งเป็นไปตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการดำเนินการแก่สัตว์ป่า ซากสัตว์ป่า หรือผลิตภัณฑ์จากซากสัตว์ป่า และค่าใช้จ่ายในการดูแลสัตว์ป่า พ.ศ. 2565
ลูกเสือโคร่งตัวนี้ไม่มีเอกสารหลักฐานการครอบครองของทางราชการและไม่มีเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ป่า (เลขไมโครชิป) นอกจากนี้ยังพบว่าเจ้าของคนเดียวกันนี้ครอบครองลูกสิงโต 1 ตัว ซึ่งมีเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ป่า (เลขไมโครชิป) แต่ไม่ได้แจ้งการครอบครองสิงโตที่เป็นสัตว์ป่าควบคุมต่อกรมอุทยานแห่งชาติฯ ดังนั้น จึงดำเนินคดีต่อเจ้าของหลายฐานความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ได้แก่ มาตรา 15 ฐานปล่อยเป็นอิสระซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลูกเสือโคร่ง) พ้นจากการดูแลของตน มาตรา 17 ฐานครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลูกเสือโคร่ง) โดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ฐานครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลูกสิงโต) โดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรา 19 วรรคสอง ฐานไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขแจ้งการรับแจ้งตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด
สำหรับสัตว์ป่าของกลาง ได้ขออนุมัติพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อนำลูกเสือโคร่งส่งมอบให้ศูนย์พัฒนาการจัดการสัตว์ป่าบึงฉวาก (สวนสัตว์บึงฉวาก) ส่วนลูกสิงโตรับฝากไว้ที่ฟาร์มสิงโตขาวบางคล้า หมู่ที่ 5 ตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อดูแลและเก็บรักษา จนกว่าคดีถึงที่สิ้นสุด ขณะนี้อยู่ระหว่างกักโรคลูกเสือโคร่งเป็นระยะเวลา 7 วัน สัตวแพทย์เจาะเลือดเพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป และส่งเลือดไปยังหน่วยนิติวิทยาศาสตร์ กรมอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อตรวจชนิดพันธุ์ของลูกเสือโคร่งและฝังไมโครชิปเพื่อทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ป่า
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 03.30 น. วันที่ 16 พ.ค. ร.ต.อ.ปองภพ กุดหอม รอง สวป.สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมกำลังสายตรวจ และหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา เข้าตรวจสอบเหตุพบเสือโคร่งอยู่ภายในซอยบางวัว-บางจาก 7 พื้นที่หมู่ 11 ต.บางวัว อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา พบลูกเสือโคร่งขนาดกลางนอนอยู่หน้าบ้าน กู้ภัย และชาวบ้านพยายามเรียกออกมาที่กลางซอย ซึ่งลูกเสือก็วิ่งเข้าใส่ ทำให้ชาวบ้านบางส่วนวิ่งหนี และพบว่าลูกเสือตัวดังกล่าวกัดเจ้าหน้าที่กู้ภัยและผู้สื่อข่าวในพื้นที่จนกางเกงเป็นรอย สุดท้ายสามารถจับขึ้นรถไปได้ และส่งสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา)
ต่อมามีเจ้าของลูกเสือโคร่ง ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มอยู่ในพื้นที่ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา นำเอกสารอ้างความเป็นเจ้าของสัตว์ที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์ม จะมารับกลับไปเลี้ยงดู อ้างว่าลูกสัตว์ตัวดังกล่าวนั้นไม่ใช่ลูกเสือ แต่เป็นตัวไลเกอร์ ซึ่งเป็นสัตว์ผสมระหว่างสิงโตกับเสือโคร่ง ซึ่งได้นำมาเพนต์สีทำเป็นลายให้เหมือนลูกเสือโคร่ง เพื่อนำไปถ่ายทำหนัง แต่จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่คาดว่าไม่ใช่ตัวเดียวกัน
ภายหลังเจ้าของลูกเสือโคร่งนำมาส่งที่ที่ว่าการอำเภอบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ยอมรับว่าไม่มีไลเกอร์ ไม่มีเสือโคร่งย้อมสีใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นลูกเสือโคร่ง และที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจที่บ้านนั้น ก็เป็นลูกสิงโต คนละตัวกับลูกเสือที่หลุดออกมา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร พบว่าไม่มีเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อสอบถามก็อ้างว่าซื้อลูกเสือมาจากชายแดน ขณะที่กรมอุทยานฯ แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาปล่อยเป็นอิสระซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลูกเสือโคร่ง) พ้นจากการดูแลของตน และครอบครองสัตว์ป่าคุ้มครอง (ลูกเสือโคร่ง) โดยไม่ได้รับอนุญาต พ่วงคดีลูกสิงโตอีก 1 ตัวที่ไม่ได้มีการแจ้งการเคลื่อนย้ายอย่างถูกต้อง