xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 12-18 พ.ค.2567

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



1."บุ้ง ทะลุวัง" หัวใจหยุดเต้นฉับพลัน แพทย์สุดยื้อเสียชีวิต ด้าน "ก้าวไกล" สบช่อง จี้นิรโทษฯ คดีการเมือง ขณะที่ "ดร.ไชยันต์" ชี้ คนที่ใช้เยาวชนเป็นเครื่องมือประท้วง จิตใจอำมหิต!

เมื่อวันที่ 14 พ.ค.มีรายงานว่า รพ.ราชทัณฑ์แจ้งว่า น.ส.เนติพร หรือบุ้ง ทะลุวัง ผู้ต้องขังคดีทางการเมืองหลายคดี มีภาวะหัวใจหยุดเต้น กำลังปั๊มหัวใจอยู่

ทั้งนี้ ไทม์ไลน์ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับบุ้ง เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญากรุงเทพใต้สั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว กรณีชุมนุมที่กระทรวงวัฒนธรรม พ่นสีธงสัญลักษณ์เบื้องสูง และมีคดีละเมิดอำนาจศาล กระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งศาลสั่งลงโทษจำคุก 1 เดือน โดย น.ส.เนติพรแจ้งว่า จะไม่ยื่นประกันตัวใหม่หรือขออุทธรณ์ จากนั้นได้นำตัวส่งไปยังทัณฑสถานหญิงกลาง

ต่อมา 27 ม.ค. น.ส.เนติพรประกาศอดอาหารและน้ำ พร้อมเรียกร้อง 2 ข้อ คือ ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และต้องไม่มีใครติดคุกเพราะเห็นต่างทางการเมืองอีก

4 ก.พ. น.ส.เนติพรทำพินัยกรรมยกทรัพย์สิน เงินสด บัญชีเงินฝาก นาฬิกาข้อมือ ต่างหู และแมว ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ น.ส.หยก ผู้ต้องหามาตรา 112 ส่วนทรัพย์สินอื่น นอกจากที่ระบุไว้ อันรวมถึงที่ดิน สิทธิเรียกร้อง และสิทธิตามมรดกที่ตนมีอยู่ก่อนจะถึงแก่ความตาย ขอยกให้ พี่สาว เพียงผู้เดียว

6 ก.พ. น.ส.เนติพรถูกนำตัวส่ง รพ.ราชทัณฑ์ เนื่องจากมีภาวะตับอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ อ่อนแรงมากจนเดินไม่ไหว ทั้งนี้ น.ส.เนติพร เคยมีหนังสือเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย รวมทั้งหนังสือแสดงเจตนาขอบริจาคร่างกายให้กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เพื่อศึกษาและวิจัย ลงวันที่ 8 ก.พ.2567

8 มี.ค. 2567 น.ส.เนติพรถูกนำตัวส่ง รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จ.ปทุมธานี 18 มี.ค.น.ส.เนติพรเขียนจดหมายถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเอาเสียงของประชาชนไปแลกเพื่อกลับบ้าน เป็นได้แค่นักการเมืองน้ำเลว พร้อมตำหนิที่ไม่ยอมทวงความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดง และมองว่าเป็นคนที่น่ารังเกียจ ส่วน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง บุตรสาวไม่จำเป็นต้องทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่าง แต่พ่อเป็นยังไงลูกก็เป็นอย่างนั้น

นอกจากนี้ น.ส.เนติพรยังแสดงความผิดหวังต่อพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ยอมปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และระบุเหตุผลที่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะนักการเมืองทำให้ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่เลือกที่จะนอนอยู่บ้านเฉยๆ แต่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม ยืนยันที่จะอดอาหารจนกว่าข้อเรียกร้องจะสำเร็จ อยากให้ทุกคนเข้าใจ

23 มี.ค. น.ส.หยก ประกาศยุติกิจกรรมทางการเมือง กลับบ้านไปเรียน กศน. และสนับสนุนวงการดนตรี

30 มี.ค. ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า อาการของ น.ส.เนติพร ความดันโลหิตต่ำ ค่าโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ไม่ขับถ่ายอุจจาระเป็นระยะเวลาหนึ่ง ณ ขณะนั้นบุ้งน้ำหนักตัวประมาณ 63 กก. ลดลงจากก่อนหน้านั้นกว่า 20 กิโลกรัม

4 เม.ย. น.ส.เนติพรถูกย้ายกลับไปควบคุมตัวอยู่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ พร้อมด้วย น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และนายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือแฟรงค์ ผู้ต้องหามาตรา 112

14 พ.ค.กลุ่มนักเคลื่อนไหวทางการเมืองมีการส่งต่อข้อความระบุว่า น.ส.เนติพรหัวใจหยุดเต้น รพ.ราชทัณฑ์อยู่ระหว่างปั๊มหัวใจช่วยเหลือ ก่อนมีการส่งตัวไปยัง รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ซึ่งสุดท้าย น.ส.เนติพร ได้เสียชีวิตลง ในเวลา 11.22 น.

ด้านกรมราชทัณฑ์ได้เผยแพร่เอกสารระบุว่า “ด้วยทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณซ์ ได้รายงานว่า น.ส.เนติพร มีอาการหัวใจหยุดเต้นฉับพลันในช่วงเช้าวันที่ 14 พ.ค. โดยทางทีมแพทย์ได้ทำการกู้ชีพ พร้อมนวดหัวใจ จากนั้นส่งตัวออกรักษาที่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ซึ่งทีมแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์และแพทย์ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ได้พยายามกู้ชีวิตผู้ป่วยอย่างสุดความสามารถ ตั้งแต่เวลา 06.20-11.22 น. ร่างกายผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษา และถึงแก่กรรมอย่างสงบ ในเวลา 11.22 น. กรมราชทัณฑ์ จึงขอแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต

ทั้งนี้ กรมราชทัณฑ์ขอเรียนว่า หลังจากที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้รับตัว น.ส.เนติพร จาก รพ.ลธรรมศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. น.ส.เนติพรได้รับประทานอาหารและน้ำปกติ ซึ่งแพทย์และพยาบาลได้ทำการรักษาดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง แต่ยังมีอาการขาอ่อนแรงและบวมเล็กน้อย ผลเลือดมีภาวะโลหิตจางเล็กน้อย เกลือแร่ต่ำ โดย น.ส.เนติพร ปฏิเสธการรับประทานเกลือแร่และวิตามินบำรุงเลือด จนเกิดอาการดังกล่าวและเสียชีวิตในวันนี้ (14 พ.ค.)

กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนว่า ทางนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีข้อห่วงใยในเรื่องนี้ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม จึงเห็นควรให้ทาง รพ.ธรรมศาสตร์ฯ ทำการชันสูตร เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง ซึ่งจะต้องรอผลการชันสูตร นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้แล้ว"

ขณะที่พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพรว่า “พรรคก้าวไกลขอแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตของคุณเนติพร เสน่ห์สังคม (บุ้ง) นักกิจกรรมทางการเมืองกลุ่มทะลุวัง ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับประเด็นและวิธีการที่คุณบุ้งแสดงออกในช่วงที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลขอยืนยันหลักการว่า ในสังคมประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนต้องได้รับการรับรอง ไม่ควรมีใครต้องติดคุกเพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง ไม่ควรมีใครถูกปฏิเสธสิทธิในการได้รับประกันตัว ซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง เพียงเพราะเห็นต่างทางการเมือง และไม่ควรมีใครถูกผลักให้ต้องต่อสู้ด้วยวิธีการที่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อชีวิต เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อหาทางออกต่อความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตและที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคืนสิทธิประกันตัวแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยคดีการเมืองที่อยู่ระหว่างต่อสู้คดี การเร่งพิจารณากระบวนการนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุทางการเมือง และฟื้นความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมสำหรับประชาชนทุกคน”

ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า "ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง คือ ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก เพราะพวกเขาใช้อนาคตและชีวิตของเยาวชนเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการ โดยพวกเขาเท่านั้น คือ ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง" และอีกข้อความหนึ่ง ระบุว่า "แก้ ม.112 เพื่อช่วยเยาวชนผู้ต้องหาเป็นการแก้ปลายเหตุ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ-ผู้ให้ข้อมูลบิดเบือน"

2.40 สว.เข้าชื่อยื่นศาล รธน.ถอด “เศรษฐา” พ้นนายกฯ-“พิชิต” พ้นรัฐมนตรี เหตุไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แต่นายกฯ เสนอชื่อโปรดเกล้าฯ !


เมื่อวันที่ 16 พ.ค. สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ร่วมกันเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความสิ้นสุดลงของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ของนายพิชิต ชื่นบาน หลังมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นที่ว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยยื่นเรื่องผ่านนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา และล่าสุด เรื่องดังกล่าวถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาแล้ว

ทั้งนี้ นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สว. ฐานะผู้ร่วมลงชื่อให้สัมภาษณ์ว่า ถือเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของ สว. ที่ต้องทำหน้าที่ ฐานะเป็นผู้แทนปวงชน หลังประเด็นการดำรงตำแหน่งของนายพิชิตนั้น มีผู้แสดงความเห็นในวงกว้าง และเวทีสาธารณะว่าเหมาะสมหรือไม่ เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเห็นว่า ควรส่งให้องค์กรที่มีหน้าที่ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย โดยมี สว. ร่วมเข้าชื่อ 40 คน จากที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ สว.ที่มีอยู่

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับเหตุผลที่ระบุและบรรยายให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา คือ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งกรณีของนายพิชิตนั้น มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้เห็นว่า มีการละเมิดอำนาจศาล และมีคำสั่งศาลสั่งให้จำคุก ทั้งนี้ มีคำบรรยายรายละเอียดข้อเท็จจริงของศาลที่ชัดเจนว่า มีพฤติกรรมทุจริต ติดสินบนต่อกระบวนการยุติธรรม และถูกนำเรื่องเข้าสู่สภาทนายความให้ลบชื่อจากการเป็นทนายความ ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่ชัดแจ้งว่า ไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และยังมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวถึงกรณียื่นให้พิจารณาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของนายเศรษฐาด้วยว่า เป็นกรณีสืบเนื่องกัน มีประเด็นที่ทักท้วงต่อการตั้งนายพิชิตให้ดำรงตำแหน่ง แต่ทำไมนายกฯ ยังเสนอชื่อและโปรดเกล้าฯ ให้นายพิชิตดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีก ดังนั้นจึงถือเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ

“ส่วนที่นายกฯ ระบุว่าได้หารือกับกฤษฎีกาแล้ว พบว่า เป็นการหารือที่ไม่ตรงประเด็น ทั้งระยะเวลาการพ้นโทษ และการตีความระหว่างคำสั่ง กับคำพิพากษาเหมือนกันหรือไม่ ทั้งนี้ เรายังพบประเด็นที่เป็นปัญหา จึงเข้าชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย”


นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า ตนทราบว่า สำนักงานวุฒิสภาได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว และจากสำเนาเอกสารทราบว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องแล้วในวันที่ 16 พ.ค. เวลา 10.20 น. ดังนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา ต้องพิจารณาในประเด็นความสิ้นสุดลงของรัฐมนตรี และตำแหน่งนายกฯ ด้วย โดยรายละเอียดต่อจากนี้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณา ตนยืนยันว่า เป็นการทำหน้าที่ฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทยตามหน้าที่และอำนาจของ สว. ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในปัจจุบัน

3. ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยกฟ้อง "อิทธิพล คุณปลื้ม" คดีออกใบอนุญาตก่อสร้างวอเตอร์ฟร้อนท์มิชอบ แม้เจ้าตัวผิด ม.157 แต่คดีฟ้องช้า จึงหมดอายุความ!



จากกรณีที่สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 สำนักงานอัยการสูงสุด อ.เมือง จ.ระยอง ฟ้องนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีต รมว.วัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำเเหน่งนายกเมืองพัทยา เรื่องการออกใบอนุญาตก่อสร้างโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ พัทยา จ.ชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมนำตัวส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ต.ท่าประดู่ อ.เมือง จ.ระยอง เพื่อส่งฟ้องก่อนหน้านี้

ล่าสุด เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้อ่านคำพิพากษาคดีดังกล่าว ซึ่งศาลสั่งรวมสำนวนคดีทั้งห้าพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ, นายอภิชาติ พืชพันธ์, นายสุธีร์ ทับหนองฮี, นายชานนทร์ เกิดอยู่ , นายชัยวัฒน์ แจ้งสว่าง, นายวิทยา ศิรินทร์วรชัย , นายพิเชษฐ อุทัยวัฒนานนท์, นายญัติพงค์ อินทรัตน์, นายเอกพงษ์ บุญชาย ซึ่งเป็นกลุ่มข้าราชการเจ้าหน้าที่เมืองพัทยา ที่อยู่ในกลุ่มพิจารณาออกใบอนุญาติก่อสร้างและนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีต รมว.วัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำเเหน่งนายกเมืองพัทยา เป็นจำเลยที่ 1-10

โดยโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 6 ถึง 10 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 และขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 157 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ซึ่งจำเลยทั้งสิบให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้ ศาลมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย 3 ประเด็น คือ 1.จำเลยที่ 6 ถึง 10 เป็นเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลพิจารณแล้วเห็นว่า บริษัท บาลีฮาย จำกัด มีวัตถุประสงค์จะใช้ประโยชน์จากการมีพื้นที่ว่างโดยอ้างว่าเป็นที่ครอบครอง เพื่อไม่ให้พื้นที่โครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์เรสซิเดนซ์ ติดทางสาธารณะ 2 ด้าน อันจะทำให้อาคารที่ขออนุญาตก่อสร้างไม่ถูกจำกัดความสูงในด้านที่ติดกับถนนสาธารณะภายในโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือท่องเที่ยวและถมทะเลบริเวณพัทยาใต้ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ และไม่มีสิทธิยื่นคำขออนุญาตก่อสร้าง เพราะด้านที่ติดถนนในโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือดังกล่าว ซึ่งแคบกว่าถนนพัทยาสาย 3 ตัวอาคารมีความยาวเกินกว่ากฎหมายกำหนด คำขออนุญาตก่อสร้างยื่นเมื่อวันที่ 1 พ.ค.51 จำเลยที่ 10 มีคำสั่งออกใบอนุญาตเมื่อวันที่ 10 ก.ย.51 จึงเชื่อว่า กระบวนการทำคำสั่งของจำเลยที่ 9, 8, 6, 7 เเละที่ 10 มีการพิจารณารายละเอียดคำขออย่างครบถ้วน

แต่จำเลยที่ 6-10 กลับไม่แสดงให้เห็นเลยว่า มีการพิจารณารูปทรงอาคารที่ขออนุญาตก่อสร้างมีความเหมาะสมกับพื้นที่โครงการหรือไม่ อาคารที่สร้างมีขนาดใหญ่พิเศษ มีด้านกว้างในส่วนที่ใกล้กับโครงการก่อสร้างท่าเรือท่องเทียวและถมทะเลบริเวณพัทยาใต้ ขนาดความกว้างประมาณ 90 เมตร มีความสูงประมาณ 180 เมตร จึงเห็นได้โดยชัดว่า จะต้องบดบังเขาพัทยาอย่างแน่นอน แม้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะไม่แสดงข้อมูลนี้อย่างชัดเจน เมืองพัทยามีหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม จำเลยที่ 9, 8, 6,7 เป็นพนักงานเมืองพัทยา จำเลยที่ 10 เป็นนายกเมืองพัทยา ย่อมต้องทราบสภาพแวดล้อมในพื้นที่เมืองพัทยาและต้องมีแผนงานและเป้าหมายให้การก่อสร้างอาคารสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมตามอำนาจหน้าที่ เมื่ออาคารที่ขออนุญาตก่อสร้างเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการบดบังเขาพัทยาที่จัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ของเมืองพัทยา จำเลยที่ 9, 8, 6, 7 เเละที่ 10 จึงปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นการกระทำร่วมกันโดยมุ่งหมายให้เป็นผลสำเร็จจนถึงวันที่จำเลยที่ 10 มีคำสั่งออกใบอนุญาต

การกระทำของจำเลยทั้งห้ามีเจตนาให้เมืองพัทยาได้รับความเสียหาย เพราะการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่พิเศษตามคำขอย่อมมีผลกระทบต่อภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวของเมืองพัทยาเป็นอย่างมาก และการอนุญาตให้บริษัท บาลีฮาย จำกัด ก่อสร้างอาคารโดยมีพื้นที่ใช้สอยมากเกินกว่าที่จะมีสิทธิยื่นคำขอโดยชอบตามกฎหมายควบคุมอาคารและกฎกระทรวง คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดตามบทบัญญัติความผิดตามมาตรา 157 ในส่วนการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เมืองพัทยา การกระทำของจำเลยที่ 9, 8, 6, 7 เเละที่ 10 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ประเด็นที่ 2 ฟ้องของโจทก์ประเด็นข้อ 1 สำหรับจำเลยที่ 6-10 ขาดอายุความหรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีพฤติการณ์ไม่ได้มุ่งหมายให้การดำเนินคดีอยู่ภายในกรอบเวลาการฟ้องคดีภายในวันที่ 10 ก.ย.2566 โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 6-10 เกินระยะเวลา 15 ปี นับแต่วันที่กล่าวหาว่ากระทำความผิด คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

ประเด็นที่ 3 มูลคดีที่รักษาการนายกเมืองพัทยาและพวกต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้างโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ฯ ให้แก่บริษัท บาลีฮายฯ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีที่จำเลยที่ 5, 4, 3, 2 ซึ่งทำความเห็นเพื่อมีคำสั่งต่ออายุใบอนุญาต และจำเลยที่ 1 มีคำสั่งต่ออายุใบอนุญาต จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้เมืองพัทยามีการตรวจสอบการก่อสร้างอาคารที่ไม่แล้วเสร็จในลักษณะการทบทวนเหตุผลที่จะออกใบอนุญาตฉบับใหม่ แม้บริษัท บาลีฮาย จำกัด จะอ้างเหตุประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเพราะขาดเงินลงทุน แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะนำมาเป็นเหตุหลีกเลี่ยงกฎหมายที่มุ่งประสงค์จะคุ้มครองความปลอดภัยของการใช้อาคาร การกระทำของจำเลยที่ 5, 4, 3, 2, 1 จึงมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่เมืองพัทยา และในส่วนของจำเลยที่ 6 รู้อยู่แล้วว่าการออกใบอนุญาตกระทำโดยไม่ชอบ การเสนอให้ต่ออายุใบอนุญาต จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาให้ใบอนุญาตนั้นมีผลใช้บังคับต่อไป อันเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่เมืองพัทยามาแต่ต้น

การกระทำของจำเลยที่ 5, 4, 3, 2, 1 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เมืองพัทยา
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้เมืองพัทยาได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงเป็นการกระทำความผิดเพื่อให้มีผลเป็นการต่ออายุใบอนุญาตแก่บริษัท บาลีฮาย จำกัด แต่เนื่องจากการออกใบอนุญาตให้แก่บริษัท บาลีฮาย จำกัด กระทำโดยไม่ชอบ จึงต้องถือว่าไม่มีใบอนุญาตที่จะเป็นเหตุให้พนักงานเมืองพัทยาและนายกเมืองพัทยามีหน้าที่พิจารณาต่ออายุ การกระทำของจำเลยที่ 5, 4, 3, 2, 1 จึงเป็นการพยายามกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 81

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-5 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานพยายามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐพยายามปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ที่เป็นไปไม่ได้ จำเลยที่ 6 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1-5 ตามกฎหมายบทที่มีอัตราโทษหนักที่สุด ให้จำคุกจำเลยที่ 5 เป็นเวลา 1 ปี ลงโทษปรับจำเลยที่ 1, 2, 3 คนละ 5 หมื่นบาท และให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 4 จำนวน 2 หมื่นบาท การกระทำของจำเลยที่ 6 เป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีอัตราโทษหนักที่สุด ให้จำคุกจำเลยที่ 6 เป็นเวลา 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 6-10 ในสำนวนที่สาม ที่สี่ และที่ห้า

4. อคส.ยัน ไม่มีการสับเปลี่ยนข้าวโครงการรับจำนำที่โกดัง จ.สุรินทร์ ชี้ เหตุที่ตรากระสอบแตกต่างกัน เพราะบางกระสอบแตก ต้องเปลี่ยนกระสอบใหม่ ขู่ฟ้องคนให้ข้อมูลเท็จ!



จากกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยถึงการเปิดคลังสินค้าข้าวสารในโครงการรับจำนำที่ จ.สุรินทร์ว่ามีการสับเปลี่ยนข้าวหรือไม่ นายกฤษณรักษ์ ใจดี รักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เผยเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ว่า ปกติ เมื่อ อคส. ได้รับการประสานว่าจะมีหน่วยงานหรือคณะเข้าตรวจเยี่ยมที่คลังสินค้า อาทิ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือหน่วยงานที่กำกับดูแลอื่น ๆ อคส. จะจัดการประชุมภายใน เพื่อเตรียมการสำหรับการตรวจเยี่ยม และในกรณีคลังสินค้า จ.สุรินทร์ ที่ประชุมภายใน อคส. เห็นว่า ควรจะดำเนินการเปิดคลังสินค้าเพื่อทำความสะอาด แต่งกองและจัดเรียงกองข้าวสารบางส่วน เพื่อความสะดวกในการตรวจนับปริมาณและเพื่อความปลอดภัยแก่ผู้เข้าตรวจเยี่ยม พร้อมทั้งพ่นควันไล่แมลง เนื่องจากคลังดังกล่าวเคยระบายข้าวสารออกไปแล้วบางส่วนในอดีต

สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาด จัดเรียงกองข้าวสาร และพ่นสเปรย์ อคส. ถูกแบ่งเป็น 1.ค่าแรงกรรมกรในการจัดเรียงกองข้าวสาร 2 คลัง จำนวนประมาณ 14,558 กระสอบๆ ละ 10 บาท เป็นเงิน 145,580 บาท 2.ค่าพ่นควันไล่แมลงด้วยสารคลอร์ไพริฟอส ปริมาณข้าวสาร จำนวน 14,558 ตันๆ ละ 3 บาท เป็นเงิน 43,674 บาท ซึ่งรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 189,254 บาท หากมีการเปลี่ยนข้าวตามที่ปรากฏในข่าว จะต้องใช้เงินมากกว่านี้เป็นจำนวนมาก

ส่วนกรณีที่มีตรากระสอบที่แตกต่าง นายกฤษณรักษ์ กล่าวว่า เมื่อมีการตรวจพบว่า มีข้าวสารที่กระสอบแตก หรือรั่วไหลออกมา หัวหน้าคลังจะนำกระสอบใบใหม่มากรอกข้าวสารที่รั่วไหลออกมา ทดแทนกระสอบที่ขาด และเนื่องจากคลังสินค้าทั้ง 2 คลังนี้ ผู้ซื้อทิ้งสัญญาซื้อขายระหว่างการรับมอบ จึงทำให้มีข้าวสารบางกองที่มีกระสอบข้าวสารแตก กองข้าวสารไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย อคส. จึงต้องจัดเรียงกองข้าวสารบางส่วน และทำการหากระสอบใหม่เพื่อกรอกข้าวสารทดแทนกระสอบเก่าที่แตก ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานปกติ ของ อคส.

ทั้งนี้ อคส. ขอยืนยันว่า อคส. ได้ปฏิบัติงานเป็นไปตามระเบียบขั้นตอน และไม่มีการสับเปลี่ยนข้าวสาร ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด หากยังมีการให้ข้อมูลหรือแชร์ข้อมูลที่เป็นเท็จ อคส. จะดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด

5. สำนักพุทธฯ ยืนยันแล้ว "เชื่อมจิต" ไม่มีในพระไตรปิฎก ด้าน พม.สุราษฎร์ฯ ยื่นศาลเยาวชนฯ สั่งพ่อแม่น้องไนซ์ยุติแสวงหา ปย.จากเด็ก พร้อมขอสิทธิคุ้มครองเด็ก!



จากกรณี “น้องไนซ์” ที่อ้างตนว่าเป็นร่างอวตารองค์เพชรภัทรนาคานาคราชและบุตรของพระศากยมุนี มีความสามารถในการเชื่อมจิตและหยั่งรู้เรื่องราวต่างๆ ทั้งอดีตและอนาคต จนมีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก ในที่สุดได้มีการแถลงยืนยันชัดเจนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แล้วว่า การเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริงในพระไตรปิฎก

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแล พศ.นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการ พศ. นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารการกระทำที่เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา ได้ร่วมกันแถลงกรณีเด็กเชื่อมจิต

โดยนายพิชิต กล่าวว่า การแถลงข่าวครั้งนี้ไม่มีเจตนาใส่ร้ายบุคคลใดที่เกี่ยวข้อง หากมีการแอบอ้างพระพุทธศาสนา จะถือเป็นหลักที่ต้องใช้สติ มีศีล สมาธิปัญญาที่ต้องตัดสินใจว่าถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าการเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริง เรื่องที่ครอบครัวเด็กจะฟ้องร้องดำเนินคดีคงห้ามไม่ได้ ต้องไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม จากนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องตรวจสอบว่ามีใครร่วมละเมิดกฎหมายหรือไม่ มีใครเสียหายหรือไม่ การแถลงข่าวครั้งนี้ พนักงานสอบสวนสามารถนำไปเป็นพยานหลักฐานนำไปสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงต่อไป

ด้านนายอินทพร กล่าวว่า กรณีเชื่อมจิต พศ.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ติดตามสถานการณ์มาตั้งแต่ต้น มีทีมงานเฝ้าระวังกลุ่มงานคุ้มครองพระพุทธศาสนา พศ.ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ ไว้แล้ว ส่วนเรื่องคำสอนมีการขอคำแนะนำจากมหาเถรสมาคม (มส.) มส.แนะนำให้ พศ.ใช้สติตรวจสอบทำเรื่องดังกล่าวให้รอบคอบ เพราะละเอียดอ่อนส่งผลกระทบต่อเด็กและครอบครัว แม้ว่า พศ.จะไม่มีอำนาจห้าม ระงับ ยับยั้ง บุคคลที่เผยแพร่คำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก แต่ พศ.จะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จะมีการยกระดับตามกระบวนการกฎหมาย ขณะนี้มีองค์กรภาคเอกชนยื่นเรื่องไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแล้ว พศ.ต้องให้ความกระจ่างให้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ส่วนเรื่องหลักธรรมคำสอน เป็นเรื่องของ มส.ที่จะพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่ หลังจากนี้จะนำเรื่องเข้าที่ประชุม มส.ในวันที่ 20 พ.ค.และรอมติจาก มส.ต่อไป

ขณะที่นายบุญเชิด กล่าวว่า ศรัทธาในพระพุทธศาสนามี 4 ประการ คือ 1.เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง 2.เชื่อผลของการกระทำ 3.เชื่อว่าคนทุกคน สัตว์ทุกประเภทมีกรรมของตนเอง 4.ศรัทธาในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในส่วนของการเชื่อมจิตจากการสืบหาข้อเท็จจริงจากพระไตรปิฎก ฟันธงว่า การเชื่อมจิตไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด และยังขัดต่อหลักธรรมบทที่สอนว่า ผู้ใดปฏิบัติเองย่อมรู้เอง ไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น พระพุทธเจ้าบอกว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความจริง ความรู้ สร้างสติ และปัญญา

ทั้งนี้ เมื่อนายบุญเชิดกล่าวจบ นายพิชิตได้สอบถามนายบุญเชิดว่า ตกลงการเชื่อมจิตทำได้หรือไม่ นายบุญเชิด กล่าวย้ำว่า การเชื่อมจิตไม่มีในพระไตรปิฎก แต่มีกลุ่มบุคคลพยายามจะเทียบเคียงว่ามีการเชื่อมจิต ถือว่าเป็นการแอบอ้าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปเรื่องการเชื่อมจิตผิดกฎหมายหรือไม่ นายพิชิต กล่าวว่า ต้องดูว่ามีผู้เสียหายหรือไม่ รวมถึงพนักงานสอบสวนสามารถนำไปเป็นพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีทางอาญา และองค์กรที่บังคับใช้กฎหมายจะไปตรวจสอบว่าใครเสียหายอย่างไร เพราะไม่ได้อยู่ในภารกิจของ พศ.ไม่มีอำนาจที่จะไปออกหมายเรียกได้ เรื่องการเชื่อมจิตนั้นไม่มีจริง เป็นเรื่องบิดเบือนคำสั่งสอน หลังจากนี้จะทำทุกวิถีทาง รวมถึงใช้สื่อของรัฐในการป้องกันไม่ให้เกิดการเชื่อมจิต ขอย้ำว่าตนเชื่อโดยส่วนตัวว่า การเชื่อมจิตไม่มีอยู่จริง

เมื่อถามว่า ขณะนี้น้องไนซ์และเครือข่ายยังมีการอบรมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย จะมีแนวทางป้องกันอย่างไร นายพิชิตกล่าวว่า พร้อมที่จะประสานหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อระงับยับยั้ง ป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อพระพุทธศาสนา วันที่ 29 พ.ค. เวลา 10.00 น. จะนัดประชุมมอบนโยบายให้กับ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด หรือ พศจ.ทั่วประเทศ ที่พุทธมณฑล

ทั้งนี้ วันเดียวกัน ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรมพร้อมเครือข่ายเข้ายื่นหนังสือถึงนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมฯ ขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง กระทำผิด พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มีนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.การพัฒนาสังคมฯ เป็นผู้รับมอบ พร้อมกล่าวว่า ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะเยาวชนดังกล่าวมีอายุเพียง 8 ขวบ อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ยื่นต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีแล้วในการคุ้มครองเด็ก ขอให้ยุติการนำเด็กไปแสวงหาประโยชน์ และขอหารือร่วมกับครอบครัวในการอบรมสั่งสอน ต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก

นายอนันต์ชัย กล่าวว่า พมจ.สุราษฎร์ธานีได้เข้าไปดูแลประเมินเด็กตั้งแต่เดือน ก.ย.2566 แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครอง ทั้งมีกลุ่มแอดมิน ทนายความคอยขัดขวางตลอดเวลา อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ มีการไลฟ์ การแจ้งความดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 ขณะที่เด็กเชื่อมจิตมีการอ้างตัวเองเป็นผู้รู้ธรรม รู้เรื่องในพระไตรปิฎก เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นลูกบุญธรรมเจ้าแม่กวนอิม เป็นอริยะขั้นอนาคามี เป็นอวตารจากองค์เพชรนาคา นาคราช แล้วมาสอนธรรม อ้างว่าได้รับการมอบหมายจากพระศากยมุนี เป็นการอวดอ้างสรรพคุณเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้วิเศษ ได้มาซึ่งลาภสักการะ มีการจัดอบรมประมาณ 10 กว่าครั้ง ได้เงินทองเพื่อไปตั้งสถานปฏิบัติธรรม เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการเรี่ยไร จึงรวบรวมหลักฐานต่างๆ ไปแจ้งความที่กองปราบฯ และรับเป็นคดีที่อยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน นี่เป็นสิ่งที่เด็กเสี่ยงกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร มีการด่าทอ ก็ผิดฐานหมิ่นประมาท การดูหมิ่น ข้อมูลพวกนี้ เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างสมบูรณ์ที่มูลนิธิทนายกองทัพธรรมและทีมงานจัดทำ พร้อมซัพพอร์ตข้อมูล ความรู้ทางกฎหมาย และความรู้ด้านพระไตรปิฎกให้กับ พมจ.สุราษฎร์ธานี ขอให้กำลังใจ ท่านไม่โดดเดี่ยว

ส่วนความเคลื่อนไหวที่ จ.สุราษฎร์ธานี มีรายงานว่า หลังมีการแถลงข่าวของสำนักพุทธฯ เพจเฟซบุ๊ก “นิรมิตเทวาจุติ” ได้เคลื่อนไหวทันที โดยโพสต์ข้อความว่า อาจารย์น้องไนซ์บอกมาตลอดว่า การเชื่อมจิตเป็นวิธีการ ไม่เคยยืนยันว่าเป็นคำสอน และสำนักพุทธก็ไม่เคยบอกว่าอาจารย์น้องไนซ์สอนไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังแม่ของน้องไนซ์เพื่อสอบถามเรื่องนี้ แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ

ด้าน น.ส.ชลลดา ชนะศรีรัตนกุล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุราษฎร์ธานี เผยว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ได้นำคำร้องส่งถึงศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีเรียบร้อยแล้ว เพื่อขอให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งให้พ่อแม่ครอบครัวเด็กยุติการกระทำใดๆ ที่เข้าข่ายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากเด็ก รวมทั้งสั่งผู้ปกครองให้ความร่วมมือในการวางแผนการเลี้ยงดูเด็กตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมาย รวมถึงการเข้าประเมินสภาพร่างกายจิตใจเด็กด้วย หลังจากนี้จะเป็นไปตามกระบวนการศาลที่จะพิจารณาคำร้อง โดยเชิญผู้ร้องและพยานมาไต่สวน เรามีความพร้อมอยู่แล้ว การเรียกผู้ถูกร้องมาโต้แย้งหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลจะพิจารณาและสั่งให้ดำเนินการใดๆ

ขณะที่นายสิทธิชัย ไทยเจริญ นอภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เผยว่า หลังสำนักงาน พม.สุราษฎร์ธานีส่งเรื่องร้องไปยังศาลเด็กและเยาวชน ศาลนัดไต่สวนประมาณกลางเดือน มิ.ย. พม.จะดำเนินการหาข้อมูลเอกสารหลักฐานต่างๆ ยื่นต่อศาลเพื่อขอสิทธิคุ้มครองเด็ก ไม่ให้ผู้ปกครองนำเด็กไปทำกิจกรรมต่างๆ เหมือนที่ผ่านมา


กำลังโหลดความคิดเห็น