“โจ๊ก สุรเชษฐ์” เคยได้รับฉายา่ “โจ๊ก อัคนี” แต่เอาไปเอามากลายเป็น “โจ๊ก ธาตุไฟแตก” หลังโดนคดีความประเดประดังเข้ามา จนถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน และถูกสอบวินัย ต้องแจ้นไปร้อง ก.พ.ค.ตร.อ้างมีกระบวนการ 4 คุณ 100 สยบปีพระพรหม เพื่อสกัดตัวเองไม่ให้เป็น ผบ.ตร. แถมโวยโดนปลดป้ายชื่อที่ สตช. เอาตัวเองไปเทียบกับ “บิ๊กรอย” ที่ถูกขอตัวไปเป็นเลขา สมช.
ในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” หรือ “สนธิทอล์ก”เมื่อวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการได้กล่าวถึงกรณีทนายอนันตชัย ไชยเดชเคยตั้งฉายาให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.จาก“โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”เป็น “โจ๊กอัคนี” ซึ่งคำว่า “อัคนี” ถ้าแปลตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ก็แปลได้ 2 ความหมายเป็นคำนามทั้งคู่ คือไฟ และเทพแห่งไฟ
ตอนนั้นคนที่ไม่รู้จัก “สุรเชษฐ์ หักพาล” ก็คงนึกว่า“โจ๊กอัคนี”เป็นคำเปรียบเปรยเฉย ๆ ว่า เนื่องจากเขาเป็นตำรวจ ทนายก็เลยเปรียบ “สุรเชษฐ์” ว่า ไม่ได้“หวานเจี๊ยบ”เหมือนฉายา แต่เป็นเสมือนดั่ง“ไฟ”ที่มาเผาผลาญ ผู้ร้าย และ อาชญากรทั้งหลาย
แต่พอเรื่องชั่ว ๆ ของ รอง ผบ.ตร. คนนี้เกิดแดงขึ้นมา หลักฐานปรากฎชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดังที่รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” นำเสนอมาตลอด 4 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ก็พบว่าแท้จริงแล้วตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระดับรอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 1 ผู้นี้จริง ๆ แล้วเป็นคนที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์ และไสยเวทย์อย่างมาก หรือ อาจจะเรียกได้ว่าหัวปักหัวปำก็ว่าได้
ตอนนี้เมื่อทุกอย่างประเดประดังเข้ามา ทั้งการถูกดำเนินคดีฟอกเงิน, การที่ตัวเองและลูกน้องเข้าไปพัวพันกับเว็บไซต์พนันออนไลน์, การแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ, การออกมาประกาศฟ้องร้องคนโน้นคนนี้, แฉแม้กระทั่ง เจ้านายเก่า เพื่อนพ้องน้องพี่ ไปจนถึงระดับนายกรัฐมนตรี และการถูกให้ออกจากราชการเอาไว้ก่อน ก็มีคนตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ตอนนี้ “โจ๊กอัคนี” น่าจะมีอาการ“ของเข้าตัว”หรือ “ธาตุไฟแตก ”เสียแล้ว
“ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้วตั้งแต่ปีที่แล้ว ปี 2566 ในช่วงของการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจรอบที่แล้วว่า คนวงในจะทราบกันดีว่า “สุรเชษฐ์ หักพาล” นั้นเชื่อเรื่องโหราศาสตร์มาก ผมทราบมาว่า มีหมอดูที่ “สุรเชษฐ์” ให้ความเชื่อถือมากบอกว่า ถ้าไม่ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ในครั้งนั้น ก็จะต้องรอเวลาอีก 4 ปีจึงจะมีโอกาส
"ทั้งนี้ด้วยความที่ “สุรเชษฐ์” ในวัยเพียง 52-53 ปี ซึ่งถือว่ายังหนุ่มมาก อยากเป็น ผบ.ตร.มากทั้งที่ยังเหลืออายุราชการอีก 7-8 ปี จึงพยายามทุกวิถีทาง
“ถ้ายังจำได้ ตอนนั้น ผมเคยเตือน “สุรเชษฐ์ หักพาล” ไว้ว่า จริง ๆ ถ้าจะขึ้นเป็น รอง ผบ.ตร. แล้วไม่สำเร็จ ก็หาทางย้ายไปดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เสียยังจะดีกว่า แต่สุดท้าย “สุรเชษฐ์ หักพาล” ก็เลือกทางนี้เพราะคิดว่าทุกเรื่องที่เข้ามา ทุกแผล ทุกความไม่ชอบมาพากล เวรกรรมที่ตัวเองสั่งสมมาหลายปี ตัวนั้นนั้นสามารถจัดการควบคุมได้ทั้งหมด” นายสนธิ กล่าว
เพี้ยนหนัก เปรียบตัวเองเป็น “พระพรหม”
ล่าสุด จาก “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” เปลี่ยนมาเป็น “โจ๊กอัคนี” ดูเหมือนจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เพราะกรรมเก่าของ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ไล่กวดมาเร็วเสียเหลือเกิน เจ้าตัวเริ่มหนีไม่ทันเสียแล้ว จึงมีการเปิดเผยถึงความในใจของตัวเองอีกประการหนึ่งออกมา
วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน 2567 สุรเชษฐ์ หักพาล เดินทางมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) กรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามในคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ
แล้วก็บอกว่ามี “ขบวนการ 4×100 สยบปีกพระพรหม” ปฏิบัติการเพื่อสกัดตัวเองไม่ให้เป็น ผบ.ตร.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล พูดเอาไว้ ว่า “ผมต้องสอนว่า มวยมันคนละชั้น ผมเจอมาเยอะกว่าเยอะ เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ได้แอ้มผมหรอก แต่ผมเตือนเอาไว้ก่อนคุกรออยู่แน่นอน ท่านเหลือเวลาอีก 2 ปี ท่านต้องสู้คดีอีกยาวนาน ... ชื่อผมคุณไปเปิดกูเกิลดูก็แล้วกัน ชื่อของผมเนี่ยคือ ‘พระพรหม’นะ เพราะฉะนั้นวันนี้ ‘พระพรหม’ มันจะให้โทษไอ้พวกนี้แล้ว!”
ซึ่งใครได้ฟังแล้วก็อดหัวร่อ และสมเพชเวทนาไม่ได้
โวยปลดป้ายชื่อ ทำไม “รอย” ไม่ปลด
นอกจากนี้ “สุรเชษฐ์ หักพาล” ยังฟาดงวงฟาดงา ด้วยการโวยวายสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่ามา “ปลดป้าย” ชื่อตัวเองซึ่งเป็น รอง ผบ.ตร. ออกจากหน้าห้องทำงาน และ ถอดภาพและชื่อออกจากเว็บไซต์ได้อย่างไร? โดยพยายามพาดพิงเปรียบเทียบไปถึง พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ อดีตรอง ผบ.ตร. ที่ช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมาเพิ่งได้รับแต่งตั้ง และโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.
นอกจากนี้ “สุรเชษฐ์ หักพาล” สำทับด้วยความแค้นว่า จะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด โดยสุดท้ายคนสั่งจะตายเพราะ มีอยู่คนเดียวที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเป็น ผบ.ตร. ???
“คุณสุรเชษฐ์ครับ ผมอยากให้คุณตั้งสติ และสงบจิตสงบใจลงก่อน เพราะกรณีของคุณ กับ กรณีของ พล.ต.อ.รอย นั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะ พล.ต.อ.รอยนั้นเขามีมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 เห็นชอบขอตัวมาจาก สตช. ให้มานั่งดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และในเวลาต่อมาก็มีการโปรดเกล้าฯ ลงมา
“ส่วนกรณีของคุณสุรเชษฐ์ หักพาล นั้นเป็นกรณีที่เมื่อ วันที่ 18 เมษายน 2567 รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือคำสั่งที่ 178/2567 ให้คุณออกจากราชการไว้ก่อน เพราะ ถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ ชื่อ BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญา และถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน”
“สรุป คนหนึ่ง (พล.ต.อ.รอย) ถูกขอตัวไปช่วยสภาความมั่นคงแห่งชาติ กับ อีกคนหนึ่ง (สุรเชษฐ์) กระทำผิดวินัยร้ายแรง ถูกสอบสวนทางวินัย ถูกดำเนินคดีอาญา และถูกศาลออกหมายจับในข้อหาฟอกเงิน มันจะไปเหมือนกันได้อย่างไร ??? คิดสิ คิดสิ คิดหน่อยคุณสุรเชษฐ์ ไม่ใช่มัวแต่งมงาย เปรียบตัวเองเป็นเทพโน่นเทพนี่ เทพแห่งไฟบ้าง พระพรหมบ้าง อาการแบบนี้ผมเรียกว่าธาตุไฟแตก ธาตุไฟเข้าแทรก เสียมากกว่า !?!
“ผมได้รับข้อมูลมาจากแหล่งข่าววงในบอกว่า ตอนนี้ที่ปรึกษาเบื้องหลัง “สุรเชษฐ์ หักพาล” ที่นึกว่าตัวเองเป็นพระพรหม นั้นเป็น “เนติบริกร” ซึ่งเป็นคนใต้ด้วยกัน หรือ อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “สงขลาคอนเนคชัน” ก็ว่าได้
"ผมไม่แน่ใจว่า “เนติบริกร” ที่เขาว่านั้นหมายถึง คนที่ชื่อ วิษณุ เครืองาม หรือ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือไม่ ?
“เพราะแหล่งข่าวผมแจ้งว่า “สุรเชษฐ์ หักพาล” ได้ไปสนิทสมกับ “เนติบริกร” รายนี้มาตั้งแต่ถูกย้ายเขาสำนักนายกฯ ในรอบแล้ว สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และก็ด้วยความช่วยเหลือของ “เนติบริกร” รายนี้จึงทำให้ในปี 2564 “สุรเชษฐ์ หักพาล” สามารถกลับเข้ามารับราชการตำรวจได้ในที่สุด” นายสนธิกล่าว